กุนซือหญิงยอดอัจฉริยะ - บทที่ 376 ได้โปรดเจ้าปล่อยนางไป
ชายที่นำทหารม้าเหล็กคลุมหน้าด้วยผ้าสีดำ เผยให้เห็นเพียงคิ้วตา เส้นผมปล่อยสยายอยู่ในสายลม หิมะบนหน้าผากที่ละลายเนื่องจากอุณหภูมิของร่างกายผสมกับเหงื่อจนทำให้ผมเปียก แม้จะเป็นเช่นนี้ก็ยังไม่สามารถซ่อนเร้นความสง่างามของเจ้าตัวได้
เจ้าอี่โหลวกลับมาอย่างไม่ลังเล
เขาไม่รู้ว่าเขาสามารถเชื่อคำพูดของชูหลี่จี๋ได้หรือไม่ อย่างไรก็ตามเขาสามารถละทิ้งทุกอย่างในโลกนี้ได้เพียงเพื่อได้กุมมือของซ่งชูอี เขาจะยอมแพ้ไม่ได้ ดังนั้นเขาจึงไม่กล้าเดิมพัน
วันรุ่งขึ้นหิมะหยุดตก
ในที่สุดอิ๋งซื่อที่อยู่ในอาการหมดสติก็ฟื้นขึ้นมา
เขาเขียนพินัยกรรมเมื่อหลายปีก่อน งานศพก็ถูกตระเตรียมไว้แล้วพอสมควร แม้ว่าจะหลับตาลงตอนนี้ก็จะไม่เกิดเรื่องโกลาหลขึ้น
“ขันทีเถา” อิ๋งซื่อวางพู่กันลง ส่งแผ่นไผ่ให้เขา “อ่านเถิด”
ด้านบนมีคำพูดไม่กี่คำ ลายมือยังคงแข็งแรงและทรงพลัง ขันทีเถาเอ่ยด้วยความประหลาดใจ “ฝ่าบาท…”
“ไม่ต้องพูดมาก ไปทำตามความตั้งใจของกว่าเหริน” อิ๋งซื่อไอสองสามที หลังจากสงบลมหายใจได้แล้วก็เอ่ยขึ้น “ไปเรียกท่านมหาเสนาบดีฝ่ายขวาเข้ามา”
“พ่ะย่ะค่ะ” ขันทีเถาเก็บแผ่นไม้ไผ่ไว้ในอก ออกไปเรียกชูหลี่จี๋
“เสด็จพ่อ ท่านฟื้นแล้ว!” อิ๋งตั้งเข้ามา เมื่อเห็นอิ๋งซื่อพิงอยู่บนเตียงก็ดีใจสุดขีดจนหลั่งน้ำตา
อิ๋งซื่อขมวดคิ้ว “เป็นลูกผู้ชาย จะร้องไห้ง่ายๆ ได้อย่างไร?”
อิ๋งซื่อเช็ดๆ หน้าลวกๆ “ความกตัญญูมาก่อน ลูกเป็นห่วงเสด็จพ่อ”
“เช่นนั้นรอให้ข้าตายค่อยร้องก็ยังไม่สาย” อิ๋งซื่อกล่าวอย่างหัวเสีย
“เสด็จพ่อ ข้ากลัว” อิ๋งตั้งนั่งลงบนราวเตียง กุมมือของอิ๋งซื่อแน่น พ่อของเขามักจะมีใบหน้าเย็นชา ทำงานด้วยความเรียบร้อยเด็ดขาด ทั้งยังเข้มงวด ทว่าเขารู้ว่าที่จริงแล้วเสด็จพ่อรักเขามาก ดังนั้นเขาจึงไม่เคยกลัว
“เจ้าเห็นว่าข้ายังไม่ตายจึงจงใจมาทำให้อายุของข้าสั้นลงรึ” อิ๋งซื่อเอ่ยเฉยเมย “ไปซะ”
อิ๋งตั้งไม่กลัว กล่าวด้วยรอยยิ้ม “ลูกเห็นเสด็จพ่อยังมีแรงด่าคน ในใจก็รู้สึกสงบมากแล้ว”
อิ๋งซื่อนวดคลึงคิ้ว นึกถึงตอนที่อิ๋งตั้งยังเป็นเด็กนั้นว่านอนสอนง่าย นับตั้งแต่เปลี่ยนให้ซ่งหวยจินเป็นอาจารย์แล้วก็กลายเป็นคนหน้าด้าน…ไม่เพียงเท่านั้น เขายังสามารถรับรู้ถึงความอ่อนโยนน้อยนิดในหัวใจของเขาได้
คิดๆ ดูแล้ว ความสามารถเช่นนี้ก็เป็นเรื่องที่ดีกระมัง
“ฝ่าบาท มหาเสนาบดีฝ่ายขวามาแล้วพ่ะย่ะค่ะ” ขันทีเถาเอ่ย
อิ๋งซื่อไล่อิ๋งตั้งออกไป สั่งให้ชูหลี่จี๋เข้ามาและคุยกับเขาตามลำพัง
การสนทนาจบลงเมื่ออิ๋งซื่อหลับไปอีกครั้งในกลางดึก
เจ้าอี่โหลวเดินทางโดยไม่หยุดพัก ในที่สุดก็สามารถมองเห็นนครเสียนหยางที่ล้อมรอบไปด้วยหิมะสีขาวโพลนในยามวิกาลจากระยะไกล
เมื่อเสียนหยางปรากฏสู่สายตา จู่ๆ หัวใจของเขาก็สงบลง สั่งให้หาที่พักผ่อนชั่วคราวจนรุ่งสาง
ทหารม้าเหล็กเกินครึ่งล้วนเป็นลูกน้องผู้ภักดีของเจ้าอี่โหลว การเปลี่ยนแม่ทัพใหญ่ในครั้งนี้สร้างความไม่พอใจให้กับทหารม้าเกราะดำเป็นอย่างมาก รองแม่ทัพหลายคนไม่เข้าใจสถานการณ์ แต่ก็สามารถรับรู้บรรยากาศที่กดดันล่าสุดในราชสำนักได้อย่างคลุมเครือ เพราะความกังวลที่อธิบายไม่ได้นี้ พวกเขาจึงจัดเตรียมนักสู้ที่ดีที่สุดในกองทัพเพื่อคุ้มกันเจ้าอี่โหลวไปตลอดทาง
ด้วยเหตุนี้ ซ่งเจียนที่ติดตามมาตลอดทางกลับไม่เคยพบโอกาสที่จะได้ใกล้ชิดเลย
คำสั่งของซ่งเจียนจากซ่งชูอีคือปกป้องเจ้าอี่โหลวและหยุดยั้งไม่ให้เขากลับมายังเสียนหยาง หลังจากการสังเกตในช่วงเวลานี้ ซ่งเจียนคิดว่าเจ้าอี่โหลวปลอดภัยอย่างมาก หากมีคนคิดที่จะฆ่าเขา ทหารเกราะดำจะต้องปกป้องเขาด้วยชีวิตอย่างแน่นอน แต่ตอนนี้เสียนหยางอยู่ตรงหน้าแล้วถ้าไม่ยับยั้ง มันก็จะสายเกินไป!
ซ่งชูอีเคยสั่งซ่งเจียนไม่ให้ปรากฏตัวต่อหน้าเจ้าอี่โหลว แต่ท่ามกลางความอับจนหนทางนี้ ก็ยังคงรู้สึกว่าการป้องกันไม่ให้เข้านครสำคัญกว่า
ครั้นตัดสินใจแล้ว ซ่งเจียนก็ควบม้าไปยังสถานที่ที่เจ้าอี่โหลวพักผ่อน ลงจากม้าแล้วเดินเข้าไปในระยะห่างออกไปร้อยจั้ง
“ใครน่ะ!”
เสียงคำรามรุนแรงทะลุม่านหิมะ ซ่งเจียนอดที่จะถอนหายใจมิได้ สมกับเป็นทหารเกราะดำผู้แข็งแกร่งจริงๆ! เขายังคงมั่นใจในศิลปะการต่อสู้ของเขา ทว่าเขาสามารถเข้าใกล้ได้ในระยะห้าจั้งเท่านั้น
“ท่านแม่ทัพ!” ซ่งเจียนเอ่ยปาก
เจ้าอี่โหลวขมวดคิ้ว หันหน้ามองไปยังที่มาของเสียง
ซ่งเจียนลุกยืนขึ้นจากหิมะ ร่างกายที่เรียวยาวของเขาเหมือนไม้ไผ่สีดำที่ปักอยู่บนหิมะ
เจ้าอี่โหลวโยนถุงสุราทิ้งแล้วลุกขึ้นยืน เอ่ยด้วยเสียงเย็นชา “เจ้ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร!”
ซ่งเจียนรู้สึกได้ถึงพลังสยบศัตรูที่เล็ดลอดออกมาจากร่างของเจ้าอี่โหลว แต่ก็ไม่พลาดความตื่นตระหนกที่แฝงอยู่ในน้ำเสียงตึงเครียดนั้น ดังนั้นซ่งเจียนจึงตัดสินใจที่จะเปิดเผยความจริงส่วนหนึ่ง “ท่านแม่ทัพ ข้าน้อยต้องการพูดกับท่านเป็นการส่วนตัว”
คนรอบข้างเห็นว่าเจ้าอี่โหลวพยักหน้า ก็ถอยออกอกไปสามจั้ง แต่ไม่ได้ละความสนใจออกไปจากเจ้าอี่โหลวเลย
“หวยจินส่งเจ้ามาเพราะเหตุใด?” เมื่อซ่งเจียนเดินเข้าไปใกล้ เจ้าอี่โหลวก็กดเสียงต่ำถาม
ซ่งเจียนกล่าว “นายท่านสั่งให้ข้ามาบอกท่านว่าห้ามเข้านครเด็ดขาด”
“หวยจินไม่เป็นไรนะ?” เจ้าอี่โหลวสงสัย
ซ่งเจียนไม่สามารถแอบเข้าไปในกองทัพได้และไม่รู้ว่าทำไมเจ้าอี่โหลวจึงกลับมากะทันหัน ทว่าดูจากการแสดงออกของเจ้าอี่โหลวในตอนนี้จะต้องเป็นเพราะซ่งชูอีเกิดเรื่องแน่ๆ!
ความคิดที่สับสนวุ่นวายปรากฏขึ้น เขาตัดสินใจที่จะเชื่ออย่างแน่วแน่ว่าซ่งชูอีสามารถแก้ปัญหาได้ ดังนั้นจึงกล่าวไปตามตรง “ทุกอย่างเป็นเหมือนปกติขอรับ”
“ข้าได้รับจดหมายที่มหาเสนาบดีฝ่ายขวาส่งมาอย่างลับๆ กล่าวว่าหวยจินถูกกักตัวอยู่ในวัง ในนั้นบอกว่าเป็นราชโองการของฝ่าบาทให้ข้ากลับมา” เจ้าอี่โหลวหล่าว
ซ่งเจียนเอ่ยกระซิบ “ได้โปรดให้อภัยที่ข้าน้อยกล่าวตามตรง เห็นได้ชัดว่ามีคนจัดฉากเพื่อยืมวิธีของคนอื่นในการแก้ไขแผนการตัวเอง! นายท่านมีสติปัญญาเป็นเลิศ บวกกับได้วางแผนเป็นเวลานานหลายปี จะต้องถอยด้วยกำลังทั้งหมดอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ หากท่านแม่ทัพตกหลุมพราง แผนการของนายท่านก็จะถูกยับยั้ง”
เจ้าอี่โหลวกังวลปัญหานี้ตลอดเวลา ดังนั้นแม้ว่าจะมีป้ายราชโองการและสามารถเข้านครได้ช่วงดึก เขาก็ไม่กะตือรือร้นที่จะทำมัน เขากลัวว่าตนเองจะตัดสินใจผิดพลาดและดึงซ่งชูอีลงคลองมาด้วย
ซ่งเจียนเอ่ย “ข้าน้อยกับท่านแม่ทัพร่วมมือกัน ฆ่าทหารเกราะดำยี่สิบคนก็ไม่เป็นปัญหา จากนั้นพวกเราค่อยซ่อนตัว แอบสืบข่าวคราวของนายท่าน เมื่อมั่นใจว่านายท่านออกจากนครแล้วค่อยล่าถอยออกมา”
เจ้าอี่โหลวเงียบงัน
ผู้คนใต้หล้าต่างยอมจำนนและเกรงกลัวผู้สูงศักดิ์เข้ากระดูก การศึกษาในสมัยเด็กๆ ของเจ้าอี่โหลวแทบจะเหมือนองค์ชายทั่วไป การใช้ชีวิตอยู่ในป่าเป็นเวลาหลายปีได้เพิ่มความดุร้ายให้กับความสูงศักดิ์นี้ หลังจากกว่าสิบปีของการต่อสู้ก็ทำให้เขาใจเย็นมากขึ้นและมีบุคลิกแห่งความเป็นกษัตริย์มากขึ้นเรื่อยๆ
นอกจากนี้ เขายังได้รับความเคารพและความภักดีจากผู้ใต้บังคับบัญชาของเขาอย่างจริงใจ ทั้งยังเป็นเพราะเขาสามารถต่อสู้และล่าถอยไปพร้อมกับทหาร ร่วมเป็นร่วมตาย ปฏิบัติต่อนายทหารที่มีตำแหน่งต่ำที่สุดในฐานะมนุษย์ ความภักดีในกระดูกของเขาแพร่กระจายไปยังทุกคนเสมอ มันคือมิตรภาพที่ถูกล้างด้วยเลือดอย่างแท้จริง บัดนี้จะให้เขาฆ่าพี่น้องที่ติดตามเขา…จะให้เขาทำได้อย่างไร!
ทว่าเจ้าอี่โหลวก็ไม่รู้ว่าพวกเขาจะเลือกอะไรระหว่างเขากับต้าฉิน
“พวกเจ้าทุกคนก้าวเข้ามา” เจ้าอี่โหลวเอ่ยเสียงดัง พวกเขาเข้ามาในด่านหานกู่ เบาะแสถูกเปิดเผยมานานแล้ว จะฆ่าคนปิดปากในตอนนี้ก็ไม่มีความหมายเท่าใดนัก เมื่อทุกคนเข้ามาใกล้ เจ้าอี่โหลวก็พูดต่อ “ฝ่าบาทต้องการฆ่าข้า บัดนี้ข้าอยู่ในสถานการณ์แห่งความเป็นและความตาย ข้าตัดสินใจที่จะออกไป หากพวกเจ้าขัดขวางก็จะเป็นศัตรูของข้า”
พูดจบก็ยกจวี้ชางขึ้นตรงหน้า แม้ว่าจะเป็นศัตรู แต่เจ้าอี่โหลวก็จะให้สิทธิ์พวกเขาเลือก
ทุกคนประหลาดใจ มีคนพูดขึ้นอย่างเหลือเชื่อ “ท่านแม่ทัพแสดงความกล้าหาญในการต่อสู้เพื่อต้าฉิน ฝ่าบาทจะลงมือฆ่าได้อย่างไร เป็นการยั่วยุของคนชั่วหรือเปล่า!”
ทุกคนมองซ่งเจียนด้วยสายตาที่ไม่ดีนัก
โดยทั่วไปแล้วชาวฉินเป็นคนตรงไปตรงมาและเรียบง่ายในอารมณ์ พวกเขาไม่รู้หนังสือ ไม่เข้าใจหลักการยิ่งใหญ่ แต่จิตใจกลับบริสุทธิ์ พวกเขาจะไม่มีทางรู้ว่าจิตใจและวิสัยทัศน์ระยะยาวของอิ๋งซื่อซับซ้อนเพียงใด
“ถ้าต้องการหยุดข้าเพื่อต้าฉิน ก็วาดดาบมาเถิด!” เจ้าอี่โหลวเอ่ย
ทุกคนมองหน้ากัน ชะงักงันเช่นนี้ครู่หนึ่ง มีคนขว้างดาบของเขาไปที่เท้าของเจ้าอี่โหลว “ข้าน้อยไม่เป็นศัตรูกับท่านแม่ทัพ”
คำสั่งที่พวกเขาได้รับคือปกป้องเจ้าอี่โหลว ไม่มีใครสั่งให้พวกเขาทำอย่างอื่น นอกจากนี้เจ้าอี่โหลวยังคงเป็นแม่ทัพแห่งต้าฉินไม่ใช่นักโทษ แม้ว่าเขาจะปล่อยไปในวันนี้มันก็ไม่ใช่อาชญากรรมใหญ่โตอะไร
ทุกคนขว้างดาบลง
ขณะที่เจ้าอี่โหลวกำลังจะจากไป ก็มีเสียงกรอบแกรบดังขึ้นในหิมะ ไม่รู้ว่าคนในชุดดำยี่สิบกว่าคนโผล่ออกมาจากไหน ล้อมทุกคนไว้ตรงกลางอย่างรวดเร็ว
“ผู้อารักขาลับ!” มีคนจำสถานะของคนในชุดดำเหล่านี้ได้ จึงตระหนักขึ้นได้ว่าท่านอ๋องอาจต้องการฆ่าเจ้าอี่โหลวจริงๆ!
ลูกศรหน้าไม้พุ่งออกไปเสียงดังฟิ้ว เจาะทะลุเสื้อเกราะของทหารชุดเกราะนายหนึ่ง
“ยกดาบขึ้น!” เจ้าอี่โหลวคำราม
ทุกคนมีปฏิกิริยา ยกลูกศรเข้าต่อสู้ทันที การเคลื่อนไหวของผู้อารักขาลับรวดเร็วมาก เพียงระยะเวลาสั้นๆ ก็ทำให้เจ็ดแปดคนล้มลงไปแล้ว ทหารชุดเกราะที่เหลือดวงตาแดงก่ำ พวกเขาไม่เข้าว่าเหตุใดท่านอ๋องจึงต้องการสังหารวีรบุรุษ แต่ก็เห็นได้ชัดว่าหากไม่ขัดขืนก็จะตายในไม่ช้า สัญชาตญาณในการเอาชีวิตรอดกระตุ้นความแข็งแกร่งในร่างกาย พวกเขาทะลวงเข้าไปด้านหน้าของมือธนูผู้อารักขาลับภายในอึดใจเดียว
ผู้อารักขาลับทุกคนมีศิลปะการต่อสู้ แต่กองทัพเกราะดำเหล่านี้ก็เป็นนักรบเช่นกัน ไม่ต้องพูดถึงประสบการณ์การต่อสู้ระยะประชิดในสนามรบซึ่งอยู่เหนือกว่าผู้อารักขาลับเล็กน้อย
สองฝ่ายกำลังต่อสู้กัน ทหารชุดเกราะสีดำสามารถรับมือได้ในตอนแรก แต่เพราะว่ามีจำนวนคนน้อย จึงล้มลงทีละคนในไม่ช้า
เจ้าอี่โหลวพบว่าผู้อารักขาลับหลีกเลี่ยงเขาระหว่างการต่อสู้ทั้งโดยตั้งใจหรือไม่ตั้งใจ เขาจึงมั่นใจว่าซ่งชูอีปลอดภัยดี หากพวกเขาสามารถควบคุมซ่งชูอีได้จริง คงไม่ต้องการที่จะจับเป็นเขาแน่!
“หยุดก่อน!” จู่ๆ ก็มีใครบางคนตะโกนขึ้นไม่ไกล
ผู้อารักขาลับวางมือพร้อมกันแล้วถอยออกไปสองจั้ง
เจ้าอี่โหลวกับซ่งเจียนยืนค้ำดาบอยู่ด้วยกัน เห็นเพียงกว่าสองร้อยคนกำลังขี่ม้ามาทางนี้ ในพริบตาก็ล้อมรอบเจ้าอี่โหลวและซ่งเจียนเอาไว้และในเวลานี้ไม่มีกองทัพเกราะดำเหลืออยู่อีกแล้ว
กำแพงมนุษย์ถูกเปิดออก ชายผิวดำร่างสูงในชุดสีดำทะมัดทะแมงเดินเข้ามาในวงล้อมของสงคราม เขาดึงหน้ากากลง เผยให้เห็นใบหน้าที่เจ้าอี่โหลวคุ้นเคยยิ่ง เขาเดินเข้าไปเรื่อยๆ ตามลำพังโดยไร้อาวุธติดมือ
“ท่านมหาเสนาบดีฝ่ายขวา” เจ้าอี่โหลวหยุดการก้าวเดินของเขาอย่างเย็นชา
“ข้าจะไม่ฆ่าเจ้า” ชูหลี่จี๋แบมือออกเพื่อแสดงให้เห็นให้เห็นว่าตนไม่มีอาวุธ “เพราะว่าข้ายังต้องรอให้เจ้าไปช่วยหวยจิน”
ท่ามกลางสายลมและหิมะที่โหยหวน แววตาของชูหลี่จี๋ยังคงอ่อนโยนเหมือนเช่นเคย “หวยจินไร้อาวุธหมดหนทางสู้ ทั้งยังมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับท่านอ๋อง ท่านอ๋องต้องการให้นางเป็นไท่โฮ่วเพื่อช่วยองค์รัชทายาทต่อไป เงื่อนไขก็คือต้องฆ่าเจ้า ทว่านางเป็นตายอย่างไรก็ไม่ยอม”
ชูหลี่จี๋จ้องมองใบหน้าของเจ้าอี่โหลว พูดต่อว่า “เจ้าเคยเป็นกษัตริย์แห่งรัฐเจ้า ศักดิ์ศรีของเจ้าในกองทัพฉิน ความสัมพันธ์ระหว่างเจ้ากับซ่งหวยจิน ท่านอ๋องยอมรับเจ้าไม่ได้แน่! คนที่ท่านอ๋องรับไม่ได้…ที่ผ่านมาก็มีเพียงเจ้าเท่านั้น! หากเจ้ายื้อซ่งหวยจินไว้ สุดท้ายแล้วพวกเจ้าสองคนก็มีแต่ตายเท่านั้น!”
ชูหลี่จี๋หลุบตาลงพลางทอดถอนใจ “ปล่อยนางไปเถิด”