กุนซือหญิงยอดอัจฉริยะ - บทที่ 370 รู้อายภายภาคหน้าจึงกล้าหาญ
เพียงพริบตาเดียวก็ใกล้เดือนสิบเอ็ดแล้ว ลมหนาวพัดมาในเสียนหยาง หิมะแรกปกคลุมพื้นที่ห่างไกลของฉินฉวน
ภายในห้องหนังสืออบอุ่น เว่ยเต้าจื่อกำลังเดินหมากกับซ่งชูอี หนิงยาต้มชาอยู่ข้างๆ ซ่งเจียนยังคงนั่งอยู่ตรงนั้นเหมือนอากาศธาตุดังเช่นหลายปีก่อน
“ข้าแพ้แล้ว” เพิ่งจะเดินมาตรงกลางเท่านั้น เว่ยเต้าจื่อโยนหมากสีขาวที่อยู่ในมือใส่กระป๋อง เพราะเขาเป็นคนใจเย็นและฉลาดเขาจึงสามารถมองเห็นผลลัพธ์ได้ “เดินหมากกับเจ้านี่สนุกจริงๆ ถ้าอย่างไรเจ้าต่อให้ข้าสักหกตัวดีไหม? พวกเรามาเล่นกันอีกตา”
ซ่งชูอีหรี่ตามองเขาเอ่ยว่า “เป็นถึงศิษย์พี่ใหญ่ ท่านไม่รู้สึกว่าพูดจาแบบนี้มันไร้ยางอายมากหรือ?”
“อืม รู้แล้ว เมิ่งจื่อกล่าวว่า ‘รู้อายภายภาคหน้าจึงกล้าหาญ’ ข้าก็เป็นคนเช่นนี้!” เว่ยเต้าจื่อเริ่มลงมือเก็บกระดานหมาก
“คำที่เรียกว่า ‘อาย’ นั้นคือละอาย มิใช่ไร้ยางอาย ต่างกันแค่คำเดียวทว่าห่างไกลหมื่นลี้” ซ่งชูอีเล่นกับตัวหมากหยกเย็นเยียบ เอ่ยว่า “แม้จะต่อให้สักสิบตัว ท่านก็แพ้เหมือนเดิม นี่ไม่เกี่ยวกับความสามารถในการเดินหมาก แต่เป็นเพราะท่านกับข้าไม่เหมือนกัน”
เว่ยเต้าจื่อไม่มีความปรารถนาที่จะชนะ เขาแค่สนุกกับกระบวนการเล่นหมากรุก แต่ซ่งชูอีไม่ได้สนใจกระบวนการนี้ แต่เล่นเพื่อคำว่า “ชัยชนะ” เท่านั้น อีกทั้งนางยังใฝ่หาทางที่จะชนะด้วยวิธีที่เรียบร้อยและรวดเร็วที่สุด
การเล่นหมากรุกเป็นงานอดิเรกสำหรับเว่ยเต้าจื่อ แต่สำหรับซ่งชูอีมันคือการตรวจสอบตนเองและตรึกตรองอยู่ตลอดเวลา
“หากท่านรับปากว่าจะเล่นกับข้าด้วยหัวใจที่ต้องการจะชนะ พวกเราก็จะเล่นอีกตา” ซ่งชูอีเอ่ย
เว่ยเต้าจื่อหนุนศีรษะ กล่าวอย่างจนปัญญา “ชีวิตของเจ้าเช่นนี้สนุกหรือไง? ไม่เพลิดเพลินไปกับกระบวนการเล่นหมากล้อมแล้วจะมีความหมายอะไร?”
ซ่งชูอียิ้มเอ่ย “ก็แค่เคยชิน”
ผู้ที่เห็นใต้หล้าเป็นกระดานหมากรุกนั้นจะไม่รู้จักเพลิกเพลินในกับกระบวนการการเล่น เนื่องจากกระบวนการแสวงหาผู้คน แสวงหารัฐ และแสวงหาใต้หล้านั้นคือการเข่นฆ่า คือความไร้เมตตา…
เว่ยเต้าจื่อพอจะเข้าใจความหมายของนาง จึงเอ่ยขึ้น “ไม่ชอบความตื่นเต้นเวลาเล่นกับฝ่ายตรงข้ามที่มีฝีมือสูสีรึ?”
ซ่งชูอีนิ่งไปครู่หนึ่ง “ฝ่ายตรงข้ามที่ฝีมือสูสี? จนป่านนี้ข้ายังไม่มีคู่แข่ง จึงไม่รู้”
“วาจาโอหังยิ่งนัก! มา วันนี้ข้าจะทำให้เจ้าเห็นถึงพลังที่ยิ่งใหญ่ในการฆ่า!” เว่ยเต้าจือพับแขนเสื้อ “ข้าเลือกหมากสีดำ”
ซ่งชูอีไม่ได้ตั้งใจที่จะดูหมิ่นนักกลยุทธ์ในใต้หล้านี้ ในความเป็นจริงแล้วนางยังไม่ได้พบกับคู่ต่อสู้ที่ฝีมือสูสี เพราะความคิดแหวกแนวของ “ทฤษฎีโค่นรัฐ” ในตอนแรกอยู่บนพื้นฐานการรวมทั้งหกรัฐในภายหลัง ระหว่างที่สงบอี้ฉวี ทำลายปาสู่และปราบปรามเว่ยนั้น ด้วยการกระทำทั้งหมดนี้ ซ่งชูอีพยายามอย่างเต็มที่เพื่อหลีกเลี่ยงศัตรูที่แข็งแกร่ง เป้าหมายคือเพื่อเพิ่มความแข็งแกร่งของรัฐฉินและทำให้ความแข็งแกร่งของรัฐอื่นๆ อ่อนแอลง
“ข้ามีลางสังหรณ์” ซ่งชูอีหัวเราะเบาๆ หลังจากที่เว่ยเต้าจื่อลงหมากแล้ว นางก็วางหมากลงในตำแหน่งดวงดาว
“อะไรรึ?”
ซ่งชูอีเอ่ยเชื่องช้า “ศึกระหว่างฉินฉู่คราวนี้ เป็นครั้งแรกที่ฝ่ายตรงข้ามฝีมือสูสี”
หากเป็นคนนั้นที่นางทิ้งไว้ในใจของอิ๋งซื่อ…
เว่ยเต้าจื่อมองนาง “เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าฉินฉู่จะต้องเปิดสงคราม ผ่านมาสามเดือนแล้ว ไม่แน่ว่ากำลังของรัฐฉินทำให้รัฐฉู่ลังเล”
“หึหึ ไม่เชื่อรึ?” ซ่งชูอีวางหมากเสียงดังเพี๊ยะ “ท่านลองทำนายดูประไร?”
เว่ยเต้าจื่อกล่าว “ชิ อย่าหลอกข้า ข้าไม่เคยทำนายเรื่องสงคราม แต่ว่า…” เว่ยเต้าจื่อถูๆ มือ กล่าวด้วยความจริงจัง “หากเจ้าอยากรู้ เจ้าสามารถทำให้ท่านอ๋องกับชูหลี่จี๋หลับได้หรือไม่ ข้าอาจจะเปิดชะตาให้เจ้าสักครั้ง”
ซ่งชูอีขมวดคิ้ว โน้มตัวไปข้างหน้าลดเสียงลงและพูดว่า “เรื่องประเภทนี้ พวกเราสามารถหารือกันเป็นการส่วนตัวได้ ไม่ต้องห่วงท่านมหาเสนาบดีฝ่ายขวาดอก สุดท้ายแล้วเขาก็เป็นพี่ใหญ่ร่วมสาบานของข้า…”
“ย้าก ช่างกล้าหาญนัก นี่ต่างหากจึงจะเป็นลูกผู้ชาย! มาๆ ๆ ถ้าอย่างไรพวกเราไปดูดวงตอนนี้เลยดีหรือไม่?” เว่ยเต้าจื่อไม่คิดเลยว่าคำพูดของเขามีปัญหา “ถ้าแม่ทัพเจ้าอี่โหลวรู้จะเป็นอย่างไร?”
“ก็จะเชือดท่านก่อนแล้วค่อยเชือดข้า” ซ่งชูอีพูดหลีกเลี่ยงปัญหาสำคัญ “ท่านดูท่านสิกะตือรือร้นจนล้อเล่นกับชีวิตเช่นนี้ ข้ายังสามารถเอาชนะท่านได้อีกครั้ง ถูกเชือดสักครั้งก็ไม่ขาดทุน”
เว่ยเต้าจื่อยิงฟัน “เจ้าสารเลว! กล้าแกล้งข้าเรอะ! ไม่เอาไหน!”
“ข้าไม่เอาไหนอยู่แล้ว” ซ่งชูอีหัวเราะฮี่ๆ พลางชี้ไปยังกระดานหมาก “อีกสองตัวก็จะตามทันแล้ว”
“เจ้าทรยศ!”
“ไม่มีการทรยศเกินไปในการทหาร!”
“ไร้ยางอาย!”
“เช่นกันๆ”
“เจ้าเล่นหมากชนะข้าแต่คิดไม่ถึงว่ายังจะหลอกลวง!”
“เดิมทีพวกเราสองคนไม่เหมือนกันอยู่แล้ว ครั้งนี้ยอมให้ท่านสิบตัว ไม่ใช้วิธีสกปรกจะชนะได้อย่างไร!”
……
หนิงยาพูดกับซ่งเจียนอยู่ข้างๆ “จะว่าไปแล้ว นิสัยของท่านเหมือนกับศิษย์พี่ใหญ่จริงๆ”
ซ่งชูอีหันศีรษะขวับ “เหลวไหล ข้าไม่เคยชอบการล่วงประเวณี”
“อย่าพูดอะไรไม่น่าฟังเช่นนั้น มันคือความสนใจ” เว่ยเต้าจื่อมองหนิงยาด้วยความหลงใหล “ในเมื่อเจ้าเรียกข้าว่าศิษย์พี่ใหญ่ ข้าก็จะไม่ให้เจ้าเรียกโดยเปล่า ถ้าอย่างไรคืนนี้ให้ข้าสั่งสอนเจ้าเสียหน่อยดีไหม?”
หนิงยาหน้าแดงเล็กน้อย ตะโกนออกมาว่า “อันธพาล”
พูดจบก็ลอบมองซ่งเจียนทีหนึ่ง
กิริยาเล็กน้อยประเภทนี้ไม่ว่าอย่างไรก็ปิดบังเว้ยเต้าจื่อไม่อยู่ เขาเย้าเล่น “ไม่ต้องการรึ เปลี่ยนให้เจียนสั่งสอนหน่อยประไร?”
“ท่าน…” หนิงยาอยากจะร้องไห้ด้วยความอับอาย
ซ่งเจียนที่นั่งนิ่งตลอดเวลาขยับเข่าเล็กน้อยในเวลานี้ หลุบตามองต่ำ
บรรยากาศแปลกไป ซ่งชูอีหันหน้าไปมองทั้งสองคน จากนั้นมองไปที่เว่ยเต้าจื่อคล้ายต้องการยืนยัน
เว่ยเต้าจื่อยกมุมปากยิ้ม ให้คำตอบว่าใช่
ซ่งชูอีเข้าใจในทันที เอ่ยตรงๆ ว่า “พวกเจ้าสองคนก็หาเวลาทำธุระให้เสร็จเถิด”
ร่างของเว่ยเต้าจื่อโยกไปโยกมา หนิงยาวิ่งออกไปทันที
ซ่งเจียนรู้สึกตัวในที่สุดและกำหมัดแน่นอย่างประหม่า
“เจ้าไม่ตามไป ต่อไปก็ไม่มีโอกาสแล้ว” เว่ยเต้าจื่อกระตุ้นซ่งเจียน “ไปเถิด เป็นลูกผู้ชายอกสามศอก อย่าบิดไปบิดมาเหมือนแม่นางตัวน้อย!”
เมื่อซ่งเจียนเห็นว่าซงชูอีไม่มีท่าทีคัดค้านจึงลุกขึ้นและเดินออกไป
“ความรักของเด็กหนุ่มสาวคู่นี้เพิ่งจะเผยเบาะแส เจ้าเปิดทางขนาดนั้นไม่น่าเบื่อเกินไปหน่อยหรือ?” เว่ยเต้าจื่อกล่าว
อย่างไม่พอใจ
“ก็ไม่ใช่เด็กกันแล้ว ชายหญิงยิ่งรักกันนานจะยิ่งทำให้เสียเวลา ชีวิตมนุษย์สั้นนัก ใต้หล้าเต็มไปด้วยความวุ่นวายและยากลำบาก สามารถรู้จักและปกป้องกันและกันแต่เนิ่นๆ จะได้ไม่เสียใจภายหลัง ข้าใช้เวลาหลายปีในการจัดการกับเรื่องของอวี่กับองค์หญิงอิ๋งสี่ ใช้เวลาและพลังงานไปไม่น้อย” ซ่งชูอีเล่นกับหมากตัวหนึ่ง ครุ่นคิดสักพัก หลังจากวางหมากลงบนกระดานแล้วจึงเอ่ยว่า “ข้ากลัวว่าถึงตอนนั้นตัวเองจะไร้พลังเช่นเดียวกับชีวิตและความตาย”
วัฏจักรแห่งสวรรค์มีกฎในตัวมันเอง ซ่งชูอีมักจะรู้สึกไร้พลังอยู่เสมอ
“ข้าเข้าใจแล้ว” นานๆ ทีที่เว่ยเต้าจื่อจะขึงขังขึ้นมา
ซ่งชูอีเหลือบมองกลับได้ยินเขากล่าวว่า “ที่เจ้าพูดมีเหตุผลมาก เห็นต่อไปข้าต้องลดเวลาในการเกี้ยวพาราสี แต่ลากแม่นางตัวน้อยเข้าป่าไปเลย”
“……”
เว่ยเต้าจื่อคิดนู่นคิดนี่ไปเรื่อย แล้วโยนตัวหมากลงไป “ข้าจะไปดูว่าอาการป่วยของฉินอ๋องเป็นอย่างไรบ้าง”
ซ่งชูอีเข้าใจเขาเป็นที่สุด เขาไม่เคยกะตือรือร้นต่ออาการป่วยของอิ๋งซื่อขนาดนี้มาก่อนเลย “อย่ามองศีรษะเป็นผ้าคาดเอวเสียล่ะ ฝ่าบาทป่วยแล้วแต่ก็ยังเป็นท่านอ๋อง คิดจะสวมเขาให้ฝ่าบาท ท่านเบื่อชีวิตแล้วใช่ไหม?”
“ก็แค่เด็กรับใช้ในวังคนนึง” เว่ยเต้าจื่อสอดมือไว้ในแขนเสื้อพูด “ข้ายังเคยสวมเขาให้กษัตริย์องค์หนึ่งจริงๆ”
“หา?” ซ่งชูอีประหลาดใจ “ผู้ใด?”
เว่ยเต้าจื่อจิ๊ปาก กล่าวพร้อมรำลึกความหลัง “เรื่องมันก็นานมาแล้ว เป็นฉู่อ๋อง”
ซ่งชูอีกำลังจะซักถามต่อ ม่านกันลมหน้าประตูที่หนักอึ้งก็เปิดออก เจ้าอี่โหลวอยู่ในชุดเกราะสีดำ บนศีรษะและไหล่เต็มไปด้วยหิมะ หนาวเหน็บไปทั้งตัว “ฉู่เปิดศึกในปาจวิ้นแล้ว”