กุนซือหญิงยอดอัจฉริยะ - บทที่ 64 จิ้งจอกหิมะดุร้ายยิ่งกว่า
ขบวนรถหยุดจอดใต้เนินเขา จี๋อวี่เริ่มสั่งให้คนหาจุดเหมาะสมในการตั้งค่าย เพื่อหยุดพักและรอให้ลมหิมะผ่านไป
เตาไฟถูกตั้งขึ้นในรถม้าสองสามคันนั้น แสงไฟดุจเมล็ดถั่ว
หิมะตกหนัก สภาพอากาศหนาวเย็น ยากยิ่งนักที่จะได้พบเห็นขบวนพ่อค้าใหญ่เพียงนี้ในพื้นที่รกร้าง แววตาของนายพรานที่อยู่ใกล้ๆ ต่างเผยความยินดี ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ชายหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่คนหนึ่งในหมู่พวกเขาจึงลุกขึ้นยืน เดินหดศีรษะฝ่าลมหิมะมาทางนี้
ผู้นั้นเดินเข้ามายังมิถึงสองจั้ง ไม่รอให้ขบวนพ่อค้าดุด่าก็หยุดเดิน เอ่ยด้วยเสียงอันดัง “คุณชายท่านใดคือหัวหน้าขบวน?”
ทุกคนในขบวนพ่อค้าต่างชะงักงัน จี๋อวี่เดินออกมาด้านหน้า เอ่ยขึ้น “มีเรื่องอันใด?”
“คารวะท่าน” หลังจากชายหนุ่มค้อมคำนับจี๋อวี่แล้วก็กล่าวว่า “พวกข้าล่าจิ้งจอกขาวอยู่ที่นี่ คิดไม่ถึงว่าจะเจอกับหมาป่าหิมะ สหายของข้าถูกหมาป่าหิมะกัดจนบาดเจ็บ วิงวอนท่านให้หมอประจำขบวนช่วยชีวิตพวกเขาสองคนด้วย ข้าจะตอบแทนด้วยจิ้งจอกขาวตัวหนึ่ง”
ขบวนพ่อค้านั้นเดินทางไกลด้วยความยากลำบาก โดยมากแล้วจะมีหมอติดตามมาด้วย แม้นไม่มีหมอก็จะมีผู้ที่รู้วิชาแพทย์อยู่บ้าง ยาสมุนไพรก็มิขาดแคลน
อวัยวะภายในของจิ้งจอกขาวนั้นสามารถทำเป็นยาได้ อย่างไรก็ดีขนของมันค่อนข้างหายาก พวกมันปราดเปรียวว่องไว หาตัวจับยากยิ่ง แม้นจับได้ก็มิใช่วัยเด็กหากแต่แก่ชราแล้ว ขนจิ้งจอกย่อมมีความเสียหายอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ฉะนั้นบางคราวขนของจิ้งจอกขาวที่โตเต็มวัยจึงนับเป็นงานศิลปะชั้นอดุลที่มีมูลค่านับพันทองคำ ทว่าแม้ราคาสูงความต้องการในตลาดกลับมีน้อย
ชายหนุ่มเห็นจี๋อวี่แสดงอาการอยากได้ ก็รีบกวักมือไปทางกองไฟ
นายพรานอีกคนหนึ่งหิ้วถุงวิ่งมาทางนี้อย่างรวดเร็ว
ชายหนุ่มรับถุงนั้น ยื่นมือดึงจิ้งจอกขาวที่ยังเคลื่อนไหวอยู่ข้างในออกมา เดินไปข้างหน้า สองมือยื่นให้จี๋อวี่
ดูคล้ายเป็นจิ้งจอกหิมะตัวน้อยที่ยังมิโตเต็มวัย ขนาดเพียงประมาณสองฝ่ามือ ภายใต้แสงที่สะท้อนอ่อนๆ จากพื้นหิมะ สามารถมองเห็นได้ว่าสี่ขาของเจ้าปุกปุยนี้ถูกผ้ามัดไว้ เนื้อตัวสั่นเทา ปากยังร้องครางเสียงต่ำ ได้ยินแล้วน่าสงสารจับใจ
“นี่มันตัวอะไร?” หลงกู่ปู้วั่งทนอยู่ในรถไม่ไหว ลงมายืดเส้นยืดสาย เมื่อเห็นเจ้าตัวน้อยนี้จึงใช้มือลูบคลำด้วยความอยากรู้อยากเห็น
ชายหนุ่มเห็นว่าหลงกู่ปู้วั่งแต่งตัวหรูหรา รีบตอบทันควัน “คุณชาย นี่คือจิ้งจอกหิมะ ไว้เลี้ยงจนโตอีกหน่อย ขนของมันสามารถแลกเปลี่ยนทองคำได้”
“ข้าเอาตัวนี้ นาย…พี่ใหญ่จี๋ จ่ายเงินเถิด” หลงกู้ปู้วั่งรับจิ้งจอกหิมะมาแล้ว
สกุลหลงกู่เป็นเศรษฐีในรัฐเว่ย์ หลงกู่ปู้วั่งถือช้อนเงินช้อนทองตั้งแต่เด็ก ใช้จ่ายอู้ฟู่ฟุ่มเฟือย เขามีหนังจิ้งจอกหิมะสองผืนแล้ว ทว่ายังมิเคยเห็นจิ้งจอกหิมะตัวเป็นๆ อดไม่ได้ที่จะพึมพำเอ่ย “ข้านึกว่าจะเป็นสัตว์ป่าดุร้ายเสียอีก คิดไม่ถึงว่าไม่ต่างจากลูกสุนัข”
จี๋อวี่ส่ายหน้าอย่างเหนื่อยหน่าย สั่งให้คนไปเชิญท่านหมอ
“ขอบคุณท่าน ขอบคุณคุณชาย” ชายหนุ่มยินดียิ่ง
จี๋อวี่สำรวจเขาอย่างละเอียดภายใต้แสงไฟอ่อนๆ หนวดเคราเฟิ้มบนใบหน้านั้นราวกับวัชพืช สามารถเห็นได้เพียงคิ้วรูปดาบดกดำเท่านั้น ดวงตาทั้งคู่เปี่ยมด้วยชีวิตชีวา ร่างกายกำยำแข็งแกร่งซึ่งหาได้ยากยิ่ง ชื่นชมอยู่ในใจ ประสานมือเอ่ย “ชายหนุ่มผู้รักพวกพ้องเช่นท่านหายากยิ่งนัก มิทราบท่านมีนามว่ากระไร? เป็นบัณฑิตแห่งรัฐไหน?”
“มิบังอาจ” ชายหนุ่มคำนับกลับทันที เขาเห็นว่าบัดนี้จี๋อวี่ได้ส่งคนไปเชิญท่านหมอแล้วจึงวางใจลงมาบ้าง ตอบว่า “ข้ามีนามว่าฉือจวี้ เดิมเป็นชาวฉู่ บัดนี้ทุกที่คือบ้าน อาศัยการล่าสัตว์เพื่อยังชีพ”
สิ้นวาจาของเขา พลันได้ยินเสียงหัวเราะดังมาจากในรถม้า จากนั้นเสียงหนึ่งก็ดังขึ้น “ท่านล่าสัตว์เพื่อยังชีพมานานแค่ไหนแล้ว?”
ฉือจวี้ได้ยินว่าเสียงนี้อ่อนเยาว์ยิ่ง ทว่าในใจคิดว่าในเมื่ออีกฝ่ายนั่งอยู่ในรถม้า เกรงว่าก็เป็นผู้สูงศักดิ์ จึงตอบตามความจริง “เพียงครึ่งปี”
“มิน่าเล่า” ซ่งชูอีที่นั่งอยู่ในรถ ลูบเจ้าขนปุยสีขาวบนเตียง กล่าวพึมพำ
“อาจารย์กล่าวเช่นนี้หมายความว่าเยี่ยงไร?” หลงกู่ปู้ชิ่งเอ่ยถาม
ซ่งชูอียิ้มเอ่ย “นี่มิใช่จิ้งจอกหิมะ…”
“ว่าไงนะ?” หลงกู่ปู้วั่งลุกขึ้นพรวด สีหน้าโมโห ดูท่าทางแล้วต้องการจะพุ่งออกไปหาคนคิดบัญชีด้วย
หลงกู่ปู้วั่งซื้อสิ่งนี้ให้ซ่งชูอีเพื่อเป็นของคารวะอาจารย์ ผลสุดท้ายกลับมิใช่จิ้งจอกหิมะ เขาเคยขายหน้าเช่นนี้ที่ไหนกัน
ซ่งชูอีรีบปรามเขาไว้ “ใจเย็น! นี่คือหมาป่าหิมะ เลี้ยงจนโตแล้วก็ไม่ต่างจากจิ้งจอกหิมะเท่าไร”
“หมาป่าหิมะ?” หลงกู่ปู้วั่งนิ่งไปครู่หนึ่ง หิ้วเจ้าตัวน้อยที่กำลังสั่นเทาขึ้นมามองอยู่สักพัก จู่ๆ ก็หัวเราะเอ่ย “ข้าก็คิดแล้วเชียวว่าไฉนสิ่งนี้ถึงคล้ายสุนัขนัก ดูไม่มีเกียรติเลยแม้แต่น้อย”
ซ่งชูอีกำลังจะชมเขา ก็ได้ยินเขากล่าวต่อ “จิ้งจอกขาวจะต้องดุร้ายกว่าเป็นแน่”
ทุกคนที่อยู่ข้างนอกหลุดขำ จี๋อวี่ไอแห้งๆ สองที ผายมือให้ฉือจวี้ตามท่านหมอไป
หน้าผากของซ่งชูอีมีเหงื่อเย็นซึมอยู่สองสามหยด “ปู้วั่งเอ๋ย นี่คือลูกหมาป่าหิมะ”
หมาป่าตัวเต็มวัยมีลำตัวยาวกว่าครึ่งจั้ง มีรูปร่างใหญ่ ใหญ่กว่าหมาป่าที่มีอยู่ในภูเขาหลายเท่านัก ดุร้ายผิดปกติ อีกทั้งมีความอดทนสูง ทุกครั้งที่ล่าเหยื่อมันสามารถวิ่งได้ไกลถึงสี่ร้อยลี้ สัตว์ส่วนใหญ่ไม่ถูกพวกมันกัดตายก็หนีจนเหนื่อยตาย
ห้าคนนี้เกรงว่าเคยถูกหมาป่าหิมะโจมตีเพียงครั้งคราว อีกทั้งประสบการณ์พวกเขายังน้อยนัก เห็นลูกหมาป่าหิมะเป็นจิ้งจอกขาวจึงจับไว้เสียแล้ว แม่หมาป่าไม่ยอมรามือแน่
“จี๋อวี่!” ซ่งชูอีเพิ่มระดับเสียง
“ขอรับ ท่านมีเรื่องใด?” จี๋อวี่รีบเดินไปด้านข้างรถม้า
“สังเกตความเคลื่อนไหวรอบข้าง ป้องกันการโจมตีของหมาป่าหิมะ” ซ่งชูอีเอ่ย
“รับทราบ!” คำพูดสั้นๆ กลับทำให้จี๋อวี่รู้สึกตื่นตระหนก การได้เจอกับหมาป่าหิมะท่ามกลางคืนหิมะตกนั้นน่ากลัวว่าการได้เจอฝูงหมาป่าธรรมดาเสียอีก พวกมันมีร่างกายขาวบริสุทธิ์ไม่ต่างจากหิมะ ย่องเดินแผ่วเบาไร้เสียงลมหายใจ ถ้าหากไม่ระวังตัวให้ดี ไม่แน่ว่าร้อยกว่าชีวิตนี้ก็ยังไม่พอให้พวกมันกัดทึ้ง
ซ่งชูอีมองดูเจ้าก้อนกลมที่อยู่บนเตียงแล้วยิ้มอย่างจนใจ ชาตินี้นางนับว่ามีวาสนากับหมาป่ายิ่ง ออกเดินทางก็เจอหมาป่า!
ครั้นนึกถึงหมาป่าคราวก่อน ซ่งชูอีก็นึกถึงเจ้าอี่โหลว
ชาติที่แล้วคนที่ตายอยู่ตรงหน้าซ่งชูอีนั้นเหลือคณานับ แม้แต่คนที่นางจำได้ก็มีน้อยเหลือเกิน หากกล่าวว่านางชอบผู้ชายหน้าตาดี ชาติที่แล้วนางก็เคยเจอชายรูปงามที่สิ้นใจตั้งแต่วัยเยาว์ไม่น้อย ทว่ามิได้อยู่ในความทรงจำส่วนลึกเลย อย่างไรก็ดีครานี้นางต้องยอมรับว่าคาใจกับการตายของเจ้าอี่โหลวมาก
เหตุผลนั้นง่ายมาก ซ่งชูอีเข้าใจเป็นอย่างดี นางเป็นนักวางแผน ต่างฝ่ายต่างหลอกต้มซึ่งกันและกัน จริงใจหรือโป้ปดยากที่จะแยกแยะ ทว่าในขณะที่นางประสบกับความล้มเหลวที่น่าอับอายและเจ็บปวดที่สุดในชีวิต ทันทีที่ลืมตา คนแรกที่นางเห็นก็คือเจ้าอี่โหลวผู้ที่ระแวดระแวงตัวยิ่ง ทว่ากลับไว้เนื้อเชื่อใจนางอย่างง่ายดาย นางเข้าใจดีว่ามันยากที่จะมีมิตรภาพใสซื่อเช่นนั้นในอนาคตอีกแล้ว
ซ่งชูอีเสียใจที่มิได้ปฏิบัติต่อเขาด้วยความจริงใจ แต่ว่าหากย้อนเวลากลับไปได้ นางก็ยากที่จะทำได้
“อาจารย์! อาจารย์!” หลงกู่ปู้วั่งพูดคนเดียวอยู่เนิ่นนาน กลับเห็นซ่งชูอีกำลังเหม่อลอย อดไม่ได้ที่จะตะโกนสองสามคำ
ซ่งชูอีดึงสติกลับมา ได้ยินหมาป่าหิมะที่อยู่บนเตียงร้องคราง ค่อยๆ เขยิบเข้ามุมทีละน้อย สุดท้ายก็ขดตัวเป็นลูกกลมเล็กๆ ตรงมุมกำแพงรถ
“เจ้าสิ่งนี้มันร้ายกาจจริงหรือ?” หลงกู่ปู้วั่งมองดูท่าทางเงอะงะของหมาป่าหิมะ เอ่ยถามอย่างเหลือเชื่อ
“ข้าคิดว่าหมาป่าตัวนี้อายุยังมิถึงสองเดือน เกรงว่ายังไม่หย่านมด้วยซ้ำ เจ้ามองเด็กคนหนึ่งแล้วสามารถบอกได้หรือว่าเขามีลักษณะของท่านแม่ทัพผู้เกรียงไกรในภายภาคหน้า?” ซ่งชูอีกล่าว
หลงกู่ปู้วั่งประสานมือเอ่ย “ปู้วั่งน้อมรับคำสอน”
ซ่งชูอีแค่พูดจาที่ฟังดูมีเหตุผลส่งเดชเท่านั้น ทว่าในปัจจุบัน การเคารพครูบาอาจารย์คือตัวบ่งชี้สำคัญในการวัดคุณธรรมของบัณฑิตคนหนึ่ง หนึ่งวันในฐานะอาจารย์ก็เปรียบเสมือนบิดา…มารดา ลูกศิษย์สามารถหักล้างทฤษฎีคำสอนได้ ทว่าไม่อาจไม่เชื่อฟังอาจารย์
“จี้ฮ่วน” ซ่งชูอีพิงหน้าต่างเรียก
“ขอรับ ท่าน” จี้ฮ่วนเข้าใกล้รอฟังคำสั่ง
ซ่งชูอีกล่าว “สั่งให้คนเรียกชายหนุ่มเมื่อครู่มา”
“รับทราบ!” จี้ฮ่วนตอบรับ พลันสั่งให้อวิ่นรั่วไปเรียกคน
เพียงครู่หนึ่ง ซ่งชูอีก็ได้ยินเสียงของฉือจวี้ “ท่านเรียกข้ามามีสิ่งใดจะสั่ง?”
ฉือจวี้คิดว่าผู้ที่อยู่ภายในรถก็เป็นคุณชายสูงส่งเช่นกัน เขาได้ยินพวกอวิ่นรั่วต่างเรียกว่าท่าน จึงเรียกตามด้วย
“ท่านถูกหมาป่าหิมะโตเต็มวัยโจมตีรึ? รบกวนเล่าสถานการณ์ให้ละเอียดด้วย” ซ่งชูอีเอ่ย
ฉือจวี้นึกว่าซ่งชูอีไม่เชื่อเขา รู้สึกถูกดูแคลนอยู่ในใจ ทว่าครั้นย้อนนึกดูแล้ว เมื่อครู่นายท่านผู้นั้นก็สั่งให้ลูกน้องระวังการโจมตีจากหมาป่าหิมะ ไม่เหมือนมีท่าทีไม่เชื่อ ฉะนั้นจึงข่มอารมณ์ไว้ชั่วคราว เอ่ยขึ้น “เมื่อสองเดือนก่อนพวกข้าจับสุนัขจิ้งจอกขาวมาได้ตัวหนึ่ง นำไปขายที่ผูหยางได้เงินก้อนใหญ่ ข้าเห็นว่าตัวนั้นมันเป็นเพียงลูกสุนัขจิ้งจอก หลังจากหารือกับเหล่าสหายแล้วก็จะลองดูอีกครั้งเพื่อจับตัวใหญ่ เพื่อยังชีพไปได้อีกปีสองปี พวกข้าเสาะหาอยู่ราวๆ ครึ่งเดือน ในที่สุดก็พบรอยเท้าของสุนัขจิ้งจอก…”
พวกเขาทั้งหลายปรีดายิ่ง จึงตามรอยเท้าของสุนัขจิ้งจอกไป ผลสุดท้ายก็พบ “จิ้งจอกขาว” ตัวหนึ่งในรอยหินร้าว แต่ที่น่าแปลกคือการเคลื่อนไหวของจิ้งจอกขาวตัวนี้ไม่ได้รวดเร็วปานสายฟ้าดังตัวแรก แต่กลับเชื่องซึมและเคลื่อนไหวเชื่องช้าเป็นอย่างมาก
แต่ละคนเป็นนายพรานได้ไม่นาน ลักษณะของหมาป่าหิมะมีส่วนคล้ายสุนัขจิ้งจอกที่โตเต็มวัยอยู่บ้าง พวกเขามิอาจแยกแยะได้ในยามโพล้เพล้ และด้วยความกลัวว่า “จิ้งจอกขาว” จะหลุดมือ จึงรีบจับมันยัดใส่ถุงแล้ว ปรากฏว่าเดินไปไม่ถึงสามสี่สิบจั้ง ก็ถูกหมาป่าหิมะตัวใหญ่โจมตี
“เคราะห์ดีที่หมาป่าตัวนั้นคล้ายบาดเจ็บสาหัสอยู่ก่อนแล้ว พวกเราจึงเอาตัวรอดมาได้” ฉือจวี้กล่าว
ซ่งชูอีวิเคราะห์คำพูดของเขาอย่างละเอียด ในใจรู้ดีว่านี่คือความจริง หากหมาป่าตัวนั้นมิได้บาดเจ็บและพละกำลังลดลงยิ่งยวดแล้ว ต่อให้พวกเขาห้าคนกล้าหาญสักเพียงใดก็เกรงว่ายากจะต้านทาน
“วู้…”
ในขณะนี้ เสียงหอนอันเศร้าโศกลอยมาพร้อมกับสายลมหวีดหวิว
เจ้าขนปุกปุยที่มุมรถโผล่หัวออกมาทันควัน ร้องวู้ๆ อยู่สองที อุ้งเท้าตะกุยผนังไม่หยุด เมื่อพบกว่าออกไปไม่ได้ เสียงร้องวู้ๆ จึงค่อยๆ กลายเป็นเสียงคล้ายเด็กร้องไห้
“จี้ฮ่วน บอกจี๋อวี่ หากหมาป่าหิมะเข้ามา ห้ามลงมือกับมันก่อน” ซ่งชูอีกล่าว
ตั้งแต่ทำงานกับซ่งชูอีคราวก่อน จี้ฮ่วนเลื่อมใสในตัวนางอย่างสุดซึ้ง ด้วยเหตุนี้แม้นได้รับคำสั่งที่ไร้เหตุผลเช่นนี้ เขาก็ไม่เคยมีความสงสัยแม้แต่น้อย
“เหตุใดเล่าอาจารย์ ต่อให้พวกเราไม่ฆ่าสัตว์เดียรัจฉานนี้ มันก็จะทำร้ายพวกเรา! อาจารย์ห้ามใจอ่อนเป็นอันขาด” หลงกู่ปู้วั่งเอ่ยด้วยความร้อนรน
“เจ้ารู้แล้วรึ?” ซ่งชูอียิ้มเอ่ย
แม้นหลงกู่ปู้วั่งจะแยกสุนัขจิ้งจอกกับหมาป่าไม่ออก ทว่าอย่างน้อยก็เข้าใจถึงอันตรายจากสัตว์ร้าย
“หมาป่าหิมะ!” มีเสียงกระซิบจากข้างนอก
ซ่งชูอีอุ้มเจ้าปุกปุยที่กำลังตะกายผนังขึ้นมา กอดไว้ในอ้อมอก ครั้นลงจากรถก็เห็นหมาป่าหิมะตัวมหึมาในแอ่งเลือดกำลังเดินเข้ามาช้าๆ ท่ามกลางหมอกหิมะ
หลงกู่ปู้วั่งเบิกตากว้าง มองดูหมาป่าแข็งแรงตัวนั้น ขนสีขาวยุ่งเหยิงเล็กน้อยในสายลมบ้าคลั่ง ในความสง่างามนั้นเจือปนความดุร้ายที่พร้อมระเบิดการโจมตีได้ทุกเมื่อ งดงามกว่าหมาป่าหิมะในจินตนการของเขามากนัก
“ห้ามยิงธนู” ซ่งชูอีเดินไปยังหมาป่าตัวนั้น
จี๋อวี่ดึงตัวนาง รีบร้อนจนพูดจาไม่ถูก “ท่านบ้าไปแล้วรึ!”
…………………………………