กุนซือหญิงยอดอัจฉริยะ - บทที่ 61 รักษาหัวใจอันมีค่า
“จริงหรือ?” ในใจหลงกู่ปู้วั่งยินดียิ่ง ไม่มีกะใจจะไปนึกว่าคำพูดก่อนหน้าของซ่งชูอีมีเหตุผลหรือไม่ เพียงรู้สึกว่าแม้น
ซ่งชูอีมีความผิดที่มาสาย ทว่าในใจของนางกลับให้ความสำคัญด้านการสอน
หลงกู่ปู้วั่งอยากไปทัศนศึกษาอยู่หลายครา แต่กลับถูกห้ามปราม เขาคิดไม่ถึงว่าซ่งชูอีจะมีความสามารถเกลี้ยกล่อมท่านปู่ได้!
“ออกเดินทางเมื่อใด?” หลงกู่ปู้วั่งปรีดาจนยากจะควบคุมตนเอง
“วันมะรืน สองวันนี้ก็ให้เวลาเจ้าได้เตรียมตัวเสียหน่อย ห้ามแพร่งพรายเรื่องทัศนศึกษาออกไป” ซ่งชูอีกำชับ
หลงกู่ปู้วั่งถามด้วยความประหลาดใจ “เพราะเหตุใด?”
สำหรับผู้เล่าเรียนนั้น การทัศนศึกษาคือเรื่องที่มีเกียรติมากเรื่องหนึ่ง ครั้นเขารู้ข่าวนี้ก็คิดจะเชื้อเชิญเหล่าสหายมาดื่มฉลองแล้ว ทว่าในเวลานี้กลับโดนซ่งชูอีปรามไว้ จะไม่ให้เขาถามได้เยี่ยงไร
ซ่งชูอีหาว เอ่ยว่า “สองวันก่อนข้าชมเจ้าสองสามประโยค ทว่าเจ้าต้องรู้จักความสามารถของตน ไม่มีใครที่ไม่เรียนรู้แล้วฉลาดดอก เจ้ารู้หรือไม่ว่าเหตุใดจึงเรียกว่าพรสวรรค์?”
หลงกู่ปู้วั่งรู้สึกว่าซ่งชูอีมีเหตุผล เขาถูกชมเพียงไม่กี่คำก็กลับหลงระเริงลืมวันลืมคืนไปแล้วจริงๆ ด้วยเหตุนี้จึงนั่งตัวตรง เอ่ยด้วยความจริงจัง “ความรู้กว้างขวางจดจำเป็นเลิศ เห็นอ่านแล้วมิลืมเลือน ประยุกต์ใช้จากการเรียนรู้”
“เด็กหนุ่ม เจ้าช่างไร้เดียงสาจริงๆ” ซ่งชูอีมองไปข้างนอก เห็นว่าไม่มีคนเข้าใกล้ จึงเอ่ยขึ้น “แต่ละรัฐผลิตผู้เก่งกาจออกมาอย่างต่อเนื่อง ในโลกใบนี้ใช่ว่าไม่มีบุคคลเช่นเจ้ากล่าวถึง ทว่ามีไม่มาก ผู้มีพรสวรรค์เพียงไม่มองเรื่องการศึกษาเป็นเรื่องผิวเผิน”
“อาจารย์หมายความว่ากระไร?” หลงกู่ปู้วั่งเห็นนางกล่าวอย่างลึกลับ ก็กดเสียงต่ำไปด้วย
“หากเจ้าอ่าน “บทกวี” สิบรอบจนสามารถท่องจำได้ขึ้นใจ ทว่าเท่าที่ผู้อื่นรู้กลับเป็นการอ่านเพียงรอบเดียว ผู้อื่นจะคิดกันเยี่ยงไร?” ซ่งชูอีกล่าว
ในปัจจุบัน บัณฑิตส่วนใหญ่ล้วนมีอารมณ์ที่แท้จริง หนึ่งคือหนึ่ง สองคือสอง ชัดเจนกว่าบรรดานักท่องยุทธจักรและนักรบเสียอีก นิสัยของพวกเขาเถรตรง สิ่งที่หลงกู่ปู้วั่งคิดก็เป็นเช่นนี้มาโดยตลอด ทว่าคำพูดของซ่งชูอีเมื่อครู่กลับทำลายความรู้ในอดีตของเขา ดังนั้นเขาจึงเอ่ยคัดค้าน “อาจารย์กล่าวเช่นนี้ไม่ยุติธรรม อาจารย์เคยเห็นผู้ที่ทำเยี่ยงนี้กับตาหรือ? หากเอ่ยชื่อมาสักสองคน ข้าก็จะยอมรับ”
ซ่งชูอีถูกเปิดโปง สีหน้าไม่เปลี่ยนเลยสักนิด เลิกคิ้วเล็กน้อย ยกมือขึ้นปรบมือยิ้มเอ่ย “เยี่ยมมาก เจ้าไม่ถูกคำไร้สาระหลอกลวง ยอดเยี่ยม ทว่าต่อไปเจ้าต้องจำไว้ ใช่ว่าบัณฑิตทุกคนจะกล่าวความจริงกับเจ้า ดังนั้นเวลาฟังคำผู้อื่น จำต้องพิจารณาอย่างถี่ถ้วน”
หลงกู่ปู้วั่งนิ่งไปครู่หนึ่ง ประสานมือคารวะเอ่ย “ปู้วั่งรับคำสอน”
ย้อนคิดดูแล้ว หลงกู่ปู้วั่งไม่เคยมองร่องรอยกับดักที่ซ่งชูอีขุดไว้ให้เขาออกเลยแม้แต่น้อย เขาชื่นชอบสำนักยุทธพิชัยและคำกล่าวของมัน “นักรบล้วนใช้วิถีหลอกล่อ” ฉะนั้นเขาจึงไม่รู้สึกว่าถูกดูแคลนด้วยพฤติกรรมของซ่งชูอี แต่กลับชอบเป็นที่สุด รู้สึกว่าซ่งชูอีใช้ความเป็นจริงให้เขาได้เรียนรู้ในเบื้องต้น จะเรียกว่าวิถีหลอกล่อได้เยี่ยงไร
อย่างไรก็ตามอย่างที่รู้ ซู่ชูอีเพียงเบี่ยงเบนความสนใจของเขาเท่านั้น เรื่องที่ต้องการจะหลอกเขาก็หลอกไปแล้ว
“วิถีหลอกล่อมิได้มีเพียงเท่านี้ เจ้าทำความเข้าใจคำที่ข้าพูดวันนี้ให้ถ่องแท้ สักวันหนึ่งเจ้าจะเข้าใจเอง” ซ่งชูอีชิงวางรากฐานคำโกหกที่จะถูกเปิดโปงในภายภาคหน้าเสียก่อน
นางลอบเป็นราชทูตให้รัฐฉินภายใต้ข้ออ้างในการพาหลงกู่ปู้วั่งออกไปทัศนศึกษา หลงกู้ปู้วั่งจะต้องนึกว่านางทำไปเนื่องด้วยเหตุผลด้านความปลอดภัยและจะไม่เปิดโปงอย่างแน่นอน ทว่าหลงกู่ปู้วั่งมิใช้คนเขลา ช้าเร็วเขาก็จะรู้ความจริง
แม้เป็นเคล็ดเล็กๆ น้อยๆ ทว่าสามารถหลอกคนได้ หลงกู้ปู้วั่งพิจารณาคำพูดของนางในวันนี้อย่างละเอียดก็ได้เรียนรู้บางอย่างจริงๆ มันทั้งกระชับความสัมพันธ์ในปัจจุบันและสอนประสบการณ์ให้กับเขาได้ ซ่งชูอีคิดเช่นนี้ ในใจพลันรู้สึกว่าตัวเองเหมาะแก่การสอนและคลี่คลายข้อกังขาอย่างมาก
“สองวันนี้เจ้าก็พักผ่อนให้เต็มที่ เตรียมของที่ต้องการจะเอาไป แล้วพิจารณาสิ่งที่ข้าพูดวันนี้โดยละเอียด” ซ่งชูอีเตือนสติอีกครั้งตามหน้าที่
“ขอรับ” บัดนี้หลงกู่ปู้วั่งหัวใจเปี่ยมด้วยความตื่นเต้น จะมีเวลาไปพิจารณาโดยละเอียดที่ไหนกัน
ซ่งชูอีเพิ่งจะลุกขึ้นจากไป เขาก็วิ่งแจ้นกลับลานของตัวเองทันที ปล่อยให้บรรดาศิษย์พี่น้องข้างนอกที่รอดูความสนุกงงเป็นไก่ตาแตก
มีเด็กหนุ่มคนหนึ่งวิ่งตามไป “ศิษย์พี่ ศิษย์พี่ มีเรื่องกระไรน่ายินดีรึ?”
ซ่งชูอีได้ยินเสียงร้องตะโกนมาแต่ไกล มุมปากยกยิ้มเล็กน้อย สองวันนี้นางก็รู้สึกยินดียิ่ง ทว่าเด็กคนนั้นที่นางเก็บมา ไม่รู้ว่าภายในสองวันอาการจะดีขึ้นบ้างหรือไม่
ส่งเขาให้จีเหมียน? ไม่ได้ แม้นจีเหมียนอายุไม่น้อยแล้วทว่ายังรักสนุกเป็นอย่างยิ่ง หากส่งเด็กน้อยเจ็บออดๆ แอดๆ ให้เขา เกรงว่าจะไม่รอด
หรือว่าจะส่งให้หนานฉี? ซ่งชูอีส่ายหน้า ส่งให้เขาสู้ส่งให้จีเหมียนยังจะดีเสียกว่า!
ซ่งชูอีกลับไปถึงที่ลาน เตรียมไปเยี่ยมจื่อเฉาก่อน
นางเพิ่งจะเยื้องย่างขึ้นเฉลียง พลันได้ยินพี่น้องกงซุนกำลังพูดคุยกันอยู่ในห้อง
“หย่า เจ้าบอกความจริงข้ามา นายท่านใช้อะไรแลกเปลี่ยนพวกเรา?” จื่อเฉาถามเสียงเบา
เงียบงัน
หลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง จื๋อหย่าจึงเอ่ยขึ้น “ใช่ เขาบอกว่าได้ทำข้อแลกเปลี่ยนกับรัฐเว่ย์ ตกลงว่าจะอยู่ที่นี่สามปีแลกกับพวกเราสองพี่น้อง แต่ว่าท่านพี่ เขาก็เคยบอกกับข้าตรงๆ ว่าถูกใจในรูปลักษณ์ของพวกเราสอง ต้องการจะส่งพวกเราออกไป เขายังถามข้าว่าคิดแก้แค้นหรือไม่ สามารถหยิบยืมสิทธิ์จากครานี้ได้…สุดท้ายแล้ว เขาก็แค่ทำเพื่อผลประโยชน์ส่วนตน! แม้นจะทำงานก็ต้องใช้วิธีแลกเปลี่ยนสาวงาม ช่างน่าอับอายแท้!”
“หย่า!” จื่อเฉาไอโขลกสองสามที เอ่ยตำหนิ “เหตุใดเจ้าถึงไม่รู้จักชั่วดีเยี่ยงนี้! ต่อให้นายท่านมีเจตนาจะใช้ประโยชน์จริงแล้วเยี่ยงไรหรือ? หากเขาไม่ยื่นมือเข้าช่วยเหลือ เกรงว่าป่านนี้เจ้ากับข้าคง…คงตกอยู่ในจุดที่ย่ำแย่ที่สุดแล้ว บางทีข้าก็ไม่อาจมีชีวิตจนถึงวันนี้ บัดนี้เขามอบเสื้อผ้าอาหารให้พวกเรามิขาด พวกเราจะไม่รู้จักตอบแทนบุญคุณได้เยี่ยงไร!”
“เช่นนั้นท่านพี่เต็มใจจะเป็นตัวหมาก เป็นของเล่นใต้ร่างผู้อื่นงั้นรึ!” จื๋อหย่าเค้นเสียงลอดไรฟัน เห็นได้ชัดว่าไม่พอใจอย่างยิ่ง
“หย่า!” น้ำเสียงของจื๋อหย่าเจือปนความโกรธจางๆ “ในเมื่อนายท่านกล่าวตรงไปตรงมาก็เท่ากับเป็นสุภาพบุรุษ ไม่ส่งเจ้ากับข้าออกไปส่งเดชดอก”
ได้ยินถึงตรงนี้ ซ่งชูอียิ้มน้อยๆ ยกมือขึ้นเคาะประตู
เสียงอุทานเบาๆ ของจื่อเฉาดังมาจากภายใน เงียบงันเพียงครู่หนึ่ง จื๋อหย่าก็มาเปิดประตู
จื๋อหย่ารู้สึกว่าในเมื่อความคิดของนางถูกเปิดโปงแล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องปิดบังอะไรอีกต่อไป! ดังนั้นจึงไม่ค้อมตัวอย่างนอบน้อมถ่อมตนอีก นางมาจากตระกูลผู้สูงศักดิ์ ครั้นตกต่ำสามารถเป็นทาสรับใช้ได้ แต่ไม่มีทางยอมใช้ร่างกายแลกเปลี่ยนความสงบสุขในระยะสั้นอย่างเด็ดขาด
ซ่งชูอีชำเลืองมองจื่อเฉา อาการป่วยของนางดีขึ้นมากแล้ว หลังจากผ่านการพักฟื้นมาหลายวัน สีหน้าก็ดีขึ้นกว่าเก่าอย่างเห็นได้ชัด ครั้นนางเห็นซ่งชูอีเข้ามา ก็รีบลุกขึ้นทำความเคารพ “นายท่าน”
“อืม” ซ่งชูอีสะบัดแขนเสื้อ นั่งคุกเข่าอยู่ข้างอ่างเผาฟืน ไม่มองจื๋อหย่าเลยแม้แต่น้อย เอ่ยแผ่วเบา “ไม่สมัครใจงั้นหรือ? ข้าจะปล่อยเจ้าไปบัดนี้เลยก็ได้ ใต้หล้ามีสาวงามมากมาย ข้าไม่จำเป็นต้องใช้พวกเจ้าสองคน วิธีการทำงานก็มีมากมาย ข้าก็ไม่จำเป็นต้องใช้สาวงามเป็นการแลกเปลี่ยน ที่ข้าพูดกับพวกเจ้าตรงๆ เพราะต้องการมีประโยชน์ร่วมกัน ถ้าหากพวกเจ้าไม่ยินยอม บัดนี้ก็สามารถไปได้ทันที ข้าจะไม่รั้งไว้”
ไปรึ? ด้วยรูปลักษณ์อย่างพวกนางสองคนจะไปที่ใดได้? ปราศจากการปกป้องจากครอบครัว ไม่ว่าพวกนางจะไปที่ใดก็เป็นได้เพียงของเล่นเท่านั้น
จื๋อหย่าสำลักอยู่ในลำคอ ทันใดนั้นก็ตระหนักได้ว่า การไร้ซึ่งตำแหน่งอันเป็นเกียรติแต่กลับมีจิตใจจองหองนั้นน่าขบขันมากเพียงใด น้ำตาไหลรินจากดวงตาอย่างควบคุมไม่ได้
“หย่ายังเด็ก ไม่รู้ประสา กล่าวคำกระด้างกระเดื่องเยี่ยงนี้ออกมา ข้าในฐานะพี่สาวของนาง ขอขมานายท่านแทนนางด้วย” จื่อเฉาคุกเข่าฮวบตรงหน้าซ่งชูอี
…………………………….