กุนซือหญิงยอดอัจฉริยะ - บทที่ 371 ไท่ฟู่ค้างแรมเถิด
“เร็วกว่าที่ข้าคิดไว้หน่อยนึง” ซ่งชูอีพึมพำ
“ข้าเพิ่งได้รับราชโองการ ครั้งนี้คนที่ต่อต้านแม่ทัพฉู่คือข้า” ดังนั้นเจ้าอี่โหลวจึงรีบกลับมาเพื่อหารือเกี่ยวกับมาตรการรับมือกับซ่งชูอี
ซ่งชูอีขมวดคิ้ว เหตุใดถึงบังเอิญเช่นนี้? นางเพิ่งจะเกษียณจากตำแหน่ง เจ้าอี่โหลวก็ถูกส่งออกไปข้างนอกแล้ว!
“พวกเจ้าคุยกันเถิด ข้ายังมีธุระ” เว่ยเต้าจื่อให้เวลาพวกเขาคุยกันอย่างรู้หน้าที่
ในห้องเงียบมีเพียงเสียงแตกเบาๆ ในเตาอั้งโล่เป็นครั้งคราว
ซ่งชูอีทำลายความเงียบ “ไปเถิด”
เจ้าอี่โหลวเคยกล่าวไว้ว่าถ้าเขามีโอกาสเขาจะส่งกองกำลังไปยังเมืองหลวงของรัฐเจ้า แม้ว่าจะมีประสบการณ์มากขึ้นเขาก็ไม่ยึดติดกับมันอีกต่อไป แต่เพื่อความเกลียดชังในใจและเพื่อพยายามยืนเคียงข้างซ่งชูอีในระดับเดียวกัน เขาจึงไม่ถอดเสื้อเกราะเพื่อกลับสู่สามัญชน แต่กลับรับผิดชอบสู้กับรัฐเจ้ามาโดยตลอด
ถ้าไม่ใช่เพราะแผนการพักฟื้นของรัฐฉิน ไม่สามารถทำการรุกรานผู้คนภายนอก บางทีเจ้าอี่โหลวอาจจะสามารถโจมตีหานตานได้จริงๆ ด้วยความสามารถในการต่อสู้ของเขาเอง
บัดนี้ภายใต้ราชโองการของกษัตริย์ เจ้าอี่โหลวในฐานะแม่ทัพฉิน ไม่มีเหตุผลที่จะปฏิเสธการนำทัพ
อีกทั้งเมื่อเขาอยู่ข้างนอกก็ไม่สามารถดูแลเสียนหยางได้ อยากจากไปก็ไม่มีใครห้ามได้ เจ้าอี่โหลวเข้าใจข้อนี้ดี สิ่งที่เขากังวลคือ “เจ้าจะทำอย่างไร?”
“เจ้าไปก่อนเถิด ข้าจะดำเนินการตามสถานการณ์” ซ่งชูอีปลอบใจเขา “ข้าวางแผนมาตั้งหลายปี มีสกุลฉือคอยช่วยเหลือ ข้างกายข้าก็ยังมีเจียน อย่าเลวร้ายที่สุดก็ยังมีไป๋เริ่น การออกไปจากเสียนหยางไม่ใช่ปัญหา”
“แต่ว่า…” เจ้าอี่โหลวยังคงอดไม่ได้ที่จะกังวล “ขอราชโองการไปที่ปาจวิ้นกับข้าไม่ได้หรือ?”
ซ่งชูอีส่ายหน้า “ข้าไม่รู้ว่าท่านอ๋องทำการเคลื่อนไหวเช่นนี้โดยตั้งใจหรือไม่ หากทำโดยไม่ได้ตั้งใจก็ไม่ใช่อุปสรรคใหญ่สำหรับแผนของเรา แต่ถ้าเขาทำโดยเจตนา ครั้นข้าออกจากเสียนหยาง เขาต้องมีวิธีควบคุมอย่างแน่นอน ถ้าข้าไม่ได้วางแผนล่วงหน้าก่อน ภายใต้ความเหลื่อมล้ำเช่นนี้ เราจะต้องตกอยู่ในสถานการณ์ถูกกระทำเป็นแน่แท้”
เจ้าอี่โหลวครุ่นคิดอยู่นานก่อนที่เขาจะรับปาก เป็นทหารนำทัพเป็นเวลาหลายปี เขาวางแผนใดไม่เป็นเลย แต่เขาตัดสินสถานการณ์ได้ดีมากและรู้ว่าทางเลือกของซ่งชูอีนั้นถูกต้อง
“เช่นนั้นข้าจะไปสั่งการทหาร” เจ้าอี่โหลวเอ่ย
“อืม”
เจ้าอี่โหลวกอดนางแน่น กัดฟันหมุนตัวจากไป
“อี่โหลว” ซ่งชูอีเรียกเขา เอ่ยกำชับ “จงจำไว้ เมื่อเจออันตรายให้ถอนตัวออกมา ไม่ว่าจะอย่างไรห้ามกลับมาที่
เสียนหยางอีก”
“ได้” เจ้าอี่โหลวก้าวเท้าออกไปยาวๆ โดยไม่หันกลับมามอง เขากลัวว่าหากหันกลับมามองอีกจะทำให้การตัดสินใจของเขาเปลี่ยนไป
ภายในห้องเหลือซ่งชูอีเพียงผู้เดียว นางจึงค่อยๆ ถอนการแสร้งทำทีสบายๆ การแสดงออกดูเคร่งขรึมอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน
“เจียน!” ซ่งชูอีเรียกเสียงสูง
หลังจากผ่านไปสักพัก ซ่งเจียนเข้ามาด้วยความเร่งรีบ “นายท่าน”
“พรุ่งนี้ข้าจะวางแผนแต่งงานให้เจ้ากับหนิงยา จัดการทุกอย่างให้เสร็จภายในห้าวัน จากนั้นเจ้าก็พาหนิงยาออกจากเสียนหยาง” ซ่งชูอีเอ่ย
ซ่งเจียนเห็นว่าซ่งชูอีมีอาการเคร่งขรึมก็ข่มความยินดีไว้ในใจ “นายท่าน เกิดเรื่องหรือขอรับ?”
“อืม ข้ามีเรื่องไหว้วานให้เจ้าทำ” ซ่งชูอีพอใจกับปฏิกิริยาที่เฉียบคมของเขามาก “เจ้าไปหาสถานที่ปลอดภัยแล้วปักหลักกับหนิงยา จากนั้นก็ติดตามแม่ทัพเจ้าไปที่ปาจวิ้น ข้ากังวลว่าจะมีคนลอบสังหารเขา เจ้าจงปกป้องเขาให้ดีก่อนสงครามจะจบ แต่จำไว้ว่าอย่าให้เขาจับได้”
ซ่งเจียนติดตามเยี่ยนหลีในฐานะทหารคุ้มกันขบวนเป็นเวลาหลายปี เชี่ยวชาญในการป้องกันการซุ่มโจมตี การลอบสังหารและการวางยาพิษ การที่มีคนหนึ่งคนนำขบวนเกือบพันครั้งไม่เพียงแต่ไม่มีอุบัติเหตุและยังแทบไม่เกิดความสูญเสียอีกด้วย
“ขอรับ”
ซ่งชูอีเป็นเหมือนเทพเจ้าในใจของซ่งเจียน เขาไม่เคยสงสัยในสิ่งที่นางพูด
สองวันหลังจากที่เจ้าอี่โหลวนำกองทัพออกไป ซ่งชูอีก็ได้เตรียมงานแต่งงานของซ่งเจียนและหนิงยาอย่างรวดเร็วโดยได้รับความช่วยเหลือจากเจินจวิ้น
สามวันหลังจากแต่งงาน ซ่งเจียนไปรัฐหานเพื่อพาภรรยาไปแวะคารวะอาจารย์ของเขา
เว่ยเต้าจื่อถอนหายใจเอ่ย “เจ้ากระทำการได้อย่างแยบยลนัก!”
ทั้งสองคนนี้เพิ่งจะเผยความรู้สึกต่อกัน ผ่านไปเพียงไม่กี่วันสามีภรรยาตัวน้อยก็ไปแวะคารวะอาจารย์เสียแล้ว
“ศิษย์พี่ใหญ่ ท่านดูดวงให้ข้าเถิด” ซ่งชูอีเอ่ย
ความสำเร็จของเว่ยเต้าจื่อด้านนี้ ใต้หล้ามีเพียงกุ่ยกู๋จื่อเท่านั้นที่สามารถเทียบเท่า มีความแม่นยำแปดถึงเก้าส่วน ไม่เหมือนนางที่ไม่แม่นเลยแม้แต่ส่วนเดียว
“ทันทีที่เจ้าอี่โหลวจากไป เจ้าก็กลั้นไว้ไม่ไหวแล้วรึ?” เว่ยเต้าจื่อหัวเราะหึหึ นำกระดองเต่าและด้ายไหมสีแดงออกจากแขนเสื้อ กล่าวด้วยความมั่นใจเต็มเปี่ยม “ห่อไว้รอบตัวศิษย์พี่ใหญ่”
ซ่งชูอียื่นมือออกไปหยุดการเคลื่อนไหวของเขา “ทำนายชีวิตและความตาย”
เว่ยเต้าจื่อหุบยิ้มบนใบหน้าช้าๆ จ้องมองนางเป็นเวลานาน แววตาดูเคร่งขรึมมากขึ้น เป็นความจริงจังที่หาได้ยาก “ได้ ข้าจะไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อน”
ซ่งชูอีเห็นท่าทีของเขาเช่นนี้ อารมณ์ก็ยิ่งหนักอึ้ง เว่ยเต้าจื่อสามารถบอกความโชคดีและเคราะห์ร้ายได้จากใบหน้า เมื่อครู่เขาจ้องที่ใบหน้าของนางเป็นเวลานาน ไม่ใช่แค่สังเกตรูปลักษณ์ของนาง
ไส้ตะเกียงในโคมไฟจำนวนมากล้มตัวลงในน้ำมัน แสงไฟในห้องค่อยๆ สลัวลง
ซ่งชูอีหยิบแถบไม้ไผ่ ลุกขึ้นไปหมุนไส้ตะเกียง
ผ่านไปสองเค่อ เว่ยเต้าจื่อก็กลับมา เขาสวมชุดดำทั้งตัว ผมเผ้าเรียบร้อย ทั้งตัวถูกแต่งอย่างสะอาดสะอ้านและสดชื่น ถือกระบอกไม้ไผ่สีเขียวเหลืองยาวหนึ่งฉื่ออยู่ในมือ เมื่อม่านลดลง ลมก็พัดหิมะมาจากด้านหลัง ในชั่วขณะนั้นเองเสื้อผ้าไหมก็กระพือปีกปลิวไสว เขามีบุคลิกเหมือนดวงจันทร์และท้องฟ้าที่แจ่มใส มีความสมบูรณ์แบบไม่เหมือนคนทั่วไป
ซ่งชูอีจุ๊ๆ ปาก “ศิษย์พี่ใหญ่ คิดไม่ถึงว่าพอท่านแต่งตัวขึ้นมาแล้วก็เข้าตาเหมือนกัน”
เว่ยเต้าจื่อมีท่าทีดูแคลน “อย่าพยายามมาเกี่ยวพันกับข้า ด้วยรูปลักษณ์เยี่ยงเจ้า ข้ายอมตายเสียดีกว่า”
ซ่งชูอีพูดพลางก็เสริมประโยคหนึ่งพร้อมถอนหายใจเฮือกใหญ่ “แต่ก็ยังเทียบอี่โหลวไม่ติด”
“เจ้าสารเลว!” เว่ยเต้าจื่อด่าไปคำหนึ่ง ยกชายผ้าขึ้นนั่งขัดสมาธิลงในห้อง “มีแผลเป็นสีชมพูอ่อนที่กึ่งกลางคิ้วของเจ้า ทำให้ข้ามองไม่เห็นความโชคดี”
เว่ยเต้าจื่อหยิบหญ้าออกจากกระบอกไม้ไผ่และวางไว้ที่พื้น
ซ่งชูอีเข้าไปนั่งลงข้างเขา
ผู้ทำนายฝีมือดีส่วนใหญ่จะใช้หญ้าก่อน ไม่ค่อยได้ใช้กระดองเต่า ความสำเร็จของเว่ยเต้าจื่อในด้านนี้สูงกว่าชูหลี่จี๋อย่างเห็นได้ชัด เขามักจะใช้เต่าไปทำนายสิ่งเล็กๆ ด้วยเมล็ดงาและถั่วเขียวเพื่อหลอกล่อหัวใจของเด็กหญิงตัวน้อย
เมื่อซ่งชูอีเห็นเขาเอาหญ้ามาแขวนอีกครั้ง ก็อดที่จะคิดถึงเมื่อก่อนที่เว่ยเต้าจื่อตะคอกใส่นางไม่ได้: ก็เพราะปกติเจ้าไม่ตั้งใจเรียน! ดูสิ่งที่เจ้าทำเข้าสิ ทำนายอะไรบ้าๆ ออกมา!
การทำนายนี้ขึ้นอยู่กับความสามารถอย่างแท้จริง ซ่งชูอีมีสมองที่เฉลียวฉลาด สังเกตการณ์ด้วยความพิถีพิถัน แต่ถึงแม้ว่านางจะสามารถจัดเรียงได้อย่างดีได้ในภายหลัง แต่ก็ไม่สามารถมองเห็นผลลัพธ์อะไรจากมันเลย ดังนั้นต่อมา
เว่ยเต้าจื่อจึงยอมแพ้ที่จะรบเร้าให้นางฝึกการทำนาย บอกจวงจื่อโดยตรงว่านางไร้ความถนัดในแง่นี้และไม่จำเป็นต้องมีการฝึกฝนเลย
หลังจากซ่งชูอีดึงสติกลับมา เว่ยเต้าจื่อก็ได้ใช้หญ้าสร้างเป็นแปดแฉกขนาดใหญ่บนพื้นแล้ว หลับตาลงพร้อมกับพึมพำอะไรบางอย่างในปาก
ซ่งชูอีหลับตาลง กลิ่นหอมจางๆ ของหญ้าสีเขียวทำให้อารมณ์ของนางกลับสู่ความเงียบสงบ
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานแค่ไหนก็ได้ยินเว่ยเต้าจื่ออุทานออกมาด้วยความประหลาดใจ
ซ่งชูอีลืมตาขึ้นเขามองไปที่พื้น – เห็นได้ชัดว่าไม่มีลมในบ้าน แต่ต้นหญ้าที่เป็นระเบียบในตอนแรกกลับกลายเป็นยุ่งเหยิง!
“เกิดอะไรขึ้น?” ซ่งชูอีเอ่ย
เว่ยเต้าจื่อไม่สนใจนาง จ้องมองไปยังหญ้ารกๆ นั้น
“เจ้ารู้หรือไม่…” หลังจากผ่านไปหนึ่งชั่วยาม เว่ยเต้าจื่อจึงเอ่ยว่า “การทำนายไม่อาจคาดเดาความลับของสวรรค์ ไม่อาจคาดเดาสิ่งภายนอก”
ไม่ใช่ว่าจะไม่สามารถคาดเดาได้ แต่หากต้องการทราบความลับของสวรรค์และเรื่องอื่นๆ จะต้องเปิดแผนภูมิใหญ่ของการบูชาฟ้าดินและเทพปีศาจ และคนที่ทำนายดวงชะตาจะได้รับผลกระทบมากยิ่งขึ้นเพราะเหตุนี้
ซ่งชูอีไม่ใช่คนในโลกนี้ จึงเป็นสิ่งที่เรียกว่า “บุคคลภายนอก” แต่แม้ว่าจะถูกเว่ยเต้าจื่อค้นพบจริงๆ นางก็ไม่รู้สึกหวาดกลัว “เป็นเพราะฝีมือท่านไม่ถึงกระมัง คราวก่อนท่านมหาเสนาบดีฝ่ายขวาใช้กระดองเต่าทำนายความเป็นความตายให้ข้า ก็ได้ผลดีมากทีเดียว”
“ชิ!” เว่ยเต้าจื่อสอดมือไว้ในแขนเสื้อพร้อมคุกเข่าลงข้างพื้นหญ้าที่ยุ่งเหยิงนั้น กล่าวด้วยความเด็ดขาด “มันคือความลับแห่งสวรรค์และบุคคลภายนอก ข้าก็ยังคงสามารถใช้รูปแบบทำนายทั่วไปได้! เจ้ามีอะไรก็ไปทำเสีย อย่ามารบกวนข้า”
ในเวลานี้เว่ยเต้าจื่อมีบุคลิกที่น่ากลัวอย่างมาก ตามปกติแล้วเขาดูเหมือนเป็นคนไม่สนใจอะไร ทว่าในความเป็นจริงแล้วเรื่องบางเรื่องก็ไม่อาจท้าทายได้ สวรรค์ก็ไม่สามารถ!
ซ่งชูอีไม่ได้มีความรู้ในเรื่องลึกลับเหล่านี้อย่างลึกซึ้งนัก ได้แต่เตือนสติประโยคหนึ่ง “ศิษย์พี่ใหญ่ ทุกอย่างเป็นไปตามวาสนา ไม่จำเป็นต้องร้องขอ ข้าไม่ต้องการให้ท่านเกิดเรื่องเพราะเหตุนี้”
เว่ยเต้าจื่อโบกๆ มือ “รู้แล้วๆ ก็แค่แผนภูมิทำนายเล็กๆ จะทำอะไรข้าได้ รีบไสหัวไปเสีย”
ซ่งชูอีรู้สึกว่าตัวเองก็ช่วยอะไรไม่ได้จึงออกไปตามคำบอก นอกจากนี้ยังสั่งให้คนรับใช้ทุกคนรอปรนนิบัติที่นอกประตู ห้ามเข้าไปรบกวนตามอำเภอใจ
ภายนอกหิมะโบยบิน ซ่งชูอีสอดแขนไว้ในเสื้อยืนอยู่ที่ทางเดินครู่หนึ่ง
นางนึกถึงตัวเองที่ทำนายชีวิตและความตายถึงสองครั้ง ครั้งที่แล้วที่ชูหลี่จี๋ทำนายออกมาได้เป็นเพราะว่าตอนนั้นในชาติก่อนนางยังไม่ตายเช่นนั้นหรือ? หรือว่าเพราะครั้งที่แล้วมันไม่ได้เกี่ยวข้องกับความเป็นและความตายเลย ดังนั้นจึงสามารถแสดงแผนภูมิออกมาได้?
ครั้งนั้นซ่งชูอีเพียงต้องการอยากรู้เคราะห์ร้าย ไม่ได้คิดที่จะเปิดแผนภูมิชีวิตและความตาย แต่คราวนี้เป็นคำขอของนางเพราะนางมีลางสังหรณ์ถึงอันตรายมาหลายปีแล้ว นอกจากนี้ยังมีสัญญาณต่างๆ ที่บ่งบอกว่าอิ๋งซื่อกำลังเริ่มจัดการกับนาง
นี่เป็นครั้งแรกที่คู่ต่อสู้มีฝีมือสูสีกับนาง ศัตรูคนนั้นไม่ใช่กุนซือใดๆ จากหกรัฐ หากแต่เป็นอิ๋งซื่อ
ประการแรกเพราะมีพันธสัญญาระหว่างขุนนางและกษัตริย์ นางจึงตกอยู่ในสถานะที่ถูกกระทำอย่างแน่นอน
หิมะชิ้นใหญ่ตกลงมาจากชายคา และแตกกระจายเป็นเสี่ยงๆ อยู่บนพื้นหิมะ
เจ้าอี่โหลวไม่อยู่ หนิงยาไม่อยู่ บ้านที่ดูรกร้างทำให้รู้สึกเงียบเหงาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ฟ้ายังไม่ทันมืด ซ่งชูอีก็เรียกเด็กรับใช้เพื่อเตรียมรถม้าไปหาจางอี๋ จากนั้นก็ค่อยไปที่พระราชวังเสียนหยางอีกครั้ง
ซ่งชูอีไม่ชอบความรู้สึกที่จับต้องไม่ได้นี้ ดังนั้นจึงเลือกที่จะเผชิญหน้ากับคู่ต่อสู้โดยตรง
“ท่าน”
ซ่งชูอีได้ยินเสียงแล้วก็หรี่ตามองเข้าไปในม่านหิมะ บ่าวรับใช้คนหนึ่งนำเด็กในวังที่สวมเสื้อคลุมสีดำเข้ามาใกล้
“ไท่ฟู่ ท่านอ๋องขอพบขอรับ” เด็กในวังค้อมตัวเอ่ย
ซ่งชูอีไตร่ตรอง “รอประเดี๋ยว”
นางหมุนตัวเข้าไปในบ้านเพื่อหยิบเสื้อคลุม นอกจากนี้ยังสั่งให้สาวใช้ที่ค่อนข้างฉลาดคนหนึ่งไปที่จวนของมหาเสนาบดีฝ่ายซ้ายเพื่อสอบถามเกี่ยวกับสงครามของฉินฉู่ก่อนที่จะออกไป
เมื่อมาถึงในวัง ขันทีก็นำทางนางขึ้นไปมุมหอคอย
นางรออยู่ที่ชั้นหนึ่งครู่หนึ่ง ก็เห็นขันทีเถาลงมา “ไท่ฟู่ ท่านอ๋องเชิญขอรับ”
ซ่งชูอีพยักหน้า ตามเขาขึ้นไปชั้นบน
ขันที่เถาเอ่ยเสียงเบา “จนป่านนี้ท่านอ๋องเพิ่งจะฝืนเสวยพระกระยาหาร บ่าวเห็นว่าสีหน้าเขาไม่สู้ดีนัก อาจจะมีเรื่องในใจ ได้โปรดไท่ฟู่ไปเกลี้ยกล่อมด้วย”
ทุกอย่างยังคงเหมือนเดิม ซ่งชูอีก็ตอบคำเหมือนเดิมเช่นกัน “อืม”
การตกแต่งบนหอคอยนั้นยังคงเป็นเหมือนเมื่อสิบปีที่แล้ว เตาอั้งโล่ภายในห้องอบอุ่นมาก ทันทีที่เข้าไปก็รู้สึกได้ถึงไอร้อนที่ปะทะเข้ามา
อิ๋งซื่อนั่งกินข้าวอยู่ที่โต๊ะ สวมผ้าแพรสีดำทั้งตัว ผมถูกมัดขึ้นไปอย่างเรียบร้อย ดูดีขึ้นกว่าวันก่อนๆ มาก
เขาเหลือบตาขึ้นมองเล็กน้อย “เข้ามานั่ง”
ซ่งชูอียิ้มพลางนั่งลงบนเสื่อทางด้านซ้ายของเขา “สีหน้าของฝ่าบาทดูดีมาก”
อิ๋งซื่อไม่ได้พูดต่อ หันไปบอกขันทีเถา “นำถ้วยและตะเกียบมาให้นาง”
“ขอบคุณฝ่าบาทที่เลี้ยงอาหาร” ซ่งชูอีคำนับเอ่ย
อิ๋งซื่อตอบว่าอืมอย่างเฉยเมย
ขันทีเถานำตะเกียบและถ้วยมาให้นาง จากนั้นก็ยกบะหมี่น้ำเข้ามาสองชาม ทั้งสองคนก็ไม่ได้คุยกันอีก
ภายในห้องได้ยินเพียงเสียงสูดบะหมี่น้ำของซ่งชูอี
หลังจากกินอิ่ม บ่าวรับใช้สองคนก็เข้ามาทำความสะอาดพวกเขา ซ่งชูอียังไม่ทันจะพูดก็ได้ยินอิ๋งซื่อกล่าวว่า “ไท่ฟู่ คืนนี้ก็ค้างแรมเถิด กว่าเหรินมีเรื่องต้องการคุยกับเจ้า”