กุนซือหญิงยอดอัจฉริยะ - บทที่ 58 ป้าแก่หนานหยุนซื่อ
คนรับใช้ในวังม้วนสมุดไผ่อย่างดี สองมือยื่นให้กับเหยาเจิ้ง
“เรื่องยับยั้งมิให้บทความแพร่งพรายหรือพะย่ะค่ะ?” เหยาเจิ้งรับของมา ถามอย่างไม่ตายใจ
เว่ยอ๋องจ้องเขาผ่านม่านมงกุฏ “เจ้าเป็นถึงเสนาบดี! กว่าเหรินเห็นด้วยกับคำพูดของเจ้าแล้ว ควรทำเยี่ยงไรเจ้าก็ไปทำเสีย! ข้าคงไม่ต้องตรวจสอบและอนุมัติแม้แต่เรื่องเล็กน้อยดอกกระมัง! มิเช่นนั้นกว่าเหรินจะมีเสนาบดีเยี่ยงเจ้าไว้เพื่อกระไร!”
“ฝ่าบาท นี่มิใช่เรื่องเล็กน้อย…” เหยาเจิ้งกล่าว
เว่ยอ๋องสอดมือไว้ในแขนเสื้อ นั่งตัวตรง “เช่นนั้นเข้ากล่าวให้ละเอียด ไม่ใช่เรื่องเล็กน้อยเยี่ยงไร?”
“กระหม่อมเพียงรู้สึกว่า…”
การเริ่มประโยคของเหยาเจิ้งทำให้ไม่น่าเชื่อถือเท่าไร เว่ยอ๋องถลึงตามอง ตัดบทเขาอย่างหมดความอดทน “เพียง? รู้สึก?”
เหยาเจิ้งเพียงรู้สึกว่าเรื่องนี้ผิดวิสัย ทว่าขณะนี้ก็ยังดูมิออก เป็นดั่งที่เว่ยอ๋องกล่าว บัดนี้บ้านเมืองระส่ำระส่าย รัฐที่เคร่งครัดในศีลธรรมเช่นซ่งหรือเว่ย์ก็ต่างล่มสลายแล้ว ต่อให้เรื่องนี้แพร่งพรายออกไป พวกเขาจะสามารถทำอันใดได้?
อย่างไรก็ดีครั้นครุ่นคิดแล้ว จู่ๆ แสงรำไรก็วาดผ่านหัวใจของเหยาเจิ้ง รีบเอ่ยขึ้น “หากเว่ย์โหวจงใจป่าวประกาศเรื่องนี้ให้ใต้หล้ารับรู้ จากนั้นก็หยิบยืมกองกำลังจากรัฐเจ้า รัฐเจ้าเองก็มีเหตุผลอันชอบธรรมยิ่งที่จะเปิดสงครามกับพวกเรา…”
“รัฐเจ้า” เว่ยอ๋องหัวเราะ “บัดนี้พวกเขายังเอาตัวไม่รอดด้วยซ้ำ ยังจะมีกำลังมาเปิดสงครามกับพวกเรา?”
แม้นจะตรัสเยี่ยงนี้ ทว่าเว่ยอ๋องกลับจดจำเรื่องนี้ไว้ในใจแล้ว เมื่อก่อนตอนที่รัฐเว่ยกลืนกินดินแดนใหญ่กว่าครานี้ เว่ย์โหวก็มิเคยแม้แต่จะกล้าทอดถอนใจ บัดนี้คิดไม่ถึงว่าจะตำหนิอย่างดุเดือด เรื่องนี้มันผิดปกติโดยแท้
โดยปกติแล้ว แต่ไหนแต่ไรมารัฐเว่ย์พึ่งพาการมีอยู่ของรัฐเจ้า ในเวลานี้ก็เป็นไปได้ที่สุดว่าจะไปขอความช่วยเหลือจากรัฐเจ้า ทว่าบัดนี้ภายในรัฐเจ้ายุ่งเหยิง จำต้องดูแลตนเอง เกรงว่าตอนนี้ก็มิอาจยื่นมือเข้าช่วย รัฐอื่นโดยรอบก็มีรัฐฉู่ รัฐฉินที่ยังพอเป็นไปได้บ้าง…
“จับตาดูความเคลื่อนไหวของเจ้า ฉู่ ฉินสามรัฐอย่างใกล้ชิด” เว่ยอ๋องกล่าว
“กระหม่อมรับด้วยเกล้า” เหยาเจิ้งน้อมตัวเอ่ย
เว่ยอ๋องลุกขึ้นยืน หรี่ตามองหิมะสีขาวที่สะท้อนแสงอยู่ด้านนอก ในใจพลันคิดว่าอีกประเดี๋ยวจะพาสนมคนไหนไปเดินเล่นบนหิมะดี
แสงอาทิตย์ส่องประกาย ใบหน้าของคนเดินเท้าและขุนนางบนถนนถูกสาดส่องจนโปร่งใส แม้แต่ใบหน้าที่ซูบตอบก็ดูมีน้ำมีนวลขึ้น
ซ่งชูอีพาคนใช้คนหนึ่งมาถึงที่ดินรกร้างว่างเปล่านอกนครผูหยางแห่งรัฐเว่ย์ ยืนขดตัวเป็นกุ้งท่ามกลางลมเหนืออันโหดร้าย
สายลมบนพื้นที่รกร้างแรงกว่าในนครหลายเท่า หิมะที่สะสมอยู่บนพื้นก็ยังมิถูกเหยียบย่ำ คลื่นลมแรงพัดหมุนหิมะขึ้นมาปะทะใบหน้าจนเจ็บปวด ไม่ช้าใบหน้าของทั้งสองคนต่างถูกตีจนแดงก่ำ
คนรับใช้อยากถามเหลือเกินว่าเหตุใดจึงออกมาตากลมในวันหนาวเหน็บเช่นนี้ ทว่าสายลมแรงเกินไป อ้าปากไม่เพียงไม่สามารถเอ่ยออกเสียงได้ อีกทั้งยังรับลมเข้าไปเต็มท้อง
ซ่งชูอีก็รู้สึกขมขื่นในใจเล็กน้อย การมาชานเมืองในอากาศเช่นนี้เป็นการหาเรื่องใส่ตัวจริงๆ ทว่ามีเพียงสภาพอากาศนี้เท่านั้นที่ร่องรอยของนางจะไม่ถูกติดตามโดยง่าย
หลังจากเดินฝ่าลมแรงอยู่ราวๆ สองถ้วยน้ำชาภายใต้การนำทางของคนรับใช้ ในที่สุดก็มองเห็นบ้านมุงจากสภาพชำรุดทรุดโทรมในสถานที่ที่รายล้อมด้วยเนินดินขนาดเล็ก ประตูไม้เรียบง่ายส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าดจากลมแรง แผ่นหลังคาบ้านโหรงเหรงเหมือนไม่มีคนอาศัยอยู่
ซ่งชูอีเดินเข้าไป สุ่มเลือกบ้านหลังหนึ่งแล้วยื่นมือเคาะๆ ประตู “มีคนอยู่หรือไม่?”
ไม่มีเสียงตอบรับจากภายใจ ซ่งชูอีเรียกอีกครั้ง “ในบ้านมีคนอยู่หรือไม่?”
หยุดไปครู่หนึ่ง เมื่อเห็นว่ายังไม่มีคนเปิดประตู นางจึงผลักประตูเข้าไปแล้ว
ภายในห้องมีกลิ่นเหม็นอับเจือจาง แสงอาทิตย์เหนือศีรษะเล็ดลอดเข้ามาภายในห้องตามช่องโหว่ หิมะบางส่วนที่ถูกลมพัดร่วงลงมาตามลำแสงนั้น มีสองศพที่ถูกเสื้อผ้าคลุมร่างไว้ในกองฟางตรงมุมห้อง เป็นคุณแม่ที่กำลังขดตัวกอดเด็กอายุราวหกเจ็ดขวบ
สองศพนี้ฝ่อตัวไปบ้างแล้ว เห็นได้ชัดว่าเสียชีวิตมาแล้วระยะหนึ่ง ทว่าเนื่องด้วยอากาศที่หนาวเกินไปจึงยังไม่เน่าเปื่อย
ซ่งชูอีกวาดตามองสิ่งของภายในบ้านคร่าวๆ มีเพียงเครื่องดินเผาไม่กี่ชิ้นและเครื่องใช้ในชีวิตประจำวันเรียบง่ายจำนวนหนึ่ง
สองแม่ลูกคู่นี้ เกรงจะเป็นเพราะว่าชายหนุ่มในครอบครัวตายในสนามรบ ไม่มีอาหารกินในฤดูหนาว ไม่มีใครซ่อมหลังคาบ้าน จึงหนาวตายอยู่ที่นี่
“เจ้าไปดูที่ใกล้ๆ ว่ามีคนอยู่ในบ้านหลังอื่นหรือไม่” ซ่งชูอีกล่าว
คนรับใช้รับคำสั่ง กัดฟันผ่าลมหิมะออกไปแล้ว
ซ่งชูอีเดาว่าบ้านหลังอื่นก็ไม่น่าจะมีคนอยู่เช่นกัน เนื่องด้วยชนกลุ่มน้อยแบบนี้ หากยังมีคนอื่นอยู่ด้วย จะต้องไม่ปล่อยให้สองแม่ลูกหนาวและแข็งตายเป็นแน่
มีชุมชนกลุ่มน้อยบางแห่งต้องอพยพย้ายถิ่นหรือไม่ก็สูญสิ้นชาติพันธุ์เนื่องจากสงคราม แม้นหลงเหลือผู้รอดชีวิตหนึ่งหรือสองคน ท้ายที่สุดก็มิอาจรักษาดินแดนของชนเผ่าได้
ดูจากฉากตรงหน้าแล้ว ซ่งชูอีเดาว่าน่าจะเป็นการอพยพย้ายถิ่น แต่สองแม่ลูกคู่นี้คงยืนหยัดที่จะรอผู้ชายของบ้านกลับมา และมีทั้งพ่อแม่ที่รอให้ลูกชายกลับมา สถานการณ์เช่นนี้เห็นได้บ่อยนัก ซ่งชูอีก็เคยเห็นมาไม่น้อย
จุดประสงค์หลักที่ซ่งชูอีตัดสินใจมาวันนี้เพื่อมาดูว่าที่นี่มีสถานที่รกร้างหรือไม่ คนรับใช้ที่จวนหลงกู่ผู้นั้นทราบว่ามี ฉะนั้นนางจึงให้เขาพานางมาที่นี่ นางไม่เคยมาที่รัฐเว่ย์มาก่อน เคยแต่ได้ยินว่าที่นี่อุดมสมบูรณ์และมั่งคั่งเป็นอย่างยิ่ง เดิมทีนึกว่าจะดีกว่านี้สักหน่อย ด้วยเหตุนี้เมื่อพบเห็นเป็นครั้งแรก มันจึงห่างไกลความคาดหมายของนางมาก
นางก็ไม่มีคนที่เชื่อใจได้ในมือ ต่อให้คิดวิธีครอบครองที่ดินได้ ไม่กี่วันก็จะถูกผู้อื่นแย่งไป
“ท่านขอรับ” คนรับใช้วิ่งฝ่าหิมะเข้ามา “ไม่มีคนในบ้านหลังอื่นเลยขอรับ”
“เยี่ยม” ซ่งชูอีพึมพำ
จะต้องหาวิธีครอบครองที่ดินผืนนี้ให้ได้ เดิมทีพื้นที่รัฐเว่ย์มีขนาดเล็ก หากพลาดผืนนี้ไป อาจไม่เจอผืนใหม่อีก
“กลับกันก่อนเถิด” ซ่งชูอีพูดจบก็เดินออกไป ทอดสายตาไปยังทุ่งหิมะสุดลูกหูลูกตาข้างนอก พลันคิดในใจ ‘ไม่รู้ว่าที่ดินผืนนี้เป็นของชนกลุ่มน้อยนี้หรือเป็นของผู้อื่น’
สมองของซ่งชูอีตื่นตัวเป็นอย่างยิ่งเมื่อปะทะกับลมหนาว จะลงมือเรื่องนี้จักต้องทำให้เร็ว หากราชสำนักตรวจสอบเจอว่าที่แห่งนี้ไร้เจ้าของ จะต้องเรียกที่ดินกลับคืนเป็นแน่ ระหว่างนี้ยังมีช่องว่างที่สามารถเจาะเข้าไปได้ กฎหมายแห่งรัฐเว่ย์มิได้สมบูรณ์แบบ ฉะนั้นการควบคุมจึงหละหลวมยิ่ง และราชสำนักคงไม่ใคร่จุกจิกว่าเจ้าของที่ดินผืนนี้เป็นผู้เดียวกันกับบันทึกในอดีตหรือไม่ พวกเขาจะทำการบันทึกใหม่ เพียงเพื่อให้มั่นใจว่าเจ้าของที่ดินจ่ายภาษีทุกปีตามกฎหมายเป็นพอ
ครั้นซ่งชูอีกลับถึงนคร บัดนี้ท้องฟ้าก็มืดสลัวแล้ว จื๋อหย่าเตรียมน้ำอาบไว้อย่างดี ซ่งชูอีลงแช่น้ำร้อนเพื่อขจัดไอหนาวในร่างกาย จากนั้นหลังจากดูอาการของเด็กคนนั้นแล้ว ก็ซุกตัวเข้าไปในผ้านวมผืนใหม่อย่างสบายใจ
หลับสนิทไร้ความฝันตลอดราตรี
รุ่งอรุณวันต่อมา ซ่งชูอีถูกเสียงเคาะประตูปลุกให้ตื่น ข้างนอกเป็นเสียงของจีเหมียน “หวยจิน! หวยจิน! ได้ยินว่าเจ้าเก็บสาวงามได้หรือ? ข้ามาชมเสียหน่อย”
ซ่งชูอีด่าทอหนานฉีท่ามกลางความสะลึมสะลือ เห็นท่าทีสูงสง่าเช่นนี้ คิดไม่ถึงว่าจะเป็นดั่งป้าแก่! ทั้งมากเรื่อง ทั้งปากมาก!
………………………