กุนซือหญิงยอดอัจฉริยะ - บทที่ 48 คุณชายผู้ผ่าเผยที่แท้จริง
ซ่งชูอีมิได้ใส่ใจจีเหมียน ยกถ้วยชาขึ้นจิบคำหนึ่ง เหลือบมองกงซุนอิ๋งจี่ เอ่ยขึ้น “คุณชายจะอยู่หรือจะไป?”
“ท่านยังมิได้ตอบคำถามของข้า ผู้มีความสามารถเช่นท่าน เรียกว่าเป็นบัณฑิตแห่งรัฐได้หรือไม่?” กงซุนอิ๋งจี่ถามต่อ
วิจารณ์คนอื่นนั้นง่าย วิจารณ์ตัวเองนั้นยาก
สองวันนี้ แม้นพวกเขาจะไม่เคยเป็นพยานแต่ก็เคยได้ยินเกี่ยวกับแสดงออกของซ่งชูอีมาบ้าง ว่าไม่มีความมุทะลุและความเฉียบคมของเด็กหนุ่มเลย เมื่อได้ฟังคำถามที่บาดคมเช่นนี้ ก็ต่างรอคอยด้วยความสนใจว่าซ่งชูอีจะตอบเยี่ยงไร
พวกที่ชอบความครึกครื้นมิวายที่จะทำให้เรื่องใหญ่โตเสียจริง! ซ่งชูอีเท้าศีรษะ เอ่ยถามเชื่องช้า “ผู้มีความสามารถแห่งรัฐจะได้รับนามว่าบัณฑิต ขอถามคุณชาย แบบใดจึงจะเรียกว่าผู้มีความสามารถ?”
“ผู้ที่สามารถสร้างความรุ่งเรืองให้แก่บ้านเมืองได้ คือผู้มีความสามารถแห่งรัฐ ทุกท่านเห็นด้วยหรือไม่?” กงซุนอิ๋งจี่ถาม
คำพูดนี้เป็นเพียงความคิดเห็นฝ่ายเดียว ทว่ามันก็มิผิด จึงเป็นธรรมดาที่มีคนเห็นด้วยและคนไม่เห็นด้วย
“หากกล่าวเช่นนี้ หวยจินคิดว่าตนมิใช่บัณฑิต ภายภาคหน้าก็มิอาจเป็นบัณฑิตแห่งรัฐได้” ซ่งชูอีมองกงซุนอิ๋งจี่ เห็นเขาแสดงอาการตามที่คาดการณ์ไว้ ทันใดนั้นก็ยิ้มเอ่ย “เพราะว่าหวยจินจะอุทิศชีวิตสู่เส้นทางการโค่นรัฐ! เข้าไม่ถึงวิถีแห่งความรุ่งเรือง”
แค่ก!
ผู้ที่กำลังดื่มสุราหลายคนสำลัก เสียงไอดังขึ้นต่อเนื่อง
กงซุนอิ๋งจี่จ้องมองนางด้วยสีหน้าตะลึงงัน มิได้กล่าวกระไรเนิ่นนาน
การแสดงความคิดเห็นในปัจจุบันนั้นอิสระยิ่ง แม้นเป็นการลบหลู่เบื้องสูง ขอเพียงมีเหตุผลที่เพียงพอก็ไม่นับว่าเป็นความผิด ยิ่งไปกว่านั้นซ่งชูอีเพียงพูดถึงความทะเยอทะยานของบุคคลหนึ่งเท่านั้น?
เส้นทางการโค่นรัฐ หากกล่าวอย่างมีนัยยะ ก็คือช่วยบ้านเมืองต่อต้านศัตรูภายนอก โค่นล้มรัฐอื่นที่มีภัยคุกคามต่อบ้านเมือง หากกล่าวให้เถรตรงอีกหน่อย ก็คือช่วยรัฐที่ปฏิบัติงานโค่นล้มรัฐอื่น ยึดครองใต้หล้า
ผู้ที่อยู่ตรงนั้นล้วนเป็นคนหนุ่ม ครั้นได้ยินเช่นนี้ก็รู้สึกเดือดดาลอย่างช่วยไม่ได้ จีเหมียนเตือนสติเสียงเบา “โค่นรัฐอย่างไร้เหตุผล! ไร้เมตตาไร้ความชอบธรรม! เพียงแค่คำประณามจากลัทธิขงจื้อและม่อเจ้าก็ยากที่จะหลบเลี่ยงแล้ว หวยจินระวังวาจาด้วย”
ลัทธิขงจื้อสนับสนุนการปกครองบ้านเมืองด้วย “ความเมตตา” ลัทธิม่อสนับสนุน “ความรัก” และ “การไม่โจมตี” ความคิดของซ่งชูอีวิ่งไปยังทิศทางตรงกันข้าม
มุมปากซ่งชูอียกยิ้ม มองไปรอบทิศ เอ่ยเสียงเบา “เส้นทางโค่นรัฐต่างหากจึงเป็นเส้นทางแห่งจักรพรรดิที่แท้จริง จึงเป็นสิ่งที่หัวใจของวีรบุรุษโหยหามากที่สุด ทุกท่านเห็นเยี่ยงไร?”
ในโลกแห่งการแก่งแย่งชิงดี มีจักรพรรดิแห่งเจ็ดมหานครรัฐใดบ้างที่มิปรารถนาเป็นใหญ่? จักรพรรดิองค์ใดบ้างที่ไม่ต้องการโค่นรัฐอื่นเพื่อเป็นผู้ครองหล้าเพียงหนึ่งเดียว? ต้องยอมรับว่าที่ซ่งชูอีกล่าวทั้งหมดนั้นเป็นเรื่องจริง
ทุกคนไม่ได้เออออตาม แต่ว่าในใจล้วนเห็นด้วยกับสิ่งที่นางกล่าวเป็นอย่างยิ่ง
ซ่งชูอียิ้มเอ่ย “คำพูดนี้ถือว่าเป็นของขวัญพิเศษจากหวยจิน เพื่อขอบคุณทุกท่านที่มาแวะคารวะในวันหิมะตกหนัก ถึงกระนั้นก็เป็นเช่นที่อู้เม่ยกล่าว หากคำพูดนี้แพร่งพรายออกไป หวยจินจักต้องตกเป็นเป้าหมายสาธารณะแน่แท้ ยิ่งต้องมีเรื่องให้กังวลในชีวิต ทว่าของขวัญชิ้นนี้ถูกส่งออกไปแล้ว พวกท่านจะออกความเห็นอย่างระมัดระวังภายในจวน หรือละทิ้งบนถนนให้ผู้คนเหยียบย่ำ ก็ตามแต่จะพิจารณา”
ทุกคนเงียบงันครู่หนึ่ง ต่างวางถ้วยชาแล้วยกจอกเหล้าขึ้น กล่าวอย่างนอบน้อม “คำพูดของท่านเลอค่าดุจทองคำและหยกงาม ได้มาเห็นด้วยตัวเองดุจอัญมณีไม่มีที่ใดเสมอเหมือน!”
ซ่งชูอีประสานมือคารวะ ถึงพวกเขาจะกล่าวเช่นนี้ ทว่าซ่งชูอีก็สามารถคาดการณ์ได้ ว่าข้อถกเถียงนี้จะต้องหลุดออกไปอย่างแน่นอน แต่มันก็สามารถควบคุมความรวดเร็วของการแพร่กระจายได้อยู่บ้าง
หลังจากวนดื่มสองสามรอบ ผู้คนส่วนใหญ่ต่างเมามายเล็กน้อย จีเหมียนจะต้องจ่ายเงินและถูกซ่งชูอีจับตามองอยู่ เขามิได้เมาเลย
ออกมาจากโรงเหล้า จีเหมียนกับซ่งชูอีกล่าวอำลาทุกคน ขึ้นนั่งบนเกวียนม้า
หิมะตกหนัก จีเหมียนฮัมเพลงน้อยๆ เห็นได้ชัดว่ามีความสุขมาก
ซ่งชูอีเห็นว่าตอนที่มาเขามีหน้าตาบอกบุญไม่รับ แต่บัดนี้กลับตื่นเต้นผิดปกติ อดไม่ได้ที่จะเอ่ยขึ้น “จีอู้เม่ย เจ้าเสียสติไปแล้วรึ?”
จีเหมียนยกมือชกหน้าอกของซ่งชูอีอย่างแรง หัวเราะเสียงดัง “หวยจิน ข้ารู้สึกว่าประเมินเจ้าต่ำเกินไปแล้ว! เจ้าไม่เพียงคารมคมคาย ลูกเล่นก็ใช้ได้ด้วย!”
“บิดาเจ้าสิ ต่อไปห้ามลงไม้ลงมืออีก!” ซ่งชูอีคลึงหน้าอก หมัดนี้ไม่เจ็บมาก หน้าอกของนางก็มิมีอะไรน่าปกปิด…แต่ก็ยังรู้สึกไม่สบายตัว
จีเหมียนตบๆ ไหล่ของนาง รอยยิ้มบนใบหน้าไม่ลดลงเลยแม้แต่น้อย
สายลมพัดหมุนหิมะหนาเข้าจู่โจม เสื้อคลุมแขนกว้างส่งเสียงพึ่บพั่บ จีเหมียนปิติยินดีจนไม่สามารถสงบสติอารมณ์ได้ จู่ๆ ก็อ้าแขนร้องเพลงเสียงสูง “น้ำใสแห่งชางหลางเอ๋ย ชะล้างพู่ของข้าได้ น้ำขุ่นแห่งชางหลางเอ๋ย ชะล้างขาของข้าได้!”
ซ่งชูอีมองดูหิมะขาวบริสุทธิ์ก้อนมหึมาที่เริงระบำเต็มท้องฟ้าท่ามกลางเสียงร่ายกวีอันดังของจีเหมียน ทันใดนั้นก็มีความรู้สึกอยากระบายความรู้สึกอัดอั้น อดไม่ได้ที่จะตะโกนเช่นกัน “หิมะเอ๋ย ขาวผุดผ่อง ปกปิดความโสโครกของโลก! หิมะเอ๋ย หนาวเยือกเย็น ปัดฝุ่นละอองในจิตใจ!”
ทั้งสองคำรามแล้วก็หัวร่อออกมาเสียงดัง
“ท่านทั้งสองอารมณ์ดีเสียจริง!” มีคนควบม้าออกมาจากหิมะฉับพลัน
ซ่งชูอียังเห็นคนไม่ชัดก็จำเสียงได้ “พี่อวี๋กุย!”
ซิงโส่วสวมชุดแขนกว้างสีฟ้าอ่อน พริ้วไหวอยู่บนม้าดังก้อนเมฆ สามารถมองเห็นคิ้วหนาดกดำ ดวงตาดุจจันทราสดใส และดวงหน้าหล่อเหลาของเขาจากที่ไกลๆ ลักษณะของรอยยิ้มยิ่งทำให้ผู้คนมิกล้ามองในระยะใกล้
“พี่อวี๋กุยสง่างามยิ่งนัก!” ซ่งชูอีร้องอุทาน
เกวียนม้าจอดลง ซิงโส่วลดความเร็วม้า มองสำรวจซ่งชูอีและจีเหมียนรอบหนึ่ง สายตามาหยุดอยู่ที่ซ่งชูอี รอยยิ้มเปล่งประกายสดใส
ซ่งชูอีเห็นสัมภาระบนม้าของเขา ประหลาดใจเล็กน้อย “พี่อวี๋กุยจะเดินทางไกลรึ?”
“ถูกต้อง ข้าเดินทางมาถึงเว่ย์คราวนี้ เมื่อวานได้ยินคำพูดของหวยจินก็รู้สึกเพียงพอแล้ว! วันนี้ออกเดินทางกลับสำนัก ตั้งใจผ่านโรงเหล้าเพื่อมาพบหน้าหวยจินอีกครั้ง คิดไม่ถึงว่าจากการสอบถาม จึงได้รู้ว่าคลาดกันเสียแล้ว ขณะที่รู้สึกเจ็บปวดยิ่ง พลันได้ยินเสียงเพลงของหวยจิน ยินดีเหลือแสน!” ซิงโส่วหยิบขวดเล็กๆ ขวดหนึ่งออกมาจากแขนเสื้อแล้วโยนให้
จีเหมียน “นี่คือยาลับของสำนักข้า สามารถรักษาได้ร้อยโรค มอบให้พี่อู้เม่ยเป็นของอำลา”
เขาพูดพลาง หยิบถุงแพรออกมาจากในอกอีกครั้ง ส่งให้ซ่งชูอี “ของอำลา”
ซ่งชูอีรับถุงแพร ลูบคลำบนตัวอยู่ขณะหนึ่ง กลับเจอเพียงถุงเงิน อดไม่ได้ที่จะยิ้มเขินอาย “บอกลากะทันหัน ไม่มีสิ่งใดที่มอบให้ได้จริงๆ”
“หวยจินไม่จำเป็นต้องกังวล วันหน้าหากมีวาสนาได้พบกันอีก ได้โปรดเตรียมสุรากาหนึ่งเป็นการเลี้ยงต้อนรับแขกจากแดนไกลด้วย” ซิงโส่วยิ้มเอ่ย
“ตกลงตามนี้!” ซ่งชูอีประสานมือกล่าว “คุณชายรักษาตัว!”
“รักษาตัวด้วย!” จีเหมียนประสานมืออำลา
“ช้าก่อน” ซ่งชูอีถอดเสื้อคลุมตัวใหญ่ออกจากตัว “ลมหิมะรุนแรงมาก มอบให้คุณชายได้อุ่นกาย”
ซิงโส่วยิ้มน้อยๆ ยื่นมือรับเสื้อคลุมนั้น “ขอบคุณมาก”
ซิงโส่วเหวี่ยงเสื้อคลุมสีดำขึ้น คาดผ้ารอบเอว หลังจากกล่าวคำอำลากับทั้งสองคนแล้ว ยกแส้หวดม้าจากไป
“ไปมาผ่าเผย สมกับเป็นคุณชายโดยแท้!” จีเหมียนมองดูแผ่นหลังของซิงโส่วที่ค่อยๆ ลับตาท่ามกลางหิมะ ถอนหายใจเอ่ย
“กลับจวน” ซ่งชูอีละสายตากลับมา กล่าวกับผู้คุมเกวียน
จีเหมียนรู้ว่าเดิมทีซิงโส่วเตรียมเพียงของขวัญให้ซ่งชูอี เขาได้ของดีมาเสียเปล่าๆ ในใจนั้นยินดียิ่ง
ครั้นกลับถึงจวน ซ่งชูอีก็เปิดถุงผ้าแพรออกมาดู ด้านในมีขวดเล็กขวดหนึ่ง อีกทั้งมีจดหมายหนังแกะขนาดย่อมม้วนหนึ่ง
ซ่งชูอีเปิดม้วนออก เห็นตัวอักษรด้านบนงามชดช้อย
หวยจินเห็นจดหมายดุจได้พบผู้เขียน มาผูหยางดุจได้เจอสหายเก่า ในใจข้าปลื้มปริ่มยิ่ง คีรีสายนทีเมฆฝน สี่ฤดูห้าธาตุ พลังแห่งหยินหยางแห่งทิวาราตรี อาจก่อกำหนดเห็ดเซียน ข้ารู้ว่าทุกสรรสิ่งแปรผัน สิ่งมหัศจรรย์มากมี หากแต่สิ่งมหัศจรรย์เช่นหวยจินนั้น ยากที่จะพานพบ ข้าพบเจ้า ดั่งแรกพบเห็ดเซียนริมผา ยินดีจนแทบคลั่ง อย่างไรก็ดีครั้นเวลาผ่านผัน หวยจินจำต้องแสดงความเป็นหญิง ข้ากลัวว่าความสามารถเช่นเจ้าจะล่มสลาย ชวนให้กังวลอย่างสุดซึ้ง มิอาจข่มตาหลับตั้งใจมอบยาลับให้ มันอาจสามารถซ่อนเร้นทุกสิ่งอย่าง…
…………………………………