กุนซือหญิงยอดอัจฉริยะ - บทที่ 39 สงครามลิ่วป๋อแห่งสองผู้เก่งกาจ
หมากลิ่วป๋อเป็นการละเล่นประเภทหนึ่งที่เป็นกระแสนิยมอย่างยิ่งในสมัยนี้ มีตัวหมากทั้งหมดสิบสองตัว หมากดำหกตัว หมากขาวหกตัว หนึ่งในนั้นมีหมากที่เทียบเท่าหมากของพระราชา มีชื่อเรียกว่า “เซียว” หมากที่เหลือเทียบเท่าหมากของพลทหาร มีชื่อเรียกว่า “ซ่าน”
กระดานหมากถูกแบ่งเป็นสิบสองช่อง ตรงกลางคือ “น้ำ” ใน “น้ำ” มีปลาสองตัว สองฝ่ายคาดเดาการเดินหมากของกันและกัน ปลานี้ไม่จำเป็นต้องเป็นปลาจริงๆ สามารถใช้สิ่งอื่นที่มีรูปร่างเหมือนปลาแทนได้
เมื่อเดินหมากเข้าไปใกล้น้ำ เรียกว่าหมากเซียว หากลงน้ำไปกินปลาก็จะเรียกว่า “จับปลา” หากจับปลาได้ตัวหนึ่งก็จะได้สองแต้ม หากพลิกปลาได้ก็จะได้สามแต้ม หากโจมตีคู่ต่อสู้ในระหว่างนี้ก็จะถือว่าเป็นผู้ชนะ ถ้าหากสามารถจับปลาไปได้ทั้งสองตัวแต่ยังไม่ได้โจมตีฝ่ายตรงข้าม ก็จะเรียกว่า “พลิกปลาคู่” ฝ่ายตรงข้ามจะได้หกแต้มและชนะทันที
ที่จริงการละเล่นนี้คล้ายคลึงกับการเดินทหารระหว่างสู้รบ เนื่องจากเวลาในการเดินหมากแต่ละตาจะสั้นกว่าหมากล้อม วิธีการเล่นค่อนข้างหลากหลาย มีบรรยากาศที่สนุกสนาน ดังนั้นจึงมักเป็นความบันเทิงระหว่างดื่มชาหลังมื้ออาหาร
“พวกเรามาทายหมัดคู่กัน” จีเหมียนเอ่ย
ความหมายตามชื่อของหมัดคู่ก็คือคู่ต่อสู้ลงเล่นพร้อมกัน อีกทั้งยังสามารถโจมตีหมากของอีกฝ่ายเพื่อความสนุกสนานระหว่างเดินหมาก ด้วยเหตุนี้หากไร้ไหวพริบก็จะไม่สามารถเล่นได้
ฮุ่ยซูอวิ๋นกล่าว “อู้เม่ย พวกเราสองคนเล่นกันสักตา เจ้าว่าเยี่ยงไร?”
“ดี!” จีเหมียนยิ้มเอ่ย
หกคนที่เหลือต่างล้อมวงเข้ามา ซ่งชูอีก็ไม่อยากแปลกแยก ดังนั้นจึงหยิบสมุดไม้ไผ่ขึ้นมาจากโต๊ะตัวเตี้ย แล้วเดินเข้าไปดูใกล้ๆ
บัดนี้จีเหมียนกับฮุ่ยซูอวิ๋นทายหมัดกันแล้ว
“ห้า!”
“สิบ!”
“เยี่ยม!” ทุกคนโห่ร้องยินดี จีเหมียนเหนือกว่าอย่างเห็นได้ชัด เพียงแค่สองครั้งก็เป็นต่อแล้ว
ซีหงมองดูสมุดไผ่ในมือของนาง เอ่ยถามเสียงเบา “ใยจึงยังถือสมุดไผ่ไว้?”
ซ่งชูอีกดเสียงต่ำ “ไม่แน่ว่าอีกประเดี๋ยวท่านแม่ทัพหลงกู่จะเข้ามา เห็นพวกเราผ่อนคลายเช่นนี้ จะต้องโดนดุเป็นแน่”
ซีหงเอ่ยยิ้มน้อยๆ “หวยจินคงยังไม่รู้ การที่ท่านแม่ทัพเลี้ยงดูพวกเรา ข้อหนึ่งเพื่อวางแผนกิจการทหาร ข้อสองเพื่อแข่งขันกับบรรดาขุนนาง ทุกปีรัฐเว่ย์ต่างมีการแข่งขันของแขกที่ปรึกษาในแต่ละจวน หนึ่งในนั้นก็คือหมากลิ่วป๋อ”
“อ๋อ? ความรู้ของหวยจินตื้นเขินนัก มิทราบว่าแข่งขันอันใดบ้าง?” ซ่งชูอีเอ่ยด้วยความสงสัย
“การปกครอง กลยุทธ์ การแยกแยะ พิชัยสงคราม ยังมีหมากล้อม แข่งม้า ล่าสัตว์ และหมากลิ่วป๋อ ในจวนของท่านแม่ทัพมีเพียงพวกเราไม่กี่คน ทุกคนล้วนต้องเข้าแข่งขันสองรายการ อู้เม่ยเป็นผู้ชนะรายการแข่งขันหมากลิ่วป๋อถึงสองครั้งติดต่อกัน” ครั้นซีหงกล่าวถึงตรงนี้ก็ยิ้มด้วยความปลาบปลื้ม
ซ่งชูอีคิดในใจ เดินหมากลิ่วป๋อได้ดีก็เป็นความภาคภูมิใจงั้นหรือ?
“ฟังดูแล้วศักดิ์ศรีใหญ่หลวงนัก ท่านจวินก็ทราบ?” ในที่สุดซ่งชูอีกรู้แล้วว่าเหตุใดรัฐเว่ย์ถึงอ่อนแอเพียงนี้ รัฐถูกคนยึดครองเสียครึ่งหนึ่ง เหล่าบัณฑิตยังคงเดินหมากลิ่วป๋ออย่างสบายใจ เช่นนี้จะไม่ให้บ้านเมืองเสื่อมถอยได้เยี่ยงไร?
แต่แน่นอนว่าซ่งชูอีมิได้กินอิ่มแล้วว่างงานวิ่งไปวิพากย์วิจารย์พวกเขา นางไร้ความรู้สึกใดๆ ต่อรัฐเว่ย์และมิได้ฝากความหวังใดๆ ไว้ด้วย
ระหว่างที่ทั้งสองกำลังพูดคุยกัน บัดนี้จีเหมียนจับปลาได้หนึ่งตัวแล้ว อีกทั้งฮุ่ยซูอวิ๋นก็กำลังตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบ
“หยุ่นซื่อ อีกประเดี๋ยวเจ้ากับหวยจินแข่งกันเจ้าว่าเยี่ยงไร?” จีเหมียนมีชัยชนะมั่นเหมาะอยู่ในมือ หันไปถามหนานฉีกับซ่งชูอี
จีเหมียนคนนี้ ช่างเป็นเจ้าเด็กที่ชอบความครึกครื้นโดยไม่กลัวว่าเรื่องจะบานปลายเสียจริง ซ่งชูอีสบถอยู่ในใจ
“ได้” หนานฉีกล่าวเฉยเมย
“ดีมาก!” จีเหมียนเห็นดีด้วย เดินหมากบนกระดานหมากดังเพี๊ยะเป็นอันจบตา หัวร่อเสียงดัง “เจ้าแพ้แล้ว! จับปลาได้อีกตัวแล้ว!”
“ปัดโธ่!” ฮุ่ยซูอวิ๋นตบหน้าตัก “น่าชังแท้!”
จีเหมียนลุกขึ้นจากที่นั่ง ถามซ่งชูอี “หยุ่นซื่อรับปากต่อสู้แล้ว หวยจินว่าเยี่ยงไร?”
“มาเถิด” ซ่งชูอีตอบอย่างสบายๆ ในเมื่อถูกบีบจนติดกำแพงแล้ว ไม่เล่นก็คงไม่ได้!
ระดับหมากลิ่วป๋อของหนานฉีนั้นเป็นอันดับสองรองจากจีเหมียน อีกทั้งยังเอาชนะเขาได้หลายครั้ง ทุกคนต่างสงสัยว่าการที่ซ่งชูอีตอบรับอย่างสบายอารมณ์เช่นนี้ เพราะมีแผนการในหัวแล้วหรือเยี่ยงไร
หลังจากทั้งสองนั่งลง หนานฉียกมือคำนับราวกับทรมานอย่างแสนสาหัส ซ่งชูอีก็คำนับกลับน้อยๆ ทันทีที่เริ่มก็ถูกลูกศรเย็นเยียบโจมตีรอบทิศทาง กระตุ้นความตื่นตัวของทุกคน
“ทางซ้ายออกหมัด” จีเหมียนเอ่ย
คนที่นั่งทางซ้ายก็คือซ่งชูอี
“เจ็ด!” หนานฉีกล่าวขึ้นขณะที่ซ่งชูอีออกหมัด
“เยี่ยม!” ทุกคนโห่ร้องด้วยความตื่นเต้น ครั้งเดียวก็ทายถูกเสียแล้ว
“ฮ่า วันนี้หยุ่นซื่อดวงขึ้นทีเดียวเชียว!” ฮุ่ยซูอวิ๋นหัวเราะเอ่ย “ที่แท้ข้อได้เปรียบทางภูมิศาสตร์มีผลเพียงเล็กน้อย ยังต้องขึ้นอยู่กับเวลา!”
ความหมายของเขาคือ ไม่ว่าจะนั่งตำแหน่งใดล้วนไม่มีผลต่อการแพ้ชนะมากนัก ยังต้องขึ้นอยู่กับดวงชะตา
หนานฉีเป็นต่อ ถึงคราวหนานฉีออกหมัด
“ห้า!”
ทายผิด ก็ยังคงเป็นหนานฉีออกหมัด
“หก!”
ทายผิด ก็ยังคงเป็นหนานฉีออกหมัด
“เจ็ด!”
ผิดอีกแล้ว หนานฉีเดินหมาก อีกทั้งออกหมัดต่อ
“หนึ่ง!”
ทายผิด
“สาม!”
ผิดต่อเนื่อง
…
หลังจากผ่านไปครึ่งเค่อ ทุกคนอ้าปากค้าง จ้องมองซ่งชูอี
จากนั้นครู่หนึ่ง จีเหมียนจึงดึงสติกลับมา เอ่ยหัวร่อเสียงดัง “หวยจินเอ๋ยหวยจิน! เจ้าอาจเป็นคนแรกของหมากลิ่วป๋อก็ว่าได้! ยังไม่ทันขยับตัวก็ถูกโจมตีจนพ่าย! ข้าแข่งหมากลิ่วป๋อเป็นเวลาหลายปีเพิ่งเคยพบเป็นครั้งแรก!”
ทุกคนหัวเราะร่วน กล่าวตามๆ กัน “แปลกแท้! แปลกแท้!”
ซ่งชูอีหัวเราะแห้งๆ สองที “อันที่จริงนี่ก็เป็นความแข็งแกร่งอย่างหนึ่ง”
“ฮ่า ความแข็งแกร่งเช่นนี้เหนือกว่าข้านัก! เสียมารยาทแล้ว เสียมารยาทแล้ว!” จีเหมียนหัวเราะพร้อมยกมือคารวะซ่งชูอี
การพ่ายแพ้ของซ่งชูอีครานี้กลับทำให้บรรยากาศกลมเกลียวกันยิ่งขึ้น ทุกคนเย้าแหย่เล่น ความรู้สึกห่างเหินที่มีต่อกันก็หายไปมากเช่นกัน
หนานฉีส่งเสียงหึแผ่วเบา
ที่จริงซ่งชูอียากจะเข้าใจว่าเหตุใดหนานฉีจึงชังน้ำหน้านางนัก หรือเป็นเพราะว่านางมีสาวสวยสองนางในครอบครอง? หากเป็นเช่นนั้น อย่างน้อยเขาก็ควรจะผูกสัมพันธ์อันดีกับนางเพื่อเข้าใกล้สาวงามสิ!
ขณะที่เล่นหมากลิ่วป๋อไปได้สองตา กำลังจะเริ่มตาที่สามอยู่นั้น มีเด็กรับใช้วิ่งปร๋อเข้ามา กระซิบเสียงเบา “ท่านแม่ทัพมาแล้ว ท่านแม่ทัพมาแล้ว!”
จีเหมียนเก็บกระดานหมากอย่างคล่องแคล่วว่องไว ทุกคนต่างแยกย้ายกันไปอย่างช้าๆ ด้วยท่าทางเป็นธรรมชาติยิ่ง ซ่งชูอีถือสมุดไม้ไผ่อยู่ในมือ ค่อยๆ เยื้อย่างไปยังโต๊ะตัวเตี้ย
หลงกู่ชิ่งสวมเสื้อคลุมตัวยาวสีน้ำตาลเข้ม ศีรษะขาวโพลน เหมือนกับชายชราที่สามารถเห็นได้ทั่วไปตามท้องถนน ทว่าท่วงท่าของเขาว่องไวดุจสายลม แววตาดุจสายฟ้า คนทั่วไปมิอาจเปรียบเทียบได้
ทุกคนลุกขึ้นยืนข้างที่นั่งของตัวเองทันที คารวะเขา “ท่านแม่ทัพ!”
“ไม่ต้องมากพิธี นั่งลงแล้วค่อยพูดเถิด” หลงกู่ชิ่งนั่งลงที่ที่นั่งหลัก หลังจากรอจนทุกคนนั่งประจำที่แล้ว จึงเอ่ยขึ้น “ทุกท่านก็ทราบดีว่ารัฐเว่ย์ของพวกเราถูกเว่ยอ๋องคุกคามหลายต่อหลายครั้ง จนเกือบจะเสียพื้นที่ส่วนใหญ่ไป ประสบกับความ
อับอายอันใหญ่หลวงเช่นนี้ ข้ากินข้าวไม่ลง ยามราตรีก็นอนมิหลับ!”
“พวกข้ายินดีจะคลายความทุกข์ของท่านแม่ทัพ” ทุกคนยืดตัวตรงพร้อมเอ่ยคำนับ
“เยี่ยม” หลงกู่ชิ่งนั่งตัวตรง “ทุกท่านคิดว่าหากต้องการออกทัพเพื่อช่วงชิงดินแดนกลับคืน จะเป็นไปได้หรือไม่?”
หลงกู่ชิ่งนำทัพหลักมาโดยตลอด เขายอมตายในสงครามเสียดีกว่าต้องทนเคียดแค้นจากความอัปยศอดสู อาณาเขตของรัฐเว่ย์ถูกกลืนกินจากรัฐเพื่อนบ้านโดยรอบตั้งแต่ยุคสมัยชุนชิว แม้นรัฐเว่ย์จะมีหลงกู่ชิ่งแม่ทัพเลือดร้อนเช่นนี้ แต่ก็มิอาจทำอันใดได้ ปรบมือข้างเดียวไม่ดัง เขาต้องการจะสู้แต่ไม่มีใครสนับสนุนก็มิสามารถสู้ได้
…………………………………