กุนซือหญิงยอดอัจฉริยะ - บทที่ 41 ดื่มหิมะให้สำราญใจ
“ฮ่า สายตาเฉียบคมนัก” จีเหมียนหัวร่อร่าเริงกว่าเดิมราวกับเจอสหายรู้ใจ โน้มตัวเข้าใกล้ซ่งชูอี “หวยจิน ข้ารู้สึกว่าถูกชะตากับเจ้า วันนี้ไปดื่มด้วยหน่อยเยี่ยงไร? ไปที่หอนักแสดงฟังบทเพลง ข้าเป็นคนเลี้ยงเอง”
“นักแสดงนั้นอย่าเลย ข้ามันพวกอ่อนประสบการณ์ บัดนี้ยังไม่พร้อมที่จะเสียคน” ซ่งชูอียิ้มเอ่ย “แค่ดื่มสังสรรค์จะดีเสียกว่า”
จีเหมียนยิ่งรู้สึกว่าซ่งชูอีนั้นน่าสนใจ จึงรีบหมุนตัวกล่าวกับทุกคน “ไปๆ ทุกคนไปดื่มเหล้ากัน ดื่มต้อนรับหวยจินเสียหน่อย!”
เวลาของแขกที่ปรึกษาค่อนข้างอิสระ ไม่จำเป็นต้องนั่งอยู่ในห้องตลอดเวลา หากจะออกไปเพียงรายงานสถานที่ ครั้นหลงกู่ชิ่งต้องการตัว ก็สามารถหาเจอได้ทุกเมื่อ
วันนี้หิมะตกพอดี เหมาะแก่การดื่มยิ่งนัก ดังนั้นหลังจากทุกคนปรึกษากันแล้ว ก็ตัดสินใจว่าจะไปร้านเหล้าที่พวกเขาไปบ่อยที่สุด
ซ่งชูอีไหว้วานคนรับใช้คนหนึ่งให้ดูแลเรื่องอาหารการกินของจื่อเฉาและจื๋อหย่า จากนั้นก็ออกไปจากจวนกับพวกเขา
อย่างไรก็ตามซ่งชูอีและหนานฉีก็ยังขัดแย้งกันเรื่องยานพาหนะอีกครั้ง ซ่งชูอีแนะนำให้ขี่ม้า หนานฉีกลับต้องการนั่งเกวียนรถ ท่ามกลางความชะงักงัน หนานฉีก็ขึ้นไปนั่งในเกวียนทันที คนอื่นก็ได้แต่ตามขึ้นเกวียนไป นี่เป็นเพียงเรื่องเล็ก ไม่จำเป็นต้องทำให้กลายเป็นเรื่องไม่มีความสุข
……
หลังจากผ่านไปสองถ้วยชา…
เกวียนม้าสามล้อนั้นไร้กำแพงทั้งสี่ด้าน แต่ละเกวียนม้าจะมีร่มทองแดงปกคลุมอยู่ด้านบน ลมหิมะพัดหวิวจากรอบทิศอย่างเชื่องช้า
เด็กหนุ่มและชายชราทั้งเก้าคน หดตัวสั่นสะท้านอยู่บนเกวียนม้าสามล้อ ซ่งชูอีกัดฟันมองหนานฉี “ข้าบอกว่าให้ขี่ม้า เจ้าก็จะนั่งเกวียนม้าให้ได้ เป็นเยี่ยงไรเล่า? บัดนี้เจ้าสามารถผ่าหนังท้องแล้วดื่มลมหิมะให้สำราญใจได้เลย!”
“เบาปัญญา! การขี่ม้ามันใช่เรื่องที่คนมีสถานะทำกันหรือ?” เขายังคงรักษาท่าทีไว้ด้วยริมฝีปากที่สั่นเทิ้ม
ในยุคสมัยชุนชิว โดยทั่วไปแล้วผู้ที่ค่อนข้างมีสถานะจะไม่ขี่ม้า เนื่องจากในสายตาของพวกเขานี่เป็นพฤติกรรมที่กระอักกระอ่วนใจเป็นอย่างยิ่ง ทว่าเมื่อถึงยุคปลายของจั้นกั๋ว ด้วยการใช้ม้าเดี่ยวในสงคราม มันจึงค่อยๆ กลายเป็นที่แพร่หลายมากขึ้น บัณฑิตหลายคนเลือกที่จะขี่ม้าหากมีการเดินทางเร่งด่วน
“โจวเทียนจื่อขี่ม้าก็ยังคงเป็นโจวเทียนจื่อ! นักแสดงนั่งเกวียนม้าก็ยังคงเป็นนักแสดง!” ซ่งชูอีเอ่ยเย็นชา
ครั้นหนานฉีได้ยินดังนี้ แม้แต่แววตาก็ลุกไหม้ชั่วขณะหนึ่ง “ข้ากล่าวความจริง เหตุใดเจ้าจึงต้องเอ่ยปากด่าคน! นี่เป็นการดูถูกศักดิ์ศรีของข้า!”
ซ่งชูอีไม่ยอมแพ้ “ข้าแค่ว่าไปตามเหตุผล มันคือคุณธรรม! หากเจ้าอยากวิพากย์วิจารณ์ตนเองข้าจะปรามเจ้าได้หรือ! ไม่มีรัฐใดที่มีคำสั่งไม่อนุญาตให้บัณฑิตใช้คำประเภทนี้!”
แม้นคำพูดของซ่งชูอีจะเป็นการเถียงข้างๆ คูๆ แต่บางคราวเหล่าบัณฑิตก็มักจะเล่าเรื่องที่มีคติพจน์สอนใจเพื่อโน้มน้าวผู้บังคับบัญชา เมื่อคำพูดนั้นรุนแรง แน่นอนว่าคำอุปคำมัยก็ไม่ใคร่น่าฟังเท่าใดนัก
“ท่านนักปราชญ์แห่งลัทธิเต๋าทั้งสองท่าน ท่านช่วยคำนึงถึงพลเมืองตาดำๆ ที่กำลังตกนรกทั้งเป็นได้หรือไม่?”
จีเหมียนที่หดตัวอยู่มุมหนึ่ง ขัดจังหวะเสียงสั่น
หนานฉีพ่นลมหายใจเย็นชา เบือนหน้าหนี ซ่งชูอีฝังหน้าไว้ในแขนเสื้อและไม่พูดอะไรอีก
พวกเขานั่งในเกวียนม้าตามลำดับอายุ ไม่เช่นนั้นซ่งชูอีจะนั่งอยู่ในเกวียนคันเดียวกันกับหนานฉีได้เยี่ยงไร
จีเหมียนหันหลังกลับไปมอง ด้านหลังเกวียนม้ามีซีหง ฮุ่ยซูอวิ๋นและจี้เยี่ยนกำลังยิ้มกว้าง มือสอดเข้าไปในแขนเสื้อพลางมองดูความครึกครื้น เขาอดไม่ได้ที่จะยิ้มเอ่ย “ท่าทางกลืนลมชมหิมะของพวกท่านทั้งสามดูผ่อนคลายเป็นอย่างยิ่ง”
ทั้งสามยิ้มตาหยีพร้อมประสานมือคำนับ “ชมเกินไปแล้ว ชมเกินไปแล้ว!”
ม้าลากเกวียนทองสัมฤทธิหนักอึ้ง เดินทางฝ่าลมหิมะราวๆ สองเค่อ ในที่สุดก็มาถึงโรงเหล้าที่พวกเขากล่าวถึง
ธงเหล้าสีน้ำตาลเข้มพริ้วไหว มันส่งเสียงพรึ่บๆ ท่ามกลางลมหิมะ คำว่า “เหล้า” ขนาดใหญ่ที่อยู่ด้านบนนั้นดูแข็งแกร่งทรงพลัง
ผู้เดินทางเหน็บหนาวจนมือเท้าแข็งทื่อ ต้องใช้เวลาสักพักจึงจะสามารถลงจากเกวียนได้ทั้งหมด บัดนี้ซ่งชูอียิ่ง
เกลียดชังหนานฉีเข้าให้แล้ว เดิมทีจะไปดื่มเหล้าธรรมดาแท้ๆ กลับต้องเดินทางอย่างอู้ฟู่เพียงนี้!
บัดนี้บนประตูและหน้าต่างของโรงเหล้าได้แขวนผ้าสักหลาดหนาๆ ไว้แล้ว ทุกคนเลิกผ้าสักหลาดออกแล้วเดินตามๆ กันไป
เมื่อถึงคราซ่งชูอี นางสะดุดและเกือบจะรับน้ำหนักของสักหลาดไม่ไหว ผลักสักหลากหนักๆ ออก พลันถูกความอบอุ่นโอบกอดทันทีที่เข้าไปข้างใน
นี่คือโรงเหล้าที่มีขนาดปานกลางโรงหนึ่งในซุยหยาง มันมีสองชั้น ตรงกำแพงทางทิศเหนือของโถงใหญ่มีแท่นที่ยกตัวสูงจากพื้นขนาดสองจั้ง ซ่งชูอีเหลือบมอง กระดานหมากถูกวาดอยู่ด้านบน หม้อปั้นดินเผาตื้นๆ สองอันตั้งอยู่แต่ละข้างของแท่น ด้านในมีตัวเดินหมาก หากยืนอยู่ที่รั้วระเบียงชั้นสอง ก็จะสามารถเห็นการเดินหมากได้พอดิบพอดี
“พวกท่านต้องการอยู่ในห้องโถงหรือว่าโอกงามขอรับ?” มีเด็กหนุ่มออกมาต้อนรับพร้อมถามพวกเขาเหล่าผู้เดินทาง
จีเหมียนกล่าว “โอกงาม”
“ได้โปรดตามข้าน้อยมา” เด็กหนุ่มนำทางอยู่ด้านหน้า นำทางทั้งเก้าคนไปยังชั้นสอง
สิ่งที่เรียกว่าโอกงามไม่ได้ถูกปิดตายทั้งสี่ด้าน เพียงแต่มีกำแพงสามด้าน อีกด้านเป็นผ้าม่าน
พวกเขาสะบัดหิมะบนตัวออก ถอดรองเท้า เดินเข้าไปภายในโอกงาม จีเหมียนยืนตัวสั่นงกอยู่ข้างเตาขนาดเล็กที่มีไว้ทำชา “ในที่สุดข้าก็รู้ว่าเหตุใดบัณฑิตใต้หล้ารุ่นก่อนจึงไม่เข้ารัฐฉิน เพราะต่างกลัวว่าจะหนาวตาย”
“ฟังเจ้ากล่าวเช่นนี้ ผู้ที่เข้ารัฐฉินในเวลานี้ต่างไม่กลัวตายงั้นหรือ?” ฮุ่ยซูอวิ๋นสะบัดเศษหิมะบนแขนเสื้อออก
“มิใช่ไม่กลัวตาย แต่อาจหาญ” ซีหงพูดต่อ
จีเหมียนเริ่มรู้สึกอบอุ่นขึ้นมาบ้าง หัวร่อเอ่ย “ฮ่าๆ พูดเช่นนี้ ผู้ที่ไปรัฐเยวี่ยก็คือพวกที่รักตัวกลัวตายงั้นรึ!”
คำพูดเหล่านี้ของพวกเขาดูเหมือนเป็นคำหยอกล้อที่ไม่มีความหมายอันใด แต่ว่าในความเป็นจริงแล้วล้วนสอดคล้องกับสถานการณ์ในปัจจุบัน ในรัชสมัยฉินเซี่ยวกงแห่งรัฐฉินได้ออกพระราชกฤษฎีกาให้ปฏิบัติต่อบัณฑิตผู้มีความรู้ด้วยความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ที่สุดในบรรดาทั้งหกรัฐ อย่างไรก็ตามรัฐฉินยากจน สิ่งที่สามารถเผื่อแผ่ได้มีเพียงการผ่อนปรนข้อจำกัดของกิจการทางการเมืองเท่านั้น ฉะนั้นขอเพียงบัณฑิตที่ไปรัฐฉินมีความคิดที่เข้ากับความเป็นจริงก็จะสามารถได้รับความนับหน้าถือตาเหลือล้น
ส่วนรัฐเยวี่ยแม้นใหญ่โต แต่ในอีกด้านหนึ่ง อ๋องเยวี่ยแม้นไม่ใช่คนสามัญ แต่ในความเป็นจริงแล้วมิใช่ท่านจวินที่มีปัญญาและวิสัยทัศน์กว้างไกล
“เนื้อแพะย่างเจ็ดชั่ง เหล้ารสเลิสสิบไห” ซีหงกล่าว
“ร้านข้าน้อยมีเหล้าฉู่ เหล้าเว่ย์ เหล้าฉิน เหล้าเยวี่ย เหล้าหลี่ว์ ไม่ทราบว่าท่านจะรับแบบใด?” เด็กหนุ่มยิ้มถาม
“มาๆๆ เอามาอย่างละไห ให้พวกข้าได้ลิ้มรสชาติใต้หล้าเสียหน่อย” จีเหมียนตะโกน
“พวกท่านโปรดรอสักครู่” เด็กหนุ่มโค้งคำนับแล้วถอยออกไป
ไม่นานเหล้าและเนื้อถูกส่งขึ้นมา จีเหมียนตบๆ ไหลของซ่งชูอี “หวยจิน เจ้าต้องกินให้เยอะหน่อย จะผอมอ่อนแอเยี่ยงนี้มิได้! ข้าได้ยินมาว่านครอันอี้หนุ่มๆ หลายคนแต่งหน้าแต่งตัว ผอมๆ แห้งๆ ดังสตรี แต่ยังมิวายถูกเด็กสาวมากมายไล่ตาม เจ้าอย่าได้เป็นเช่นนั้นเชียว”
“ใช่ ใช่” ทุกคนพยักหน้าเห็นด้วย เห็นได้ชัดว่าไม่ใคร่ชื่นชมเท่าไรนัก
สาวใช้นำน้ำมาให้ทุกคนล้างมือ หนานฉีล้างมือพลางเอ่ยขึ้นอย่างเย็นเยียบ “อู้เม่ยหาได้ต้องกังวลไม่ เนื้อตัวเขาเช่นนี้ จะมีรูปลักษณ์ไว้อวดได้ที่ไหนกัน”
“ไม่ทราบว่าหวยจินทำผิดต่อท่านตรงไหน เหตุใดจึงต้องสร้างความลำบากใจเช่นนี้?” ซ่งชูอีถามตรงๆ วันนี้ทั้งวันนางไม่อยากเกิดโทสะหลังกินอิ่ม หากแก้ไขได้จะเป็นเรื่องดีที่สุด
หนานฉีเช็ดๆ มือ เหลือบมองนาง “เวลาข้าเห็นคนอื่นแล้วขัดตา ไม่จำเป็นต้องมีเหตุผล”
ซ่งชูอีโมโหจนถึงขีดสุด จู่ๆ ก็หัวเราะขึ้น หัวเราะไม่กี่ครั้ง ทันใดนั้นก็ยับยั้งอารมณ์ไว้ “แม่งเอ๊ยช่างเป็นการเปลืองพลังงานผิดที่โดยแท้! มองแล้วขัดตาเจ้ายังแม่งมองอยู่อีกรึ!? รัฐเว่ย์ถูกเว่ยอ๋องรังแกเจ้าทนมองได้ บ้านเมืองใต้หล้าระส่ำระส่ายเจ้าทนมองได้ ชาวบ้านต้องดิ้นรนเพื่อเอาชีวิตรอดเจ้าทนมองได้ ข้าเป็นเพียงหวยจินตัวเล็กๆ แต่กลับทนมองไม่ได้ ช่างมีนิสัยเฉพาะตัวมีความอดกลั้นมีใจกว้างมีความทะเยอทะยานเสียจริง! เปิดโลกทัศน์ของข้ายิ่งนัก!”
ทุกคนตะลึงงัน ผ่านไปครู่หนึ่งไม่มีใครกล่าวอันใด จีเหมียนที่กำลังจะยัดเนื้อเข้าปากหยุดชะงัก ชำเลืองมองสีหน้าของหนานฉีด้วยหางตา
ไม่เพียงแต่โอกงามหลังนี้ของพวกเขาเท่านั้น แม้แต่บริเวณโดยรอบก็สงบนิ่ง
………………………………..