กุนซือหญิงยอดอัจฉริยะ - บทที่ 382.2 ตอนพิเศษ 2 ไป๋เริ่นจวิน
พึงระวังสิ่งมีชีวิตที่ไร้สติสัมปชัญญะและไร้ศีลธรรมทุกประเภท
————————————————————
นับตั้งแต่การล่มสลายของกวนเน่ยโหวซ่งหวยจินแห่งรัฐฉิน ไป๋เริ่นก็ได้กลายเป็นตำนานในใต้หล้า
อย่างไรก็ดีเมื่อไม่นานมานี้มันได้แสดงความเสียใจอย่างมากเกี่ยวกับความจริงที่ว่าชื่อเสียงของมันได้แพร่กระจายไปทั่วหล้าแล้ว อีกทั้งรู้สึกอย่างลึกซึ้งว่าคุณภาพชีวิตที่ดีกำลังจะหายไป ในอดีตตอนที่ซ่งหวยจินยังอยู่ “ในใต้หล้า” มันสามารถผยองไปรอบๆ นครเสียนหยาง เมื่อทุกร้านเห็นมันก็ล้วนให้มันกินดื่มด้วยความเคารพ แม้ว่ามันจะไม่เคยกินแต่มันก็สามารถห่ออาหารกลับบ้านได้!
นับตั้งแต่วันที่เสียนหยางล่มสลายมาจนถึงวันนี้ เวลาจะออกจากบ้านก็ต้องใช้เส้นทางที่มีผู้คนเบาบาง ไป๋เริ่นยังคงปรับตัวกับความแตกต่างครั้งใหญ่นี้ไม่ได้จนถึงป่านนี้
สิ่งที่ทำให้เศร้ายิ่งกว่าคือเมื่อสมาชิกในครอบครัวน้อยจะน่าเบื่อมาก และคุณภาพก็แย่อย่างน่าประหลาดใจ! สำหรับเรื่องคุณภาพนั้น ผู้แซ่ซ่งคนนี้ดึงทุกคนไว้ข้างหลังอย่างน่าเหลื่อเชื่อ
ก่อนอื่น ด้วยสติปัญญาที่หาผู้ใดเปรียบเช่นไป๋เริ่นนี้ มันรู้แม้กระทั่งว่าหลังจากขันทีในวังถูกเฉือนลูกเจี๊ยบน้อยออกไปแล้วก็จะกลายเป็นสิ่งที่ไม่หญิงไม่ชาย แต่ผ่านมาหลายสิบปีแล้วที่มันเองก็ยังไม่รู้ว่าผู้แซ่ซ่งเป็นหญิงหรือชาย!
นี่ไม่ใช่เพียงความท้าทายต่อสติปัญญาเท่านั้น แต่ยังทำให้ระดับชั้นโดยรวมของมันลดลงอีกด้วย ไป๋เริ่นแสดงความไม่พอใจและเชื่อว่ามีผู้แซ่ซ่งเป็นสินค้าที่มีข้อบกพร่อง
ไป๋เริ่นครุ่นคิดมาหลายปีก็รู้สึกว่าตนทั้งโง่ทั้งไร้เดียงสายิ่ง ตอนนั้นมันยังเด็กและติดตามท่านแม่ตลอดเวลา เรื่องของเพศชายและเพศหญิงยังคงเป็นเรื่องคลุมเครือมากสำหรับมัน ครั้งหนึ่งมันเคยคิดว่าหมาป่าหิมะทุกตัวล้วนเป็นตัวเมีย ดังนั้นเรื่องที่โตแล้วแต่ยังไม่ตั้งเต้า จึงเป็นเรื่องน่าเศร้าสำหรับมันอยู่นาน
แน่นอนว่าความเข้าใจผิดนี้ไม่ได้เกี่ยวข้องกับความฉลาดของไป๋เริ่น มันวางตำแหน่งตัวเองว่าไร้เดียงสา ทว่าสิ่งที่มันไม่เข้าใจมากก็คือผู้แซ่ซ่งกลับไม่ใส่ใจว่ามันไม่ตั้งเต้าแต่ก็ไม่สนใจที่มันไม่มีไข่ ดังนั้นมันจึงไม่เพียงคิดว่าผู้แซ่ซ่งเป็นสินค้าที่มีข้อบกพร่อง ทั้งยังไม่มีความเอาใจใส่และไร้ยางอาย มันเกลียดตัวเองที่มีปากทว่ากลับพูดอะไรไม่ได้เลย
หลังจากอดกลั้นเป็นเวลานาน ไป๋เริ่นรู้สึกว่าจำเป็นต้องหาเพื่อนเก่าเพื่อพูดคุยเสียหน่อย ก็ปล่อยเบาในห้องโถงหลัก ประทับอุ้งเท้าสองสามครั้ง ถือเป็นการทิ้งจดหมาย จากนั้นก็ไปที่เสียนหยาง
ห้องหลักเป็นสถานที่ที่ทุกคนในครอบครัวสามารถมองเห็นได้ โดยส่วนตัวแล้วคิดว่าเหมาะสมอย่างยิ่งที่จะทำเช่นนี้
ไป๋เริ่นขึ้นเขาลงห้วยมาตลอดทาง หลังจากถึงนครเสียนหยางแล้วก็พบกว่าเวลาผ่านคนเปลี่ยน จางอี๋ถูกไล่ออกจากรัฐฉินและในเวลานี้อาศัยอยู่ในรัฐเว่ย
เว่ยอ๋องทนไม่ไหวอยากจะถลกหนังจางอี๋ออกมา ในที่สุดกลับถูกจางอี๋เกลี้ยกล่อมว่า: ฉินอ๋องไม่ชอบกระหม่อม ทั้งยังรู้ว่าชาวเว่ยเกลียดกระหม่อม ดังนั้นจึงจงใจขับไล่กระหม่อมมายังรัฐเว่ย รอจนทานสังหารกระหม่อมแล้วก็ค่อยหาข้ออ้างทำสงครามกับรัฐเว่ย
จางอี๋สามารถรักษาชีวิตเอาไว้ได้ ทว่าอนาคตกลับมาถึงจุดจบ
ไป๋เริ่นจึงทำได้เพียงกลับมาที่รัฐเว่ยอีกครั้ง
หลังจากค้นหามานานกว่าสามเดือน ในที่สุดก็พบกระท่อมมุงจากของจางอี๋บนเนินเขาเล็ก ๆ
หิมะสีขาวเป็นสภาพอากาศที่ไป๋เริ่นชื่นชอบ มันมองผ่านรอยแตกในประตูสักพักแล้วก็ร้องคร่ำครวญ
ไม่นานก็มีชายที่มีผมหงอกแซมตรงขมับออกมาเปิดประตู
ไป๋เริ่นมองเขาด้วยดวงตากลมๆ สะบัดหิมะที่ร่วงลงมาใส่หู ร้องครางอิ๋งๆ : จินเกออยู่บ้านหรือเปล่า?
แน่นอนว่าจางอี๋ฟังไม่เข้าใจ แต่ว่าเขาจำไป๋เริ่นได้ น้ำตาคลอด้วยความตื่นเต้น เหยียดแขนไปกอดหัวของมัน “ไป๋เริ่น เจ้าคือไป๋เริ่น!”
ไป๋เริ่นขบฟันอย่างไม่พอใจ: รู้ก็ดีแล้ว จะตื่นเต้นไปทำไม! ไม่รู้หรือไงว่าตอนนี้ข้าชื่อเสียงเสื่อมเสียเพียงใด! เบาๆ หน่อย! ขนของข้ายุ่งหมดแล้ว!
จางอี๋พามันเข้าบ้าน ลูบขนให้มัน แล้วรำพึงรำพันกับตัวเอง “เจ้ามาหาจินเกอสินะ? มันขึ้นเขาไปล่าสัตว์แล้ว ไม่รู้ว่าจะกลับมาเมื่อใด”
จางอี๋เต็มไปด้วยศัตรู เพื่อที่จะไม่ทำร้ายเหล่าสหายของตัวเอง เขาจึงไม่ได้ไปหาพวกเขาและอาศัยอยู่ที่นี่คนเดียว
ภายในห้องเรียบง่ายมาก เตียงหนึ่งหลัง เก้าอี้เตี้ยหนึ่งตัว ไม่มีแม้แต่เตาอั้งโล่ด้วยซ้ำ แต่เรียงก้อนหินเป็นวงกลมในพื้นที่มุมหนึ่งแล้วกองฟืนอยู่ในนั้น มีเชือกป่านห้อยลงมาจากคานบ้านเพื่อแขวนกาน้ำชา
“ข้าจางอี๋ใช้ชีวิตอย่างสง่างามมาทั้งชีวิต แต่กลับตกอับถึงเพียงนี้ ทั้งยังต้องให้หมาป่าเลี้ยง!” น้ำตาของจางอี๋คลอเบ้า
เมื่อก่อนตอนที่เขาอยู่ในนครเสียนหยาง จินเกอนอกจากจะทำลายเขาแล้วยังสร้างปัญหาทุกหนทุกแห่ง ทั้งกัดม้าศึกและสัตว์เลี้ยงทุกตัว ไม่ได้คาดหวังว่ามันจะเป็นเพียงสิ่งเดียวที่ยังคงไม่จากไป ตอนนี้ตกระกำลำบาก ถ้าไม่ใช่จินเกอที่ขึ้นไปบนภูเขาเพื่อล่าอาหารเขาคงจะอดตายแล้ว
บุคคลหนึ่งที่เคยเหยียบใต้หล้าสั่นสะเทือนถูกหมาป่าที่ตัวเองเลี้ยงหาอาหารมาให้ อารมณ์นี้ยากที่คนธรรมดาจะเข้าใจ
ไป๋เริ่นรู้สึกได้ถึงความหดหู่ของจางอี๋ ก็ใช้หัวถูๆ เขาแสดงการปลอบใจ
มันรู้สึกว่ามนุษย์ช่างเป็นสิ่งมีชีวิตที่อ่อนแอเหลือเกิน เมื่อก่อนมีศักดิ์ศรีตอนนี้กลับไม่มีแล้วหรือ? หรือแม้แต่หลั่งน้ำตาด้วยซ้ำ!
ในบรรดามนุษย์ที่มันรู้จัก มีเพียงฉินอ๋องและศิษย์พี่ใหญ่เท่านั้นที่มีเสน่ห์มากกว่า
ความน่าเกรงขามของฉินอ๋องเปรียบเสมือนราชาหมาป่า เมื่อมันยังเด็ก เห็นเขาก็ต่อสู้ด้วยสี่กรงเล็บ พอโตขึ้นมาหน่อยก็อยากจะท้าประลองเขา ทว่าสำหรับไป๋เริ่นแล้วมันเป็นเพียงการคิดเอาเองทั้งนั้น อยู่ๆ ดีจะไปหาเรื่องใส่ตัวทำไมเล่า?
สำหรับเว่ยเต้าจื่อนั้น ไป๋เริ่นไม่เพียงแต่สะดุดตาเขา ทั้งยังรู้สึกชื่นชมจากก้นบึ้งของหัวใจ เพราะในบรรดาหมาป่ามีเพียงหมาป่าที่กล้าหาญที่สุดและมีความเป็นราชาที่สุดเท่านั้นที่สามารถเป็นที่ชื่นชอบของหมาป่าตัวเมียได้ ราชาหมาป่าในเผ่าพันธุ์ของพวกมันสามารถมีคู่สมรสได้เพียงตัวเดียว หมาป่าตัวเมียหลายตัวก็จะเข้าใกล้ราชาหมาป่าหรือแม้กระทั่งกัดกันเองเป็นประจำ และราชาหมาป่าที่ดุร้ายและแข็งแกร่งก็มักจะฉกฉวยคู่ครองของราชาหมาป่าตัวอื่นๆ
เล่ากันว่าศิษย์พี่ใหญ่ได้ขุดดินสวนหลังบ้านขององค์จวินเพื่อนางสนมสี่คนได้สำเร็จ ไป๋เริ่นรู้สึกลึกๆ ว่าศิษย์พี่ใหญ่มีความเป็นราชาเหนือกว่ามาก
มันนอนงีบอยู่บนพื้นสองสามตื่น เมื่อพลบค่ำจึงได้ยินเสียงหมาป่าหอนลอยมาแต่ไกล
จินเกอได้กลิ่นของมันแล้ว
หูของไป๋เริ่นตั้งตรง มันลุกขึ้นแล้วพุ่งออกไปอย่างเร็ว เห็นหมาป่าสีทองตัวหนึ่งวิ่งเข้ามาในหิมะพร้อมคาบกระต่ายในปากสิบกว่าตัว
อู้ววว…
ไป๋เริ่นเดินวนไปรอบๆ มันอย่างมีความสุข หางกวาดหิมะขึ้นมาจนทำให้ทั้งตัวของมันขาวโพลน
จินเกอบีบเสียงจากฟันของมัน: เจ้าบ๊อง
เบาๆ หน่อย ไม่น่ารักเลยสักนิด! ไป๋เริ่นมีความเห็นอย่างมากเกี่ยวกับปฏิกิริยาของจินเกอ
เมื่อจินเกอเอากระต่ายให้จางอี๋ ไป๋เริ่นก็เริ่มบ่นเกี่ยวกับครอบครัวที่สถานะตกต่ำลง: ผู้แซ่ซ่งที่ไม่ให้ความสนใจ ท่านพ่อแซ่เจ้าที่จิตใจอ่อนโยนต้องแสร้งทำเป็นห้าวหาญ ซ่งเจียนที่หน้าตาเหมือนสุนัขจิ้งจอกเป็นใบ้ ซ่งหนิงยาผู้บริสุทธิ์ไร้เดียงสา และลูกสองคนที่ไร้สมองของพวกเขา สิ่งที่น่ารำคาญที่สุดคือหลิงหยาที่ถูกผู้แซ่ซ่งเก็บมาได้ ช่างไร้ยางอายเสียเหลือเกิน
สุดท้ายไป๋เริ่นเสริมอีกคำหนึ่ง: แต่เมื่อเห็นภรรยาที่ดูน่าเศร้ากว่าข้า ข้าก็สบายใจขึ้นมาก ไม่เสียแรงที่เดินทางบุกน้ำลุยป่ามานับพันลี้
จินเกอขนลุกซู่ทันที: ใครเป็นภรรยาเจ้า!
ไป๋เริ่นเอียงคอ: ท่านพ่อซ่งจัดงานแต่งแล้ว จะปฏิเสธไม่ได้
จินเกอคำรามด้วยความโมโห: ข้าเป็นราชาของหมาป่ารุ่นนี้ ข้ายอมตายเสียดีกว่าก้มหัวให้คนอื่น โดยเฉพาะหมาป่าที่ทั้งขี้เกียจทั้งโง่! ออกไปสู้กันไหม ดูว่าข้าจะฆ่าเจ้าได้หรือเปล่า
ความฉลาดที่น่าภูมิใจของไป๋เริ่นถูกทำลาย แยกเขี้ยวทันที: สู้ก็สู้สิ ไปเรียกลูกๆ พวกนั้นของเจ้ามาด้วย ดูซิว่าข้าจะล้มเจ้าอย่างไร
เมื่อนึกถึงผลลัพธ์ที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ไป๋เริ่นก็ยิ้มอย่างมีความสุข
จินเกอสลัดความโกรธทิ้ง หมอบลงไปกับพื้นแล้วหาว: เจ้าโง่หรือไง ให้เจ้าไปทำอะไรก็ทำรึ
ไป๋เริ่นกะพริบตา สะบัดหู ทันใดนั้นก็ตะปบมันด้วยความหงุดหงิดอย่างแรงทีหนึ่ง