กุนซือหญิงยอดอัจฉริยะ - บทที่ 62 ร้องไห้ไปเพื่อกระไร
ซ่งชูอียื่นมือผิงไฟอยู่บนอ่างเผาฟืน ราวกับว่าไม่เห็นการขอขมาของจื่อเฉา
จื๋อหย่าเห็นว่าจื่อเฉาหมอบตัวอยู่บนพื้น น้ำตาก็ยิ่งร่วงหนักกว่าเดิม ตัวแข็งทื่ออยู่ครู่หนึ่ง ก่อนปล่อยวางความอวดดีที่มิได้เป็นของตนอีกต่อไป คุกเข่าลงข้างจื่อเฉา “บ่าวสำนึกผิดแล้ว นายท่านได้โปรดลงโทษ!”
คำพูดของจื๋อหย่าเมื่อครู่ ถ้าหากเป็นสกุลสูงส่งได้ยินเข้าจริงๆ คงถูกลากออกไปโบยจนตายแล้ว
ซ่งชูอีมิได้ตั้งตัวเองไว้สูงส่งเยี่ยงนั้น แต่ก็ไม่อนุญาตให้ผู้อื่นกล่าวหาส่งเดช นางเอนกายอยู่บนที่เท้าแขน หลุบตาลง
มองมือของตัวเอง เอ่ยขึ้นเชื่องช้า “พวกเจ้าเคยเป็นหญิงสูงศักดิ์มาก่อน คงรู้ดีว่าคำพูดเมื่อครู่มีโทษสถานใดกระมัง?”
ทันใดนั้นหัวใจของจื๋อหย่าหล่นตุบ เหงื่อเย็นซึมอยู่บนหน้าผาก จื่อเฉาจิตใจร้อนรน ทว่าซ่งชูอียังมิทันบอกว่าจะลงโทษเยี่ยงไร นางยังไม่ควรที่จะอ้อนวอนทันที
“ให้ข้าเล่านิทานให้พวกเจ้าฟังเถิด” ซ่งชูอีกล่าวด้วยความสนอกสนใจเป็นอย่างมาก “มีชาวนาคนหนึ่ง เก็บงูพิษที่ถูกแช่แข็งตัวหนึ่งขึ้นมาจากพื้นหิมะในวันเหน็บหนาว นึกสงสารในใจ จึงซุกมันไว้ในอ้อมอกเพื่อให้ความอบอุ่น งูตัวนั้นฟื้นตัว รู้สึกหิวจึงฉกหน้าอกของชาวนาผู้นั้นโดยไม่ลังเล”
จื๋อหย่าเหงื่อเย็นท่วมตัว แม้นคำพูดของนางมิได้มีเจตนาทำร้ายซ่งชูอีจริงๆ ทว่าพฤติกรรมนั้นเหมือนกับงูพิษไม่มีผิดเพี้ยน
“ที่ข้าเล่านิทานเรื่องนี้ มิได้จะกล่าวโทษจื๋อหย่า” คำพูดของซ่งชูอีอยู่เหนือความคาดหมายของพวกนาง
จากนั้นก็ได้ยินนางพูดต่อ “บางทีพวกเจ้าอาจยังไม่รู้จักข้า ข้าซ่งชูอีไม่เคยเก็บงูพิษมาไว้ในอ้อมอก และข้าก็ไม่เคยฝืนใจผู้ใด หากทุกคนพบและจากกันด้วยดี ข้าก็ไม่รู้สึกเสียใจเลยสักนิด ทว่า ใครที่ลอบกัดข้า ต่อให้ต้องขึ้นสวรรค์ลงนรกข้าก็ไม่มีวันให้เขาได้ลงเอยด้วยดี!
ข้าจะให้โอกาสเพียงครั้งเดียว…แต่พวกเจ้าต้องจำไว้ให้ดี บางครั้งคำพูดเลื่อนลอยหรือความคิดเอาแต่ใจนั้นไม่อาจกู้คืนมาได้อีกตลอดไป ทุกสิ่งที่ข้าเอ่ยไร้คำโป้ปด หวังว่าพวกเจ้าจะจำให้ขึ้นใจ”
เสียงของซ่งชูอีนั้นอบอุ่นยิ่ง แต่กลับแฝงด้วยความอาฆาตเจือจาง ทำให้สองพี่น้องอดไม่ได้ที่จะกลั้นหายใจ “บ่าวจะจดจำไว้ในใจเจ้าค่ะ”
ซ่งชูอีก็ไม่อยากปล่อยเรื่องให้ผ่านไปง่ายๆ เช่นนี้ ทว่าอีกสองวันก็ต้องออกเดินทางไปยังรัฐฉินแล้ว ถ้าหากตัดแขนตัดขาของนางทิ้ง ระหว่างทางก็คงจะไม่สะดวกนัก
สิ้นวาจา นางก็ลุกขึ้นกลับห้องนอนไป
จื่อเฉาถอนหายใจโล่งอก “หย่า นายท่านเป็นคนใจกว้าง ติดตามเขาแม้นห่างไกลจากตอนที่เป็นคุณหนูสูงศักดิ์ แต่ว่าดีกว่าตอนที่พวกเราเร่ร่อนอยู่ข้างนอกอย่างไม่รู้เป็นตายมากนัก”
จื๋อหย่าเม้มปากแน่น นางเกิดมาเป็นหญิงสาวผู้สูงศักดิ์ เกียรติยศฝังอยู่ในกระดูกและเลือด จื่อเฉาก็เช่นกัน เพียงแต่จื่อเฉาสามารถอดกลั้นและปล่อยวางได้ ทว่านางกลับทำไม่ได้
“หย่า ถ้าเจ้าไม่เต็มใจ ข้าก็จะไปกับเจ้า” จื๋อหย่ากุมมือของนาง น้ำเสียงอ่อนโยน
จื๋อหย่าเงยหน้า มองดูจื่อเฉาด้วยดวงตาพร่ามัว “ท่านพี่”
หลังจากที่พวกนางทุกข์ทรมานไม่นาน มารดาก็สิ้นใจอย่างน่าอนาจ และจื่อเฉาก็ล้มป่วยมิได้สติ จื๋อหย่ามีนิสัยเข้มแข็ง กัดฟันยืนหยัดโดยไม่พร่ำบ่น ทว่าสุดท้ายแล้วนางก็ยังเป็นเด็กสาวผู้สูงศักดิ์คนหนึ่งที่ไม่เคยผ่านความลำบากหนักหนาเช่นนี้มาก่อน
“หย่า มีเด็กผู้หญิงมากมายที่มิได้มีสถานะอย่างถูกต้องก็มีชีวิตอยู่ได้มิใช่หรือ?” จื่อเฉาเข้าใจความคิดของจื๋อหย่า สิ่งที่นางหวาดกลัวมิใช่การมีชีวิตอยู่อย่างยากลำบาก หากแต่เป็นเหมือนสิ่งของที่ถูกคนโยนไปส่งมา ครั้นขุนนางคนนี้เล่นจนเบื่อแล้วก็เปลี่ยนมือส่งให้ขุนนางคนนั้น ขณะที่ยังอ่อนเยาว์หน้าตางดงาม อีกทั้งยังสามารถใช้ร่างกายปรนเปรอเจ้านายเพื่อแลกกับอาหารอาภรณ์ได้ ยามแก่ชราผมหงอก จะรู้ได้อย่างไรว่าชีวิตจะน่าสังเวชเพียงใด
พวกนางมิกล้าจินตนาการว่าจะได้รับการอุปถัมป์อันยาวนาน ในโลกนี้มีสาวงามสักกี่นางที่สามารถทำให้บ้านเมือง
ระส่ำระส่ายด้วยรอยยิ้มดังเปาซื่อ? ต่อให้เป็นเปาซื่อ หากต้องเผชิญหน้ากับโจวโยวอ๋องที่มักมากในกาม เกรงว่าก็มิได้มีความเป็นอยู่ที่ดีนัก
สองพี่น้องยิ่งคิดยิ่งปวดใจ กอดกันร้องไห้อยู่ในห้อง
ซ่งชูอีกลับมาถึงห้อง ได้ยินเสียงสะอื้นไห้ดังมาจากข้างๆ ในใจคิดว่าได้ปลดปล่อยสักหน่อยก็ดี พอดีว่าเด็กหนุ่มที่ส่งข่าวเมื่อเช้าโผล่มาอีกครั้ง นางจึงมิได้ใส่ใจสองสาวพี่น้องอีก
“ท่านแม่ทัพส่งบ่าวให้มารับใช้ท่านขอรับ บ่าวมีนามว่าตาน” เด็กหนุ่มคุกเข่าลงตรงหน้าซ่งชูอี
คนรับใช้ส่วนใหญ่จะไม่มีนามที่มีความหมายพิเศษเช่นนี้ “ตาน” หมายถึงความจริงใจที่แท้จริงและชัดเจน เด็กหนุ่มผู้นี้ค่อนข้างมีความสำคัญในใจของหลงกู่ชิ่ง ซ่งชูอีสำรวจเขาอยู่ครู่หนึ่ง “ลุกขึ้นพูดเถิด”
“ขอบคุณนายท่าน” ตานลุกขึ้น หันหน้าหาซ่งชูอีในท่าคุกเข่า ทว่าร่างกายท่อนบนยังคงโค้งคำนับเล็กน้อย
ตานอายุราวๆ สิบหกปี วัดจากสายตาแล้วโครงสร้างก็มิได้ต่างจากซ่งชูอีเท่าไรนัก ท่อนบนสวมเสื้อคลุมกลางเก่ากลางใหม่ธรรมดา หน้าตาหล่อเหลา ผิวพรรณขาวผ่องกว่าคนรับใช้ทั่วไป ผมเผ้าเรียบร้อย สองมือที่โผล่ออกมาด้านนอกถูกความหนาวเหน็บทำให้บวมแดง ทว่ารักษาความสะอาดได้อย่างดีมาก ไร้สิ่งแปดเปื้อนตั้งแต่หัวจรดเท้า ลักษณะของคนรับใช้เช่นนี้ทำให้ซ่งชูอีทึ่งในความสมบูรณ์แบบอย่างแท้จริง
“เจ้าทำงานตรงไหนมาก่อน?” ซ่งชูอีเอ่ยถาม
“บ่าวเป็นเสมียนข้างกายของท่านแม่ทัพ” ตานตอบอย่างน้อบน้อม
มิน่าล่ะ อายุยังน้อยทว่าดูไม่เหมือนคนรับใช้ทั่วไป เสมียนจำต้องเป็นบ่าวที่มาจากครอบครัวใสสะอาด มีไหวพริบความสามารถ รู้อ่านหนังสือ การปรนนิบัติแตกต่างจากคนรับใช้ในบ้านทั่วไป หากจะเรียกว่าเป็นเจ้าหน้าที่ในจวนท่านแม่ทัพก็มิใช่การกล่าวเกินจริง ซ่งชูอีมิอาจรับคนรับใช้เยี่ยงนี้ส่งเดช
นางครุ่นคิดครู่หนึ่ง ลุกขึ้นเอ่ย “ข้าจะไปพบท่านแม่ทัพ เจ้าก็ไปกับข้าเถิด”
“ขอรับ” ตานลุกขึ้นเอ่ย
ซ่งชูอีเดินออกมาจากห้องก็พบว่าสองพี่น้องคู่นั้นยังคงร่ำไห้อยู่ อดไม่ได้ที่จะเกาต้นขาอย่างหงุดหงิด คำรามว่า “ร้องไห้เสีย! ร้องไห้หามารดาเจ้าแล้วมีประโยชน์อันใด! สู้ออมแรงคิดหาวิธีควบคุมบุรุษมิดีกว่ารึ!”
เสียงคำรามที่ไม่มีปี่มีขลุ่ยของซ่งชูอีทำเอาตานสะดุ้งโหยง มองนางอย่างงงงวย จนแม้แต่ลืมกฎระเบียบไปชั่วขณะ ตานเคยพบซ่งชูอีเพียงสองสามครั้ง ในความประทับใจนั้น นางมักจะมีท่าทีผ่อนคลายและยิ้มแย้มแจ่มใสอยู่เสมอ คิดไม่ถึงว่าจะอารมณ์ร้ายถึงเพียงนี้!
ซ่งชูอีทำเป็นมองไม่เห็นสายตาของเขา ก้าวเท้าไปยังลานหลัก
นางไม่มีเจตนาจะปิดบังตาน การมาครั้งนี้ นางคาดว่าหลงกู่ชิ่งจะไม่นำตัวตานกลับไป ฉะนั้นในฐานะคนรับใช้ของนาง จะต้องสามารถปรับตัวให้เข้ากับอารมณ์ของนางได้ถึงจะถูก นางคงไม่สามารถเปลี่ยนแปลงตัวเองเพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่บ่าวรับใช้คนหนึ่งได้ดอก
ซ่งชูอีมาถึงหน้าลานของหลงกู่ชิ่ง ยังไม่ทันปริปาก ก็มีชายชราศีรษะขาวโพลนคนหนึ่งออกมาต้อนรับ “ท่านหวยจิน ท่านแม่ทัพอยู่ในห้องน้ำชา เชิญตามข้ามา”
“เจียเหล่าได้โปรดนำทาง” ซ่งชูอีกล่าวด้วยความเกรงใจ
“ท่านเกรงใจเกินไปแล้ว” ชายชราคำนับคืนพร้อมยิ้มน้อยๆ
ตานอดไม่ได้ที่จะลอบมองซ่งชูอี ลักษณะที่อ่อนโยนของนางในตอนนี้ เมื่อเทียบกับท่าทางดุร้ายที่ก่นด่ามารดาก่อนหน้านี้ราวกับเป็นคนละคน ทว่าความอ่อนโยนนี้ก็มิได้ดูเสแสร้ง
ครั้นถึงหน้าห้องน้ำชา ชายชรารายงานตัวเสียงหนึ่ง “ท่านแม่ทัพ ท่านหวยจินมาแล้วขอรับ”
“เชิญเข้ามาเถิด” หลงกู่ชิ่งกล่าว
ตานรออยู่ที่เฉลียง ซ่งชูอีเข้าไปแล้วก็คารวะหลงกู่ชิ่ง “คารวะท่านแม่ทัพ”
“ฮ่าๆ เชิญนั่ง” หลงกู่ชิ่งผายมือ รอจนซ่งชูอีนั่งลงแล้วก็ถามขึ้น “ท่านเห็นตานแล้วพอใจหรือไม่?”
“คนที่ท่านแม่ทัพเลือกย่อมไม่ด้อยเป็นแน่ ทว่าเช่นนี้ท่านแม่ทัพก็ไร้เสมียนข้างกายมิใช่หรือ?” ซ่งชูอีเอ่ย
หลงกู่ชิ่งทอดถอนใจ “แก่แล้ว ครึ่งปีมานี้ข้าก็มองตัวหนังสือไม่ค่อยชัด อีกทั้งไร้ความอดทนที่จะฟังคนอ่าน เก็บเขาไว้ก็ไร้ประโยชน์ อยู่กับท่านยังจะมีอนาคตเสียกว่า”
………………………….