กุนซือหญิงยอดอัจฉริยะ - บทที่ 49 คุณธรรมแห่งบัณฑิต
“ซ่อนเร้นทุกสิ่งอย่าง?” ซ่งชูอีถือม้วนหนังแกะอยู่ในมือ ก้มหน้ามองทรวงอกและเป้าของตน พึมพำกับตัวเอง “สรุปว่ามันสิ่งใดหรืออย่างใดกันแน่…”
แม้นซ่งชูอีรู้สึกว่านางสามารถท่องใต้หล้าได้ง่ายดายขึ้นด้วยสถานะผู้ชาย แต่ก็ไม่เคยคิดที่จะกลายเป็นผู้ชายจริงๆ
เรือนร่างและผิวผมมาจากบิดามารดา มิอาจทำลาย นางมิกล้าเพิ่มเติมหรือตัดสิ่งใดส่งเดช! หากกลายเป็นผู้ชายจริงๆ เกรงว่าหนึ่งร้อยปีให้หลัง แม้แต่บิดามารดาบังเกิดเกล้าในขุมนรกก็จำนางมิได้ด้วยซ้ำ!
ซ่งชูอีตัวสั่น ดึงความคิดเหลวไหลกลับมา คำว่าซ่อนเร้นที่ซิงโส่วกล่าวจะต้องไม่ใช่เรื่องที่กลายเป็นผู้ชายแน่
แล้วจะซ่อนเร้นเยี่ยงไรเล่า?
ซ่งชูอีรู้สึกสนอกสนใจ เปิดขวดออกดม กลิ่นใช้ได้ มันคือกลิ่นหอมของเห็ดสมุนไพร นางเทสิ่งของที่อยู่ข้างในลงบนฝ่ามืออย่างระมัดระวัง มีเม็ดยาสีน้ำตาลแดงทั้งหมดเจ็ดเม็ด ทุกเม็ดล้วนมีขนาดเพียงครึ่งเล็บมือ
ซ่งชูอีใส่เม็ดยากลับไป มองสำรวจม้วนหนังแกะอย่างถี่ถ้วน ที่มุมมีตัวอักษรขนาดเล็ก อธิบายวิธีการใช้ยา
เริ่มคำนวณตั้งแต่เริ่มต้น กินหนึ่งเม็ดทุกๆ เจ็ดวันอย่างต่อเนื่องสี่สิบเก้าวัน แล้วความเป็นหญิงจะไม่แสดงออกภายในห้าปี
“พี่อวี๋กุยหนอ ท่านมองข้าสูงเกินไปแล้วจริงๆ” ซ่งชูอีเอ่ยอย่างซาบซึ้ง
ชาติที่แล้วขณะที่นางอายุยี่สิบสี่ยี่สิบห้าความเป็นหญิงก็ยังไม่แสดงออกมาเลยด้วยซ้ำ! ต่อมาจึงมีส่วนโค้งเว้าเพียงเล็กน้อย ทว่าร่างกายสูงเพรียว ทรวงอกทั้งสองข้างก็ไม่ใหญ่ ไม่จำเป็นต้องจงใจห่อหุ้มเลย นอกจากนี้ทั้งสำนักมีนางเป็นศิษย์หญิงเพียงผู้เดียว ได้รับการอบรมเลี้ยงดูดังผู้ชายตั้งแต่เด็ก คลุกคลีกับเหล่าศิษย์พี่อยู่บ่อยครั้ง พฤติกรรมจึงมิได้แตกต่างจากบัณฑิตทั่วไป ผู้ที่สามารถแยกแยะเพศของนางได้มีเพียงไม่กี่คน
ซิงโส่วนับว่าสุดยอดจริงๆ
“ยังมีข้อบกพร่องตรงไหนนะ?” ซ่งชูอีคิดจนเหม่อลอย เผลอโยนม้วนหนังแกะเข้าไปในกองไฟ
ผ่านไปครู่หนึ่ง จื๋อหย่าพุ่งเข้ามาด้วยความร้อนรน ใช้แขนเสื้อปิดจมูกปาก “นายท่าน! น้ำแห้งแล้วหรือเจ้าคะ?”
ซ่งชูอีดึงสติกลับมา จึงพบว่าควันโขมงเต็มห้อง ตลบอบอวลไปด้วยกลิ่นหนังไหม้ หนังแกะในอ่างเผาฟืนบัดนี้เหลือเพียงสีดำไหม้เกรียมม้วนหนึ่ง นางรีบเอ่ยขึ้น “เร็วเข้า รีบเอาออกไป”
จื๋อหย่ารีบใช้ไม้สอดที่ปากอ่าง แล้วยกมันออกไป
ทันใดนั้น เสียงเคาะประตูดังมาจากบานประตูที่ชำรุด เสียงเยือกเย็นดุจน้ำแข็งของหนานฉีดังมากจากข้างนอก “ซ่งชูอี! เจ้าออกมา!”
กลิ่นภายในห้องชวนให้หายใจลำบาก ซ่งชูอีจึงทำตามที่เขาต้องการ เดินออกไปนอกห้อง
หนานฉีถอยออกไปก้าวหนึ่งด้วยความรังเกียจ โยนสมุดไผ่ในมือให้นาง พอหันไปเห็นจื๋อหย่าก็เขยิบห่างออกไปอีก เอ่ยขึ้นเย็นชา “ข้าจำต้องฝืนใจอยู่ใต้ชายคาเดียวกับเจ้า รบกวนเจ้าอ่านหัวกฎที่อยู่ด้านบนอย่างละเอียดด้วย! และปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด! มิเช่นนั้นหากเจ้าไม่ไปข้าจะเป็นฝ่ายไปเอง!”
กล่าวจบก็สะบัดแขนเสื้อ สาวเท้ายาวๆ เข้าไปในห้องของตัวเอง
ซ่งชูอีเปิดสมุดไผ่ออกด้วยความงงงวย กำลังจะเพ่งอ่าน ก็ได้ยินเสียงหนานฉีกระแทกประตูเสียงดัง “ปัง”
ซ่งชูอีอ่านเนื้อความบนแผ่นไม้ไผ่ ข้อแรกคือห้ามสร้างกลิ่นแปลกประหลาดภายในลาน เห็นได้ชัดว่าหนานฉีสะอิดสะเอียนกับเรื่องนี้มาก
ข้อที่สองคือต้องรักษาภาพลักษณ์ส่วนบุคคล มิให้ส่งผลต่อความอยากอาหารของเขา
……
ด้านล่างยังมีข้อต่างๆ มากมายซึ่งเป็นคำขอที่รุนแรงยิ่งสำหรับซ่งชูอี หลายอย่างนั้นรวมถึงปัญหาส่วนตัวของนางด้วย อ่านแล้วซ่งชูอีรู้สึกท้องปั่นป่วนด้วยเพลิงโทสะ
จื๋อหย่าดับไฟด้วยหิมะ ครั้นทำความสะอาดเสร็จแล้วก็กลับไปที่เฉลียง
ซ่งชูอีรวบแขนเสื้อพร้อมตักเตือนนางด้วยความเคร่งขรึม “ท่านหนานฉีที่อาศัยอยู่ข้างๆ เจ้าอย่าดูเพียงภายนอกว่าเป็นคนฉลาด แท้จริงแล้วเป็นผู้ที่ชื่นชอบทารุณหญิงงามมาก เมื่อครู่เขาบอกกับข้าว่าจะใช้ทองคำร้อยแท่งเพื่อแลกตัวเจ้า ข้าไม่แลก ฉะนั้นเขาจึงกระแทกประตูด้วยความโมโห เพื่อความปลอดภัย ต่อไปเจ้ากับจื่อเฉาอยู่ให้ห่างเขา อย่าให้เขาเห็นอีก”
จื๋อหย่าใบหน้าซีดขาว เมื่อครู่นางอยู่ไกล ได้ยินไม่ชัดว่าหนานฉีว่ากระไร ทว่าได้ยินเสียงที่เขากระแทกประตู กอปรกับนึกขึ้นได้ว่าสองวันนี้เห็นหนานฉีจ้องมองนางตลอดเวลา ดังนั้นเมื่อได้ยินคำเตือนจริงจังจากซ่งชูอี นางจึงปักใจเชื่อทันที รีบเอ่ยขึ้น “เจ้าค่ะ”
ซ่งชูอีเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย หันหลังเข้าห้องไป
กลิ่นภายในห้องนั้นรุนแรงมาก จื๋อหย่าเปิดหน้าต่างทุกบานเพื่อระบายลม ซ่งชูอีตัดสินใจจะออกไปเดินเล่น
นางมาผูหยางได้สองวัน ยังมิทันได้เข้าใจสภาพความเป็นอยู่ของราษฎรอย่างถ่องแท้ ถึงอย่างไรอยู่ห้องก็แข็งตาย ออกไปก็แข็งตาย สู้ออกไปทำความเข้าใจเสียหน่อยดีกว่า
หลังจากซ่งชูอีตัดสินใจจะออกไปแล้ว สวมใส่เสื้อฟางกันฝนพร้อมหมวกไม้ไผ่ทรงกรวย ออกจากจวนอีกครั้ง
จวนหลงกู่จะส่งอาหารมาทุกสองเดือน เงินที่มอบให้ก็ค่อนข้างมากอยู่ ออกจากจวนมีรถ อยู่ที่จวนมีอาหาร ช่วงเวลาที่ซ่งชูอีสมปรารถนาที่สุดในอดีต ก็ล้วนเป็นการปรนเปรอเช่นนี้
วันหิมะตกหนัก ผู้คนที่สัญจรบนถนนมีไม่มาก ซ่งชูอีลูบคลำถุงเงิน เดินทอดน่องอยู่บนถนนรอบหนึ่ง ถามคนพื้นที่ว่าโรงเหล้าที่ใหญ่ที่สุดในนครผูหยางอยู่แห่งใด
ทำตามคำชี้แนะ ซ่งชูอีก็พบโรงเหล้าขนาดสองชั้นนามว่า “สระห้วงคำนึง” ได้อย่างง่ายดาย ซึ่งใหญ่กว่าโรงที่ซ่งชูอีเคยไปสามถึงสี่เท่า อาหารของโรงเหล้าแห่งนี้มิได้โดดเด่น แต่สระห้วงคำนึงกลับมีสุราทุกประเภทใต้หล้า
“เข้าสู่สระห้วงคำนึงในป่าลึก ช่างอิสระเสียจริง!” ซ่งชูอีอุทาน ก้าวเท้าเดินเข้าไป
ภายในอบอุ่นดุจฤดูใบไม้ผลิ อบอวบไปด้วยกลิ่นสุรานานาชนิดที่ผสมปนเปนเข้าด้วยกัน
“ท่านต้องการจะไปที่โอกงามหรือนั่งที่ห้องโถงขอรับ?” มีคนรับใช้เข้ามาถาม
ซ่งชูอีเงยหน้าขึ้นมองชั้นสอง หากนั่งในโอกงามที่อยู่ใกล้กับราวระเบียงก็สามารถได้ยินบทสนทนาในห้องโถงได้ จึงเอ่ยว่า “โอกงาม”
“ท่านได้โปรดตามข้ามา” คนรับใช้นำทางซ่งชูอีไปจนถึงชั้นสอง
ซ่งชูอีเลือกที่นั่งใกล้ราว เพิ่งจะนั่งลงก็ได้ยินคนที่อยู่ข้างๆ พูดขึ้น “รู้หรือไม่ว่าท่านจวินเฟ้นหาบัณฑิตผู้เก่งกาจด้านวรรณกรรมไปเพื่ออะไร?”
“จะทำอะไรได้? สงสัยท่านจวินคงฟังบทเพลงพวกนั้นจนเบื่อแล้วกระมัง! ทว่าหากความเฉิดฉายของวรรณกรรมเป็นที่ประจักษ์แล้วก็จะได้รับการปฏิบัติที่แตกต่างยิ่ง เช่นนั้นพวกเราไปลองหน่อยประไร?” อีกคนกล่าว
ทุกคนต่างเออออเห็นด้วย มีอีกคนพ่นลมหายใจเอ่ย “รัฐมิใช่รัฐยังคงนึกถึงบทเพลงร้องรำ จักรพรรดิเช่นนี้ ช่างทำให้ข้าอับอายนัก!”
คำพูดนี้เปรียบเสมือนน้ำเย็นเฉียบเสียดแทงกระดูก ดับความกะตือรือร้นของเหล่าบัณฑิตสิ้น
มีสาวรับใช้คนหนึ่งเข้ามาถามซ่งชูอี “ท่านต้องการรับอะไรดีเจ้าคะ?”
“เหล้าสาโทร้อนหนึ่งกา เนื้อย่างหนึ่งจาน” ซ่งชูอีถอดเสื้อคลุมฟางและหมวกไม้ไผ่ออก ส่งให้สาวใช้
สาวใช้ตอบรับเสียงหนึ่ง วางเสื้อคลุมฟางและหมวกไม้ไผ่อย่างเป็นระเบียบ จากนั้นก็ถอยออกไป
ไม่นาน เหล้าสาโทร้อนและเนื้อย่างก็ถูกยกมา
สาวใช้กำลังจะก้าวไปปรนนิบัติ ซ่งชูอีกลับกล่าวว่า “ข้าจัดการเอง”
สาวใช้ผู้นั้นตอบรับ ถอยออกไปนั่งคุกเข่าที่หน้าประตู รอฟังคำสั่ง
“ทุกท่าน! ทุกท่าน!” จู่ๆ ภายในห้องโถงใหญ่ก็มีคนตะโกนเสียงสูง แต่ละคนหยุดชะงัก ฟังอยู่เงียบๆ ว่าผู้นั้นมีสิ่งใดจะกล่าว
ซ่งชูอียกเหล้าสาโทขึ้นพิงอยู่ที่ข้างราว หลุบตาลงมองด้านล่าง มีชายที่แต่งกายเรียบร้อยผู้หนึ่ง อายุราวๆ สามสิบ ใบหน้าซื่อตรง หน้าขาวเครางาม นับว่าเป็นชายรูปงามตามมาตรฐานในสมัยนี้
“ข้าน้อยเพิ่งออกมาจากวัง” บัณฑิตวัยกลางคนยืนอยู่ใจกลางห้องโถง น้ำเสียงก้องกังวาน สายตาของทุกคู่ต่างเพ่งเล็งไปที่เขา เขากล่าวด้วยน้ำเสียงที่เปี่ยมด้วยความขมขื่น “เว่ยอ๋องรังแกรัฐเว่ย์ของพวกเราอย่างสาหัส ฝ่าบาทมีคำสั่ง
สรรหาบุคคลที่มีความสามารถด้านวรรณกรรม ประณามเว่ยอ๋องด้วยปลายพู่กัน ฝ่าบาททรง…พระองค์กล่าวว่าพระองค์ไร้ความสามารถ ทำให้บรรพบุรุษต้องอัปยศ ทำให้รัฐเว่ย์ต้องอดสู ทำให้รัฐเว่ย์ของพวกเราต้องตกเป็นของรัฐอื่น อย่างไรก็ดีรัฐของเรามีกองทหารน้อย หากเปิดสงครามก็เท่ากับตีหินด้วยไข่ รนหาที่ตาย ฉะนั้นฝ่าบาทจึงยอมขอร้องบัณฑิตเช่นพวกเรา ช่วยเหลือบ้านเมืองด้วยคำพูดที่ชอบธรรม!”
ภายในห้องโถงเงียบงันชั่วสองอึดใจ ทันใดนั้นมีคนร้องไห้ด้วยความเจ็บปวด ยิ่งมีคนมากมายตีอกชกตัว เพียงครู่หนึ่งเสียงร่ำไห้ก็ดังระงมทั่วโรงเหล้า เต็มไปด้วยเสียงว่า “ทุกข์ใจหนอเหนือหัวของข้า! ปวดใจหนอรัฐของข้า!”
ในโอกงามถัดจากซ่งชูอี มีคนตบโต๊ะฉับพลัน ซ่งชูอีได้ยินเสียงชักดาบออกจากฝักดัง “ชึ้ง” อย่างชัดเจน
ผู้นั้นเปล่งวาจาด้วยเสียงอันดัง “ฝ่าบาทของข้าเป็นห่วงราษฎรและบ้านเมืองเพียงนี้ แต่ข้ากลับพูดจาลบหลู่! สมควรขออภัยโทษด้วยชีวิต!”
ในที่สุดก็มีคนตะโกนขึ้น “ฝ่าบาททรงพระเจริญหมื่นปี! รัฐเว่ย์ยืนยาวหมื่นปี!”
จากนั้นก็ตามมาด้วยเสียงดัง “ปัง”
ทุกคนรู้ในทันทีว่ามีคนสำนึกผิดด้วยชีวิต พฤติกรรมอันอุกอาจเช่นนี้ ปลุกเร้าความเดือดพล่านของผู้คนได้ภายในพริบตา ชูแขนลั่นเสียงสูง “ฝ่าบาททรงพระเจริญหมื่นปี! รัฐเว่ย์ยืนยาวหมื่นปี!”
เจ้าของโรงเหล้ารีบวิ่งแจ้นไปถามชื่อแซ่ของผู้ปลิดชีพตัวเองที่โอกถัดไปด้วยตนเอง หลังจากความเดือดดาลของฝูงชนซาลง ก็กล่าวด้วยเสียงอันดัง “ท่านมู่ซวี่บัดนี้ได้ปลิดชีพสำนึกผิดแล้ว ความซื่อสัตย์ใหญ่หลวงนัก!”
…………………………
นิยายเรื่อง กุนซือหญิงยอดอัจฉริยะ จะเปิดโปรอ่านฟรีเป็นจำนวน 60 ตอน
โดยทีมงานจะอัปเดตนิยายจนถึงตอนที่ 60 ภายในวันที่ 26 พ.ย. 63 และจะเปิดให้อ่านฟรีตั้งแต่วันที่ 26-30 พ.ย. 63 ก่อนจะเริ่มติดเหรียญตั้งแต่ตอนที่ 50 ในวันที่ 1 ธ.ค. เป็นต้นไป ในราคาตอนละ 3 บาท
ทั้งนี้ ระหว่างที่มีโปรอ่านฟรีทางทีมงานจะยังคงอัปเดตตอนใหม่อย่างต่อเนื่องพร้อมกับติดเหรียญตามปกติค่ะ