กุนซือหญิงยอดอัจฉริยะ - บทที่ 372 เป็นหวังโฮ่วของข้า
ซ่งชูอีอึ้งไปเล็กน้อยและตอบในทันที “พ่ะย่ะค่ะ”
“เวลาไม่เช้าแล้ว เดินหมากกันสักตาเถิด กว่าเหรินยังไม่เคยเดินหมากกับไท่ฟู่อย่างจริงจังเลย” อิ๋งซื่อเอ่ย
“พ่ะย่ะค่ะ” ซ่งชูอีรับคำ
ขันทีเถาสั่งให้เด็กรับใช้ยกโต๊ะกระดานเข้ามา ทั้งสองเริ่มเดินหมากภายในหอคอย
รูปแบบการเดินหมากของอิ๋งซื่อเหมือนกับอารมณ์และพฤติกรรมของเขา ดูเหมือนสงบนิ่งแต่แฝงไปด้วยแรงผลักดันที่ท่วมท้นจนทำให้ผู้คนหายใจหายคอไม่ออก ซ่งชูอียังคงเดินหมากทีละขั้นโดยปกปิดความปรารถนาที่จะฆ่าอย่างระมัดระวัง
หมากครั้งนี้ไม่ได้เดินนานนัก เพียงแต่สองเค่อก็เสร็จสิ้นแล้ว ซ่งชูอีพ่ายแพ้
“ไท่ฟู่กำลังคิดอะไรอยู่?” อิ๋งซื่อถาม
ซ่งชูอีสบตาที่ดำขลับของเขา ยิ้มเอ่ย “ฝ่าบาทกำหนดกลยุทธ์การต่อสู้ กระหม่อมจะไม่สั่นสะท้านได้อย่างไร?”
อิ๋งซื่อรับผ้าเช็ดหน้าจากขันทีมาเช็ดมือ ทำเป็นหูทวนลมกับคำเยินยอของนาง
ทั้งสองคนเดินหมากกันอีกครั้ง ครั้งนี้ซ่งชูอีมีสมาธิดีเยี่ยม หลังจากหนึ่งชั่วยามให้หลังก็เข้าสู่กลางกระดาน อิ๋งซื่อตามหลังอยู่ครึ่งตา ทว่าสถานการณ์โดยรวมกลับไม่ได้ตามหลังเลย
ดูท่าว่าจะต้องใช้เวลาอย่างน้อยครึ่งชั่วยามในการแบ่งชัยชนะหรือความพ่ายแพ้ ตำแหน่งของอิ๋งซื่อไม่ขยับเขยื้อนเลย “ค่อยหาเวลาเล่นหมากนี้ให้จบเถิด คืนนี้พอแค่นี้”
แน่นอนว่าซ่งชูอีไม่มีความเห็น
ข้างนอกฟ้ามืดแล้ว อิ๋งซื่ออาบน้ำเรียบร้อย
ในอดีตเวลาที่ซ่งชูอีค้างแรมก็จะนอนในห้องเล็กตามลำพัง บางครั้งก็ไม่ได้แตะเตียงเลยทั้งคืน ซ่งชูอีรู้สึกประหลาดใจ ค้างแรมก็ค้างแรมไปสิ นี่ก็ไม่ใช่ครั้งแรกเสียหน่อย ทว่าอากาศเย็นเช่นนี้จะอาบน้ำอะไรกัน ไม่ได้นอนบนเตียงท่านอ๋องเสียหน่อย!
ไม่ช้านางก็ได้รับคำตอบว่าคืนนี้นางจะต้องนอนร่วมเตียงกับกษัตริย์จริงๆ!
เมื่อกลับมาถึงห้องบรรทมบนหอคอย อิ๋งซื่อก็อาบน้ำเรียบร้อยแล้ว เขาเอนกายลงบนเตียงพร้อมอ่านเอกสาร ยังคงสวมเสื้อแขนยาวสีดำที่ไม่มีลวดลายแม้แต่น้อย ตัวเขาหลอมละลายไปกับความหนาวเย็นทำให้รู้สึกกดดันและขึงขัง โชคดีที่ตัวเขาอาบไล้อยู่ภายใต้แสงสีส้มซึ่งเพิ่มความอบอุ่นและนุ่มนวลให้กับความหนาวเย็นนั้นเล็กน้อย
ซ่งชูอีลอบด่าเว่ยเต้าจื่อ เรื่องพรรค์นี้เรียกแขกได้ดีจริงๆ!
นางไม่ได้รังเกียจ เพียงแต่ชายรูปงามเช่นนี้อยู่ตรงหน้า ทั้งยังร่วมเตียงเดียวกัน…
เมื่อมีอาหารอันโอชะอยู่ข้างปาก นางจะกินหรือว่าไม่กินดีเล่า?
หลังจากอิ๋งซื่ออ่านม้วนเอกสารในมือจบแล้ว ก็ยื่นมือไปหยิบอีกม้วน มองนางผ่านช่องว่าง “คิดจะยืนอีกนานแค่ไหน?”
“แค่ก” ซ่งชูอีไอเสียงหนึ่ง ค่อยๆ เขยิบไปที่ด้านข้างของเตียง
ขันทีเถาอุ้มหมอนหยกปีนขึ้นไปบนเตียงแล้ววางมันไว้ด้านในข้างอิ๋งซื่อ หลังจากลงจากเตียงแล้วก็ค้อมตัวเอ่ย “ไท่ฟู่เชิญ”
“กระหม่อมควรนอนด้านนอกไม่ใช่หรอกหรือ?” แม้ว่าซ่งชูอีจะไม่เคยนอนร่วมเตียงกับกษัตริย์แต่ก็รู้กฎเล็กน้อย
เมื่อเห็นว่าอิ๋งซื่อไม่ตอบ ขันทีเถาก็โค้งคำนับ “ไท่ฟู่ ท่านอ๋องต้องการอ่านเอกสาร ต้องใช้แสงสว่าง”
ซ่งชูอีไม่พูดมากอีกต่อไป ปีนขึ้นไปบนเตียงทันทีแล้วขยับตัวเข้าไปนั่งขัดสมาธิด้านในที่ข้างเท้าอิ๋งซื่อ
เมื่อขันทีเถาเห็นเช่นนี้ก็โค้งคำนับและถอยออกไป สั่งให้เด็กรับใช้ลดผ้าม่านในห้องบรรทมลง
“ฝ่าบาทรีบพักผ่อนหน่อยดีหรือไม่?” ซ่งชูอีเต็มไปด้วยความคิดที่จะสอบถามเกี่ยวกับสงครามระหว่างฉินและเว่ย เดิมทีก็นอนไม่หลับอยู่แล้ว บวกกับอิ๋งซื่อไม่ได้นอนก็ไม่ใคร่ดีนักที่นางจะนอนลง
“อืม” อิ๋งซือปิดม้วนเอกสาร นิ้วเรียวยาวลูบมันอย่างแผ่วเบาอีกครั้งก่อนจะวางลงบนโต๊ะตัวเตี้ย
ด้วยการกระทำเพียงแค่นี้ ซ่งชูอีก็สามารถเข้าใจถึงความอาลัยอาวรณ์อันไม่มีที่สิ้นสุดของเขา
อิ๋งซื่อยกมือขึ้นเพื่อปลดม่านเตียงลง แสงไฟภายในสลัวลงทันที
ซ่งชูอีสายตาไม่ดี แทบมองไม่เห็นอะไรเลยในแสงเช่นนี้ นางได้ยินเสียงสวบสาบก็คาดว่าอิ๋งซื่อคงนอนลงแล้ว นางจึงคลำหาหมอนหยกแล้วนอนลง
เมื่อศีรษะของนางสัมผัสอยู่บนหมอนก็กลับรู้สึกประหลาดใจที่ไม่ใช่สัมผัสเย็นของหยก แต่กลับเป็ยสิ่งที่อบอุ่นและนุ่มนวล นางคลำดูก็พบว่ามันคือมือใหญ่มือหนึ่ง
อิ๋งซื่อยกศีรษะของนางขึ้นมา มืออีกข้างหนึ่งดึงหมอนอิงของตัวเองแล้ววางเข้าไปอย่างเบามือ
“ฝ่าบาท…” ซ่งชูอีเดาว่ามันคือหมอน ในใจรู้ว่าอิ๋งซื่อกลัวว่าหมอนหยกในฤดูหนาวจะหนุนได้ไม่สบายนัก “ปกติกระหม่อมอยู่ที่บ้านก็หนุนสิ่งนี้ ฝ่าบาทเอาไปหนุนเถิด”
“เช่นนั้นก็ทิ้งไปเสีย” อิ๋งซื่อกล่าวอย่างเฉยเมย
ซ่งชูอีกล้าทิ้งที่ไหนกัน ทำได้เพียงหนุนมัน หมอนมีกลิ่นของอิ๋งซื่อที่ผสมกับกลิ่นธูปผ่อนคลายอ่อนๆ ซึ่งทำให้รู้สึกสบายใจ ผ่อนคลายความวิตกกังวลในหัวใจของซ่งชูอี “ฝ่าบาทมีเรื่องจะพูดไม่ใช่หรือ?”
“เมื่อคืนข้าฝัน” อิ๋งซื่อไม่ได้แทนตัวเองว่า “กว่าเหริน” อีก น้ำเสียงอ่อนโยนกว่าที่เคย ราวกับว่าเป็นคนธรรมดาที่กำลังสนทนากัน ถ้าไม่ใช่เพราะเส้นเสียงทุ้มต่ำนั้น ซ่งชูอีแทบจะคิดว่าเป็นคนอื่นที่นอนอยู่ข้างนาง
ซ่งชูอีเอ่ยด้วยความสงสัย “ความฝันประเภทใดกันที่ทำให้ฝ่าบาทเป็นกังวลเช่นนี้?”
“เจ้า” แก้มของอิ๋งซื่อร้อนผ่าวในความมืด
ซ่งชูอีตกตะลึง ไม่สามารถตอบสนองความหมายของคำพูดของเขาไปชั่วขณะ
ภายในห้องเงียบสงัด
เหมือนกับผ่านไปนานมากแต่ก็เหมือนเพียงชั่วพริบตา ซ่งชูอีเอ่ยปากถาม “ข้าทำอะไรในความฝันของฝ่าบาทหรือ?”
“ไม่มีอะไร” อิ๋งซื่อเอ่ย
“ข้าก็เคยฝันถึงฝ่าบาท” ซ่งชูอีเอ่ย
“หืม?” อิ๋งซื่อหันหน้ามามองนาง
รอยยิ้มของซ่งชูอีสงบและเปิดกว้าง “ไม่ใช่แค่ครั้งเดียวนะ! จำที่พบกันในซางตี้ครั้งแรกได้หรือไม่ ท่านแต่งตัวเป็นแม่ทัพ ดูกล้าหาญมาก ต่อมาข้าก็ฝันถึงฉากนั้นบ่อยครั้ง รวมถึงตอนที่ฝ่าบาทกล่าวว่าจะมอบความบันเทิงให้กระหม่อมด้วยสาวงาม…”
มุมปากของอิ๋งซื่อยกยิ้มเล็กน้อย “เช่นนั้นหรือ”
ครั้นนึกถึงตอนที่เจอกันครั้งแรกในซางตี้ พูดตามตรงว่าอิ๋งซื่อถูกดึงดูดความสนใจโดยไป๋เริ่นกับทักษะการยิงธนูอันยอดเยี่ยมและแม่นยำของจี๋อวี่ การมองเพียงแวบเดียวนั้นเขาไม่ได้สังเกตเห็นซ่งชูอีเลย แม้ว่าตอนนี้เขาจะนึกถึงอย่างระมัดระวัง แต่ก็ไม่สามารถนึกถึงรูปลักษณ์และการแสดงออกของนางในเวลานั้นได้ ครั้งที่สองที่พบกันในเสียนหยาง นางเป็นราชทูตรัฐเว่ย์ รัฐเว่ย์เป็นเพียงรัฐเล็กๆ ที่ไม่มีความสำคัญและเขาไม่เคยสนใจเรื่องนี้แม้แต่น้อย เมื่อซ่งชูอีปรากฏตัว เขาเพียงรู้สึกประหลาดใจในวัยเยาว์ของนาง ดังนั้นจึงมองสำรวจนางอย่างละเอียดมากขึ้นหน่อย ตอนที่สำรวจนางอย่างจริงจังก็ยังเป็นหลังจากที่นางมีส่วนร่วมใน “ทฤษฎีโค่นรัฐ” แล้ว
“กระหม่อมบังอาจออกความเห็นว่า ฝ่าบาทเป็นชายที่น่าดึงดูดนัก อย่าว่าแต่ผู้หญิงเลย แม้แต่กระหม่อมเองก็ยากที่จะลืมเลือนในแวบแรก” ซ่งชูอีแสดงความชื่นชมในแง่มุมนี้อย่างตรงไปตรงมาเสมอ
“อย่าว่าแต่ผู้หญิง?” รอยยิ้มบนใบหน้าของอิ๋งซื่อที่ล้ำลึก
ซ่งชูอีหัวเราะเสียงดัง “ข้ามักจะลืมนับว่าตัวเองอยู่ในกลุ่มนี้”
“เว่ยเต้าจื่อเชี่ยวชาญด้านชายหญิง เหตุเจ้ากลับหูป่าตาเถื่อนเพียงนี้?” อิ๋งซื่อเอ่ย
ซ่งชูอีหัวใจเต้นแรง “ศิษย์พี่ใหญ่เขา…”
อิ๋งซื่อเป็นคนประเภทไหน?! หากมีคนอื่นตีท้ายครัวบ้าน เขาจะมองไม่เห็นได้อย่างไร!
อิ๋งซื่อกล่าวอย่างไม่แยแส “ก็แค่ผู้หญิงไม่กี่คนเท่านั้น ตราบใดที่เขาไม่มุ่งหวังที่หวังโฮ่วและหมี่จี ก็ไม่จำเป็นต้องกังวล”
หวังโฮ่วเป็นพระชายาของเขา แม้จะไม่มีความรักก็ไม่สามารถปล่อยให้คนอื่นเข้ามามีส่วนร่วมได้ หมี่จียังเป็นมารดาของโอรสเขา หากนางมีชู้ ผู้ที่อับอายไม่ได้มีเพียงอิ๋งซื่อคนเดียว ยังมีลูกชายทั้งสองของนางอีกด้วย
ขืนเว่ยเต้าจื่อยังเป็นเช่นนี้ต่อไป เกรงว่าคงจะตกอยู่ในหลุมแห่งกามไม่ช้าก็เร็ว!
ซ่งชูอีถอนหายใจ จากนั้นก็ตอบว่า “ใช่ว่าข้าหูป่าตาเถื่อน เพียงแต่สุภาพบุรุษต้องกระทำสิ่งที่พึงกระทำและละวางสิ่งที่พึงละวาง”
“หึหึ” อิ๋งซื่อหัวเราะเบาๆ
บรรยากาศตึงเครียดระหว่างทั้งสองหายไป พวกเขาควบคุมอารมณ์ของตนเองได้ดีมาก ถึงแม้พรุ่งนี้จะต้องสู้กัน แต่วันนี้ก็ยังคุยและหัวเราะกันได้
“หวยจิน” จู่ๆ อิ๋งซื่อก็กล่าวขึ้น “เป็นหวังโฮ่วข้าเถิด”