กุนซือหญิงยอดอัจฉริยะ - บทที่ 65 ขงจื้อก็สอนได้
“ท่านคิดว่าเยี่ยงไรเล่า?” ซ่งชูอีมองเขาโดยตรง
ดวงตาคู่นั้นที่จี๋อวี่เห็นแจ่มชัดราวหิมะ มิอาจสงบนิ่งไปกว่านี้อีกแล้ว เขาปล่อยมือ สั่งให้คนโดยรอบเตรียมธนู พร้อมยิงหมาป่าหิมะได้ทุกเมื่อ
แม่หมาป่าได้กลิ่นลูกแล้ว จ้องมองซ่งชูอีตั้งท่าเตรียมพร้อม รูปร่างของมันใหญ่โต ราวกับว่าก้าวกระโดดเพียงไม่กี่ครั้งก็สามารถพุ่งมาอยู่ตรงหน้าซ่งชูอีได้
ในวันที่หิมะและน้ำแข็งได้แผ่คลุมไปทั่ว มือทุกคนที่ง้างคันศรกลับเริ่มมีเหงื่อซึม
ซ่งชูอีเดินไปข้างหน้าสองสามก้าว ครั้นอยู่ห่างจากแม่หมาป่านั้นสามถึงสี่จั้ง ก็นำเจ้าปุกปุยที่อยู่ในอ้อมอกวางลงบนพื้น
เจ้าลูกกลมๆ ขยับตัว ลุกขึ้นทันใดและวิ่งไปยังทิศทางของแม่หมาป่าบนชั้นหิมะหนา
แม่หมาป่าฉลาดมาก เมื่อเห็นว่าบัดนี้ซ่งชูอีปล่อยลูกหมาป่าหิมะแล้วก็ไม่ได้เข้ามาใกล้อีก แต่กลับหมอบอยู่ที่เดิมรอมันวิ่งเข้ามา
เจ้าขนปุยเปื้อนหิมะไปทั้งตัว กระโดดโหยงเหยงอยู่ตรงหน้าแม่หมาป่าอย่างมีความสุข ไม่หดตัวด้วยความหวาดกลัวเหมือนเมื่อครู่เลยแม้แต่น้อย
แม่หมาป่าก้มลงเลียลูกของตัวเองด้วยความอ่อนโยน ใช้หัวดุนๆ มัน
ลูกหมาป่าหิมะไม่ได้กินอะไรมาทั้งวัน แม่หมาป่าคาบมันมาไว้ที่หน้าท้องของตัวเอง ลูกหมาป่าก้มหัวหาจุดที่เหมาะสมแล้วเริ่มดูดนม
“วู้…”
ท่ามกลางพายุหิมะอันบ้าคลั่ง แม่หมาป่าเงยหน้าส่งเสียงหอนโศกเศร้ายาวนาน จากนั้นก็ล้มตึงลงบนพื้นหิมะ
“อาจารย์ หมาป่าหิมะตัวนี้…ตายแล้ว?” หลงกู่ปู้วั่งเอ่ยถามทำลายความเงียบ
ซ่งชูอีพยักหน้า โบกมือส่งสัญญาณให้ทุกคนลดคันศรลง
ทันทีที่ทุกคนเห็นว่าหน้าอกของหมาป่าหิมะไม่กระเพื่อมอีกแล้ว ก็ทยอยลดคันศรลง
ลูกหมาป่าหิมะกินอิ่มแล้วก็ปีนออกมาจากอ้อมอกของแม่หมาป่า ดุนๆ หัวของแม่ราวกับกำลังถามว่ากลับบ้านได้หรือยัง ทว่าผ่านไปครู่ใหญ่ก็ไม่ได้รับการตอบรับจากแม่ มันกัดขาหน้าของแม่แล้วลากอย่างแรง
ทำเช่นนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ลูกหมาป่าคล้ายตระหนักได้ว่าบางอย่างผิดปกติแล้ว มันปีนขึ้นไปบนหลังแม่อย่างไม่เต็มใจ ปากงับคอของแม่หมาป่า ออกแรงลากไปข้างหลัง
กิริยาเช่นนี้คล้ายกำลังกัดทึ้ง ทว่าความจริงแล้วผู้ที่คุ้นเคยกับสัตว์ประเภทนี้จะเข้าใจเป็นอย่างดี ว่านี่คือลักษณะที่แม่หมาป่าคาบลูกของมัน เจ้าตัวน้อยนี้คงนึกว่าทำแบบนี้แล้วจะสามารถพาแม่ออกไปจากที่นี่ได้ “เอ๋งๆ” ลูกหมาป่าส่งเสียงน้อยใจ ลงมาจากหลังของแม่หมาป่า มุดเข้าไปใต้ท้องของมัน จากนั้นก็ไม่มีการเคลื่อนไหวอีก
“ช่างเป็นเด็กโง่จริงๆ” ซ่งชูอีถอนหายใจ เอ่ยขึ้น “ปู้วั่ง ในขบวนรถมีนมแพะหรือเนื้อแห้งหรือไม่?”
“มีทุกอย่าง” หลงกู่ปู้วั่งตอบ “ข้าจะไปเอาบางส่วนมา”
จี้ฮ่วนพาสองสามคนเข้าใกล้หมาป่าหิมะ เอื้อมมือลูบๆ ขนของมัน เอ่ยว่า “สมกับเป็นหมาป่าหิมะโดยแท้ ขนนี้ลื่นมือยิ่งนัก จะต้องขายได้ราคาดีเป็นแน่”
“รอครึ่งชั่วยามแล้วฝังหมาป่าตัวนี้เสีย ตอนนี้ใครก็ห้ามแตะต้องมัน” ซ่งชูอีกล่าว
“เพราะเหตุใด?” จี้ฮ่วนถามด้วยความประหลาดใจ
“อาหารในขบวนรถไม่พอให้เจ้าได้กินดื่มหรือ?” ซ่งชูอีตอบไม่ตรงคำถาม
ไม่ว่าขนหมาป่านี้จะขายได้ราคาเท่าใดก็เป็นของนายท่านในขบวนรถเท่านั้น ควรจัดการหมาป่าตัวนี้เยี่ยงไร คำโต้เถียงของเขาไร้ความหมาย “ข้าน้อยมากเรื่องเอง”
ซ่งชูอีตบๆ ไหล่ของเขา กลับขึ้นรถไป โน้มตัวหาอ่างฟืนผิงไฟครู่หนึ่งก็ได้ยินเสียงเคาะประตูรถดังขึ้น
“เข้ามา” ซ่งชูอีนั่งตัวตรง
ประตูรถเปิดออก หลงกู่ปู้วั่งถือสัมภาระสองใบมุดศีรษะเข้ามา “อาจารย์ ข้าเอาเนื้อดองกับนมแพะมาแล้ว แล้วก็ตำราสองสามเล่ม”
“มีตำราใดบ้าง” ซ่งชูอีเอ่ยถาม
“‘จวงจื่อ’ ‘ภาษาจีน’ อาจารย์ชอบอ่านเล่มใด?” หลงกู่ปู้วั่งนำห่อสมุดไม้ไผ่วางไว้บนโต๊ะตัวเตี้ย
ในเมื่อก็ว่างมิได้ทำกระไร ซ่งชูอีจึงเริ่มเปิดห่อผ้าและหยิบ ‘ภาษาจีน’ ออกมาสองสามม้วน
“ข้านึกว่าอาจารย์จะอ่าน ‘จวงจื่อ’ เสียอีก” หลงกู่ปู้วั่งเอ่ย
ซ่งชูอียิ้มน้อยๆ เอื้อมมือลูบคลำ ‘จวงจื่อ’ ม้วนแรก คำกล่าวของอาจารย์ดังก้องอยู่ในหู จดจำทุกถ้อยคำได้อย่างชัดเจน หนังสือเล่มนี้ก็คุ้นเคยอยู่ในใจ สามารถจำได้โดยไม่ตกหล่นแม้แต่ตัวเดียว ใยจึงต้องอ่านอีกเล่า? คล้ายกับเพิ่งฝนหมึกให้อาจารย์เมื่อวานนี้เอง บัดนี้กลับประสบกับความผันผวน ทุกอย่างแปรเปลี่ยนตามกาลเวลาไปแล้ว
การเปลี่ยนแปลงแบบกลับตาลปัตรก็เกิดขึ้นเพียงพริบตาเท่านั้น!
“อาจารย์?” หลงกู่ปู้วั่งเรียกเสียงหนึ่ง
“อืม” ซ่งชูอีเห็นว่ารอยสนด้ายบนม้วนไม้ไผ่ของ ‘จวงจื่อ’ บัดนี้ชำรุดแล้ว เอ่ยถาม “เหตุใดจึงชอบอ่าน ‘จวงจื่อ’?”
หลงกู่ปู้วั่งตอบ “ความอิสระเสรีของจวงจื่อชวนให้ผู้คนมีจิตปรารถนา แม้นข้าจะไม่เห็นด้วยกับคำสอนบางอย่าง ทว่าข้าชอบ ‘อิสรจร’ ยังมี ‘ผู้เฒ่าหาปลา’ ‘มหาโจรจื๋อ’ และความเรียงอื่นๆ ข้าล้วนชอบ”
จินตนาการของจวงจื่อนั้นลึกล้ำ วิธีการเขียนไม่ซับซ้อนและสามารถพลิกแพลงได้ น่าสนใจกว่าคำพูดน่าเบื่อทั่วไป ไม่ต้องกล่าวถึงว่าเหล่าบัณฑิตเคารพในคำพูดของเขาหรือไม่ ลำพังความงดงามและอิสระของ ‘อิสรจร’ เพียงอย่างเดียวก็สามารถทำให้ผู้คนจำนวนมากหลงใหลแล้ว ผู้ที่ชื่นชอบ ‘จวงจื่อ’ นั้นมีไม่น้อยเลย
“อาจารย์ชอบความเรียงใด?” หลงกู่ปู้วั่งเอ่ยถาม
“‘ปรมาจารย์ผู้ยิ่งใหญ่’” ซ่งชูอีตอบ
หลงกู่ปู้วั่งขมวดคิ้ว แสดงความไม่ชอบของตัวเองออกมาอย่างนุ่มนวล “ข้าก็เคยอ่านบทนี้ แต่กลับรู้สึกยากจะจับต้อง อีกทั้งไม่เข้าใจความหมายที่อยู่ภายใน”
“วันหน้าพบพานโลกมากขึ้นแล้ว เจ้าก็จะเข้าใจประโยชน์ของมัน” ซ่งชูอีเอ่ย
หลงกู่ปู้วั่งพยักหน้า พลันถามด้วยความสนใจ “อาจารย์ทราบได้เยี่ยงไรว่าหมาป่าหิมะตัวนั้นจะตายแล้ว?”
ซ่งชูอีเพิ่งจะพลิกเปิดสมุดไม้ไผ่ก็หยุดชะงัก เอ่ยขึ้น “หมาป่าเป็นสัตว์ที่อยู่กันเป็นฝูงและจงรักภักดี พวกมันเกาะกลุ่มกันอยู่เสมอ มีหมาป่าโดดเดี่ยวเป็นครั้งคราวเท่านั้น ข้าคิดอยู่เสมอว่าพวกมันฉลาดมาก หากแม่หมาป่าตัวนี้ยังมีพลังต่อสู้หลงเหลืออยู่ ก็คงไม่เห่าหอนแสดงความอ่อนแอและเข้าหาจากด้านหน้า อีกทั้งมันมั่นใจว่าลูกหมาป่ายังไม่ตาย แสดงว่ามันสะกดรอยตามนายพรานมาโดยตลอด”
การที่หมาป่าตัวเต็มวัยต่อกรกับคนห้าคนนั้นมิใช่ปัญหาเลย ยิ่งไปกว่านั้นบัดนี้มีสองคนที่ถูกมันกัดจนบาดเจ็บ ทว่ามันกลับสะกดรอยตามตลอดแต่ไม่โจมตี นี่ก็แสดงให้เห็นว่ากำลังของมันไม่เพียงพอที่จะจัดการกับสามคนที่เหลือ กำลังที่อ่อนแอเช่นนี้ เว้นแต่ว่ามันจะใกล้จะตายเท่านั้น
หมาป่าหิมะอ่อนแอส่วนใหญ่เพียงต้องการเจอลูกของตัวเอง
หากเจอกับคนที่ไม่เข้าใจจุดประสงค์ของมัน เกรงว่ามันก็จะถูกฆ่าตายทันทีที่ปรากฏตัวแล้ว
“เช่นนี้คิดดูแล้วก็ไม่ใคร่ฉลาดนัก!” หลงกู่ปู้วั่งเอ่ย
“นี่ไม่เกี่ยวกับความฉลาด หากนี่เป็นทางเลือกเดียวยามเข้าตาจน” ซ่งชูอีกล่าวด้วยความประทับใจเล็กน้อย ในเมื่อบัดนี้ก็ใกล้ตายแล้ว ไร้กำลังขัดขืน สู้เดินไปตายข้างลูกของตัวเองมิดีกว่าหรือ
ซ่งชูอีมิได้มีเพียงความเมตตาต่อหมาป่าหิมะ นางคิดที่จะเลี้ยงลูกหมาป่าหิมะตัวนั้น
หมาป่าหิมะมีจิตวิญญาณยิ่ง อีกทั้งเป็นสัตว์ที่รู้จักตอบแทนบุญคุณ หากได้รับความภักดีจากหมาป่าหิมะสักตัวแล้วก็จะได้รับความภักดีจากมันชั่วชีวิต ซึ่งมนุษย์มิอาจเทียบได้ในจุดนี้และเป็นจุดที่ดึงดูดซ่งชูอีเช่นกัน
แม้นมิอาจล่วงรู้ว่าทำแบบนี้จะได้ประโยชน์หรือไม่ ทว่าอย่างน้อยซ่งชูอีก็คิดว่าดีกว่าไม่ได้ทำกระไรเลย
พอดีว่าว่าง ซ่งชูอีจึงวิเคราะห์ ‘จวงจื่อ’ ให้หลงกู่ปู้วั่งฟังโดยละเอียด
ซ่งชูอีสอดมือเข้าไปในแขนเสื้อ หลับตาลง บรรยายเนื้อหาของ ‘จวงจื่อ’ คำอธิบายกระชับและชัดเจน ยกตัวอย่างประกอบเป็นครั้งคราว เริ่มแรกหลงกู่ปู้วั่งง่วนกับการพลิกสมุดไม้ไผ่ตาม จากนั้นก็ค่อยๆ ถูกนางดึงดูดความสนใจ โยนตำราไปอีกทางหนึ่ง ตั้งอกตั้งใจฟัง
หลงกู่ปู้วั่งยิ่งฟังก็ยิ่งรู้สึกประหลาดในใจ ซ่งชูอีราวกับเป็นชั้นหนังสือที่มีชีวิต ความเรียงที่กล่าวออกมานั้นไม่ตกหล่นแม้แต่คำเดียว ตัวอย่างและคำอธิบายล้วนอ้างอิงตามคัมภีร์ อีกทั้งบางคราตำราที่อ้างอิงมิได้มีเพียงคำสอนของสำนักเต๋าเพียงอย่างเดียว บางคราวเป็นสำนักขงจื้อ บางคราวเป็นสำนักม่อ บางคราวก็เป็นสำนักนิติธรรม…
หลงกู่ปู้วั่งก็เคยอ่านคำสอนเหล่านี้ เป็นธรรมดาที่ย่อมฟังออกว่านางใช้คำแทบทั้งหมดได้อย่างถูกต้อง
รอจนซ่งชูอีกล่าวจบรอบหนึ่ง หลงกู่ปู้วั่งก็กุลีกุจอรินน้ำชาให้นาง “อาจารย์ ท่านอายุยังน้อยเช่นนี้ แต่กลับรอบรู้ยิ่ง…คิดว่าคงลงแรงลับหลังผู้อื่นไม่น้อยกระมัง”
หลงกู่ปู้วั่งหมายถึง “ทฤษฎีพรสวรรค์” ที่ซ่งชูอีเอ่ยถึงคราวก่อน
ซ่งชูอีมองเขาเอ่ย “ข้ายังสามารถสอนขงจื้อได้ เพียงแต่ผู้ที่รุ่นราวคราวเดียวกับข้า ต่อให้แอบลงแรงก็ไม่จำเป็นว่าจะรู้มากกว่าข้า นี่แสดงให้เห็นว่าพรสวรรค์ก็มีแบ่งสูงต่ำเช่นกัน”
ครั้นนางกล่าวว่า “ผู้ที่รุ่นราวคราวเดียว” ก็ลอบมองหลงกู่ปู้วั่งโดยมีนัยยะแอบแฝง
‘คิดจะเล่นลิ้นกับข้า ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะตายเยี่ยงไร’ ซ่งชูอีสบถในใจ แต่ใบหน้ากลับเปี่ยมด้วยรอยยิ้มอบอุ่น
จี้ฮ่วนเอ่ยขึ้นภายนอกรถ “ท่าน เกือบจะครึ่งชั่วยามแล้ว จะฝังหมาป่าตัวนั้นไว้ที่ใด? จะจัดการกับลูกหมาป่าเยี่ยงไร?”
…………………………..