กุนซือหญิงยอดอัจฉริยะ - บทที่ 75 กฎแห่งธรรมชาติและจิตใจมนุษย์
การคาดคะเนของซ่งชูอีมิได้คลาดเคลื่อนมากนัก ด้วยการเดินทางอย่างเร่งรีบติดต่อกันห้าวันก็มาถึงหยวนยงในกลางดึกของวันที่ห้าแล้ว
หยวนยงแห่งนี้มีทิศเหนือติดกับแม่น้ำเหลือง บริเวณใกล้เคียงมีนครตั้งอยู่หนาแน่นและเป็นสนามรบ เปลี่ยนเจ้านครรัฐอยู่บ่อยครั้งเนื่องด้วยตั้งอยู่ในเขตชายแดนร่วมระหว่างรัฐหานกับรัฐเว่ย ด้วยเหตุนี้ประชากรจึงหลากหลาย
หลังจากพักอยู่ในหยวนยงหนึ่งคืน ซ่งชูอีก็ให้ขบวนรถเดินทางไปยังทิศตะวันตกเฉียงใต้โดยไม่ผ่านรัฐเว่ยอีก แต่มุ่งตรงไปยังด่านอู่จากรัฐหาน
นครหลวงของรัฐหานตั้งอยู่ใกล้กับต้าเหลียงนครหลวงแห่งรัฐเว่ยมากเกินไปแล้ว ถ้าหากข่าวรั่วไหลออกไป…
ภายในรถม้า ซ่งชูอีกำลังพิงอยู่ที่ผนังรถพลางครุ่นคิด พลางกางภาพวาดแผนที่หนังแกะผืนนั้น นิ้วเคาะเป็นจังหวะอยู่บนแผนที่
หลงกู่ปู้วั่งถือสมุดไผ่อยู่ในมือ แต่สายตากลับลอบมองใบหน้าของซ่งชูอีเป็นครั้งคราว แก้มของนางมีบาดแผลจากความหนาวเหน็บระหว่างการขี่ม้าไม่กี่วันก่อนและแดงก่ำไปเสียสองแถบ ทันใดนั้นหลงกู่ปู้วั่งรู้สึกว่าผิวพรรณของนางละเอียดอ่อนราวกับผืนผ้าไหม จึงอดไม่ได้ที่จะลอบมองอีกรอบ
จู่ๆ ซ่งชูอีหันมา ยิ้มกว้างให้เขา “แม้นข้าจะเป็นผู้ที่ค่อนข้างเก่งกาจ แต่ไม่ว่าเจ้ามองมากแค่ไหนก็ไม่ฉลาดขึ้นดอก”
นางหุบยิ้ม เอ่ยว่า “อ่านหนังสือ!”
บัดนี้ใบหน้าของหลงกู่ปู้วั่งหนาขึ้นมากแล้ว ครั้นได้ยินเช่นนี้ก็มิได้โมโห เพียงแค่วางสมุดไผ่ลงแล้วเอ่ยถาม “อาจารย์ ท่านอ่านแผนที่มาสี่ห้าวันแล้ว กำลังอ่านพื้นที่ใดกันแน่?”
เขารู้สึกว่าซ่งชูอีได้สลักแผนที่ไว้ในสมองนานแล้ว แต่กลับยังเหม่อมองแผนที่ทั้งวัน นางไม่รำคาญทว่าเขาเห็นแล้วกลับรู้สึกรำคาญเล็กน้อย
“ข้ามิได้อ่านแผนที่ หากเป็นสถานกาณ์ใต้หล้า” ซ่งชูอีเอื้อมมือ เจียนก็ส่งน้ำร้อนถ้วยหนึ่งใส่มือนางอย่างรวดเร็ว
“เช่นนั้นอาจารย์จะไปแวะคารวะหานโหวหรือไม่?” หลงกู่ปู้วั่งเอ่ยถาม
“หากให้เจ้าตัดสินใจ จะไปหรือไม่ไป?” ซ่งชูอีจิบน้ำ ไม่ตอบคำ
หลงกู่ปู้วั่งได้ขบคิดเรื่องนี้มาหลายวันแล้ว จึงตอบอย่างไม่ลังเล “ไปแน่นอน ข้าเคยคิด ถึงอย่างไรช้าเร็วพวกเราก็จะต้องไปแวะคารวะหานโหว สู้ไปแวะคารวะสักคราไม่ดีกว่าหรือ อาจารย์สามารถแวะคารวะโดยไม่ใช้สถานะของราชทูตรัฐเว่ย์ กระทำการด้วยความระมัดระวัง ไม่น่าจะถูกจับได้”
ก็เหมือนคราวก่อนที่อยู่ในรัฐซ่ง ไปแวะคารวะเหล่าขุนนางชั้นสูงก่อนเพื่อฝากเนื้อฝากตัว
อย่างไรก็ดี สุดท้ายแล้วรัฐหานก็เป็นหนึ่งในเจ็ดมหานครรัฐ สภาพการณ์ภายในรัฐนั้นซับซ้อนกว่ารัฐซ่งมากโข ยิ่งไปกว่านั้น คราวก่อนซ่งชูอีไร้ซึ่งความวิตกกังวล แม้ว่าสถานะจะถูกเปิดโปง นางยังมีที่ให้กลับไป ขอเพียงรักษาชีวิตของตนเองให้รอดเป็นพอ ทว่าครั้งนี้ไม่เหมือนกัน ไม่อาจยอมรับความผิดพลาดเพียงน้อยนิดได้ หากความลับรั่วไหล แผนการทั้งหมดก็จะล้มเหลวไม่เป็นท่า
ซ่งชูอีพึมพำกับตัวเองครู่หนึ่ง กล่าวว่า “เจ้าเคยรู้จักกับหานโหวหรือ?”
หลงกู่ปู้วั่งนิ่งไปครู่หนึ่ง ส่ายหน้า “ข้าไม่เคยออกจากรัฐเว่ย์ ด้วยเหตุนี้จึงไม่ชัดแจ้ง”
“ที่จริงเราสามารถรู้อะไรได้ไม่มากก็น้อยจากการทรงงานของเขา” ซ่งชูอีวางถ้วยชาลง เอ่ยขึ้น “เมื่อครั้นหานโหวยังทรงพระเยาว์ก็ยังมีความเด็ดเดี่ยวอยู่บ้าง ทว่ายิ่งอายุมากขึ้นก็ยิ่งเหมือนกับหญ้าที่ขึ้นตามกำแพง โอนเอนไปตามสายลมพัด หูเบาเชื่อคนง่าย อีกทั้งยิ่งชอบไหลไปตามกระแส หากข้าไปพูดคุยกับเขา แม้นว่าในขณะนั้นอาจได้ผล กว่าข้าจะพูดจาหว่านล้อมรัฐอื่นสำเร็จ อย่างน้อยก็จะต้องใช้เวลาหกเดือนแล้ว ใครจะรู้ว่าตอนนั้นจะมีอะไรเปลี่ยนแปลงหรือไม่?”
หลงกู่ปู้วั่งนิ่งไปครู่หนึ่ง เขาพิจารณาเพียงปัจจัยทางรูปธรรม แต่กลับมิเคยคิดถึงเรื่องเหล่านี้เลย
ซ่งชูอีวางถ้วยชาลง ม้วนเก็บแผนที่ “แม้นสรรพสิ่งแปรผันรวดเร็วเพียงใด ก็ไม่เร็วเท่าการเปลี่ยนแปลงของใจคน”
หลงกู่ปู้วั่งเอ่ยถาม “เหตุใดจึงต้องพิชิตใจคน?”
“พิชิตใจคนงั้นหรือ?” ซ่งชูอีหัวเราะเสียงเบา “สิ่งที่ไม่อาจควบคุมได้ในโลกใบนี้คือกฏแห่งธรรมชาติกับจิตใจของมนุษย์ สำหรับกฎแห่งธรรมชาตินั้น เราสามารถหยิบยืมอำนาจเพื่อแก้ไขสถานการณ์ต่างๆ ได้ สำหรับจิตใจของมนุษย์ เราสามารถใช้ประโยชน์จากมันตามแต่สถานการณ์”
หลงกู่ปู้วังค้อมคำนับ “ปู้วั่งน้อมรับคำสอน”
หลังจากซ่งชูอีตัดสินใจว่าจะไม่แวะคารวะหานโหวก่อน ก็สั่งให้ขบวนรถมุ่งหน้าไปยังป้อมปราการของรัฐฉิน — ด่านอู่โดยตรง
แม้นจะไกลกว่าด่านหานกู่ อีกทั้งการเดินทางยากลำบาก แต่ว่าไม่จำต้องผ่านรัฐเว่ยอีกและจะไม่ถูกแกะรอยได้ง่าย
การใช้เส้นทางนี้จะไม่ผ่านนครใหญ่อีก จนกระทั่งถึงหนานเหลียงแล้วพวกเขาจึงเข้านครค้างแรมหนึ่งคืนเพื่อจัดระเบียบรถม้าและซื้ออาหารแห้ง เพราะว่าจากนี้ไปจะไม่พบนครใหญ่อีกแล้วจนกว่าจะถึงด่านอู่
ซ่งชูอีมิได้พักผ่อนตลอดเส้นทาง ได้แต่วาดแผนที่ของสถานที่ทั้งหมดที่ได้ผ่านมาหรือไม่ก็เขียนบันทึกจำนวนหนึ่ง
ในที่สุดก็ได้นอนหลับสนิทอยู่บนเตียงที่ไม่ไหวเอนเสียที หลังจากซ่งชูอีอาบน้ำแล้ว ก็เอนตัวนอนสบายราวกับโคลนตมและเข้าสู่ห้วงนิทราโดยไม่รู้ตัวแล้ว
ท่ามกลางความสะลึมละลือ ก็ราวกับได้ยินเสียงคนร้องเพลง
“บุรุษฉลาดสร้างนคร กลับสั่นคลอนด้วยสตรี ส่งเสียงดังคล้ายปักษี ยามราตรีออกโบยบิน ครั้นสตรีพ่นวาจา คำว่าร้ายเป็นอาจิณ……”
ซ่งชูอีเบิกตาโพลง ตกใจจนเหงื่อเย็นท่วมตัว
นี่คือเพลงที่ชายชราผู้หนึ่งขับร้องระหว่างทาง บทเพลงกล่าวถึงสตรีผู้ชาญฉลาดที่นำความฉิบหายมาสู่รัฐ ซ่งชูอียื่นมือลูบคลำถุงผ้าแพรในหน้าอก ข้างในมียาที่ซิงโส่วมอบให้นาง บอกว่าสามารถซ่อนเร้นความเป็นหญิงได้
“ห้าปี…” ซ่งชูอีพึมพำ ไม่แสดงออกถึงความเป็นหญิงภายในระยะเวลาห้าปี
นางค่อยๆ ลุกขึ้นนั่ง รินน้ำให้ตัวเองภายใต้แสงไฟจากเตา
เมื่อก่อน เหตุผลที่นางอยู่ในสถานที่เล็กๆ ก็เพราะว่านางไม่เคยซ่อนเร้นสถานะความเป็นหญิงของตัวเอง เนื่องด้วยนางเป็นศิษย์ของจวงจื่อจึงมีชนชั้นสูงต้องการจะจ้างนาง อย่างน้อยการได้สวมใส่ผ้าแพรหรูหราก็ไม่ใช่ปัญหา ทว่านางยินยอมที่จะพุ่งชนทุกสถานการณ์ ทนกับความทุกข์ยากมากมายจนเกือบเอาชีวิตไม่รอด แต่จะไม่ยินยอมใช้ชีวิตอยู่โลกแคบๆ
นางไม่ซ่อนเร้นสถานะเพราะกังวลว่าสักวันหนึ่งจะถูกเปิดโปงและผลที่ตามมานั้นยากจะต้านทาน สู้เปิดเผยตั้งแต่แรกยังดีเสียกว่า หากคนอื่นอยากใช้งานก็ใช้ ไม่อยากใช้ก็ช่างประไร!
อย่างไรก็ดี ด้วยสถานการณ์ทั่วไปแล้ว ส่วนมากก็ยังต้องไหลไปตามน้ำ
สวรรค์ทรงเมตตา ให้โอกาสได้มีชีวิตอีกครั้ง มันคือการรักษาชีวิตด้วยความหวาดกลัวเพื่อให้ได้เกียรติยศและความมั่งคั่ง? หรือครอบครองใต้หล้าโดยไร้ความหวาดกลัวเพื่อความเป็นอิสระกันเล่า?
ซ่งชูอีจะเลือกอย่างหลังโดยไม่ลังเล ต่อให้ต้องสิ้นชีวาอีกครั้ง อย่างน้อยนางก็เคยจารึกพรสวรรค์ของตนอย่างเสรีให้แก่โลกใบนี้โดยไม่เสียใจเลย
ซ่งชูอีลูบคลำถุงผ้าแพร ตัดสินใจว่าค่อยใช้อีกหกเดือนหลังจากนี้ ภายในหกเดือนนี้ยังแทบจะมองไม่ออกด้วยซ้ำ หากกินเข้าไปแล้วจะเสียของเปล่าๆ
“พี่อวี๋กุย ท่านช่างหวงของเหลือเกิน” ซ่งชูอีวางถ้วยชาลง ปีนขึ้นไปบนเตียง ครุ่นคิดในใจ หากจะให้ก็ให้ยาสักหลายสิบปีสิ แต่กลับให้เพียงห้าปี ห้าปีจะไปพออะไรกัน? ลำพังเพียงการเจรจาในแต่ละรัฐครั้งนี้ก็กินเวลาครึ่งปีแล้ว หากรอจนกระทั่งทั้งแผนการสำเร็จลุล่วง เกรงว่าจะใช้เวลาถึงปีสองปี
ซ่งชูอีบ่นซิงโส่ว เพียงครู่เดียวก็ผล็อยหลับไปแล้ว
วันรุ่งขึ้น ขบวนรถออกเดินทางตั้งแต่ยังไม่ฟ้าสาง
หิมะตกเบาๆ อยู่ด้านนอก ไม่มีลม ซ่งชูอีอุ้มไป๋เริ่นขึ้นรถม้าไปด้วยตาที่เปิดเพียงครึ่งหนึ่ง แล้วนอนต่อบนเตียงเล็ก
เดินทางอยู่สองวัน หิมะตกปรอยๆ อยู่ตลอดเวลา แต่สภาพอากาศกลับขมุกขมัว คนที่ไม่เห็นแสงอาทิตย์ไม่ตื่นอย่างซ่งชูอีก็หลับไปทั้งสองวันจริงๆ
วันมะรืนอากาศแจ่มใส นางก็มีพลังงานเหลือเฟือ ลากหลงกู่ปู้วั่งมาสอนทุกวัน ทำเอาเด็กหนุ่มที่เปี่ยมด้วยพลังงานคนหนึ่งทรุดโทรมปางตาย แม้นการดื่มน้ำเย็นก็รู้สึกถึงความเยือกเย็นโดยไม่มีเหตุผล
เพื่อเป็นการถอนตัวจากการรังแกอันไม่มีที่สิ้นสุดนี้ หลงกู่ปู้วั่งล้มป่วยเสียแล้ว ทำเอาหมอสองท่านในขบวนรถตกใจจนวิญญาณแทบหลุดออกจากร่าง คอยเฝ้ารักษาทั้งวันและคืน
…………………………….