กุนซือหญิงยอดอัจฉริยะ - บทที่ 78 จิตใจกว้างขวางดั่งมหาสมุทร
ไป๋เริ่นถูกทำให้ตกใจกลัว ในที่สุดก็ไม่กล้าวิ่งไล่ม้าอีก ทว่าทุกคนเห็นอย่างชัดเจนว่าเพียงแค่ไป๋เริ่นวิ่งอยู่ข้างนอก ความรวดเร็วของม้าก็เพิ่มขึ้นกว่าปกติเป็นเท่าตัว
จี๋อวี่รู้สึกดีใจยิ่ง ทว่าซ่งชูอีกลับรู้สึกทรมานเหมือนตายทั้งเป็นอยู่ภายในรถ เกลียดชังจนกัดฟันกรอด บวกกับหลงกู่ปู้วั่งที่ลากให้นางสอนทุกวันนั้นเหนื่อยยิ่งกว่าการนั่งรถเสียอีก
นี่หรือเปล่าที่เขาเรียกว่าฮวงจุ้ยเปลี่ยนทิศ?
ซ่งชูอีกระแทกหนังสือลงบนโต๊ะอย่างแรง “ข้าไม่ทำแล้ว!”
สิ้นวาจาก็นอนแน่นิ่งอยู่ในผ้าห่มอ่อนนุ่มราวกับศพ ไม่ว่าหลงกู่ปู้วั่งจะเรียกเท่าไรก็ไม่ขยับเขยื้อน
จะว่าไปแล้ว มีเพียงวิธีนี้ที่หลงกู่ปู้วั่งสามารถทรมานซ่งชูอีได้ แต่เรื่องเจ้าเล่ห์เพทุบายนั้น หลงกู่ปู้วั่งสิบคนมัดเข้าด้วยกันก็สู้ซ่งชูอีเพียงคนเดียวมิได้
“อาจารย์ ข้าอยากเป็นเหมือนกับผังเจวียน” หลงกู่ปู้วั่งเอ่ย
สายตาของซ่งชูอีกวัดแกว่งไปมา ท่ามกลางความมึนงงนั้น นางมองเห็นสีหน้ามุ่งมั่นของหลงกู่ปู้วั่ง อดมิได้ที่จะยืดตัวตรง เหยียดนิ้วชี้เกี่ยวใบหน้าของเขาเข้ามาใกล้ สำรวจอย่างถี่ถ้วน
“ข้าจริงจังนะ” หลงกู่ปู้วั่งเอ่ย
แน่นอนว่าเขาจริงจัง ซ่งชูอีดูออก
หลงกู่ปู้วั่งถอยออกไปเล็กน้อย เนื่องด้วยพื้นที่มีจำกัด จึงสามารถโค้งคารวะตามมาตรฐานได้เพียงหนึ่งคนเท่านั้น “อาจารย์ได้โปรดสอนข้าด้วย”
“เพราะเหตใด ทั้งๆ ที่ก็รู้จุดจบแล้ว ยังต้องการทำผิดซ้ำอีกหรือ?” ซ่งชูอีเอ่ย
เพราะว่าทันทีที่เขาเห็นกองทหารม้าแข็งแกร่งเช่นนี้ เลือดร้อนในตัวก็เดือดพล่านแล้ว เขารู้ว่ามันไม่อาจสงบลงมาได้ แม้นเส้นทางที่ผังเจวียนเคยเดินได้พิสูจน์แล้วว่านี่ไม่ใช่ทางเลือกที่ดีนัก ทว่าหลงกู่ปู้วั่งก็ยังยืดหยัดและจริงจัง การฝึกทหารเป็นเรื่องที่มีความหมาย และที่สำคัญที่สุดคือ…
หลงกู่ปู้วั่งเอ่ย “ข้าชอบ”
สิ้นวาจา ก็เงยหน้ามองซ่งชูอี นางจ้องเขาด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ จากนั้นก็หัวเราะเสียงดังขึ้นมาทันใด “ยอดเยี่ยม! เฉียบคม กล้าหาญ!”
ในโลกใบนี้มีกี่คนที่กระทำการต่างๆ โดยอ้างคุณธรรมยิ่งใหญ่ว่าช่วยเหลือราษฎรและช่วยเหลือใต้หล้า? แต่จะมีสักกี่คนที่อุทิศทั้งชีวิตเพื่อคำว่า “ชอบ” เพียงคำเดียว?
“ข้าจะสอนเจ้าสุดความสามารถก็ได้ แต่ว่าก่อนอื่น ข้าจำเป็นต้องอธิบายบางอย่างกับเจ้าให้ชัดเจน” ซ่งชูอีหุบยิ้มเอ่ย
หลงกู่ปู้วั่งโน้มตัว “น้อมฟังคำสอนอาจารย์”
“หากภายในภาคหน้าเจ้าสวามิภักดิ์ต่อรัฐใด ห้ามเอ่ยว่าผู้ใดคืออาจารย์เด็ดขาด นี่คือข้อหนึ่ง ข้อสอง เส้นทางของผังเจวียนใช่ว่าจะเดินไม่ได้ เพียงแต่เขาเป็นคนดื้อรั้นเกินไป จิตใจคับแคบ ไร้ความเมตตา หากเจ้าเดินเส้นทางนี้ ไม่ว่าจะแพ้หรือชนะ จักต้องมีพลังกลืนกินภูเขาและแม่น้ำ มีจิตใจกว้างขวางดั่งมหาสมุทร สองข้อนี้เจ้าทำได้หรือไม่?” ซ่งชูอีถามด้วยความเคร่งขรึม
มีพลังกลืนกินภูเขาและแม่น้ำ มีจิตใจกว้างขวางดั่งมหาสมุทร?
หลงกู่ปู้วั่งชื่นชอบความห้าวหาญเช่นนี้ ทว่าผู้ที่ทำได้กลับมีน้อยเหลือเกิน
นิ่งงันอยู่ครู่หนึ่ง หลงกู่ปู้วั่งตอบด้วยความเด็ดเดี่ยว “ได้ขอรับ!”
ซ่งชูอีมองดูเด็กหนุ่มผู้ซึ่งค้นพบแนวทางของตัวเองตรงหน้า รู้สึกประทับใจเล็กน้อย
นี่คือยุคที่ชีวิตผู้คนแสนสั้น ความเป็นและความตายเกิดขึ้นทั่วไปราวกับมื้ออาหารในบ้าน ผู้ที่ยินยอมตายเพื่อความทะเยอทะยานนั้นมีอยู่ดาษดื่น ทว่าผู้ที่ยินยอมเดินอยู่บนเส้นทางขรุขระหรือมีปลายทางเป็นหน้าผาเพียงเพื่อความชอบมิได้เกิดขึ้นเพียงอารมณ์ชั่ววูบเป็นแน่
หลังจากผ่านไปหลายวัน ซ่งชูอีทำเหมือนกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น ยังคงเย้าหยอกหลงกู่ปู้วั่งเพื่อความสนุกต่อไป
หลงกู่ปู้วั่งมักจะถูกนางแกล้งจนหัวปั่น ทุกครั้งเขารู้สึกว่าความคิดของตนรอบคอบกว่าเดิม การสังเกตก็ยิ่งเฉียบคม ทว่าซ่งชูอีก็มักจะทำสิ่งที่ไม่คาดคิดเสมอ ตลอดทางจนกระทั่งถึงเสียนหยาง เขาก็ยังไม่สามารถกลับตัวได้เลยสักครั้ง
เขาก็ยังโมโหทุกครั้ง ทว่าทีละน้อยๆ เขารู้สึกว่าตัวเองสามารถมองทุกอย่างได้อย่างใจเย็นกว่าเดิม ความอดทนก็แข็งแกร่งกว่าเมื่อก่อนหลายเท่า
ขบวนรถใกล้จะเข้าเสียนหยางแล้ว จี๋อวี่เพิ่มความเร็วม้าของตัวเองเพื่อเข้าใกล้หัวหน้าทหารฉินผู้นำทาง ประสานมือเอ่ย “หัวหน้าเมิ่ง”
“ท่านมีเรื่องใด?” หัวหน้าเมิ่งคำนับคืนพร้อมเอ่ย
ชาวฉินนับถือผู้ที่มีความกล้าหาญมาก วันนั้นที่จี๋อวี่ปัดป้องการโจมตีจากลูกธนูได้ หัวหน้าเมิ่งก็เกรงอกเกรงใจเขาอย่างมาก ไม่ห่างเหินดังก่อนหน้านี้เลย
จี๋อวี่เอ่ย “ท่านจวินสั่งให้พวกข้าดำเนินการอย่างเป็นความลับ เสียนหยานมีพ่อค้าเดินทางมากมาย หากพวกข้าเข้าจุดพักม้าไปทั้งเช่นนี้ จะต้องตกเป็นเป้าสายตาอย่างหลีกเลี่ยงมิได้ ไม่ทราบว่ามีวิธีใดที่จะทำให้พวกข้าเข้าไปอย่างลับๆ ได้บ้าง”
“เรื่องเล็กน้อย” หัวหน้าเมิ่งกล่าวทันที เขาเห็นสีหน้าสงสัยของจี๋อวี่จึงอธิบายว่า “ท่านราชทูตกล่าวเรื่องนี้กับท่านผู้ช่วยราชทูตแล้ว บัดนี้ท่านผู้ช่วยได้ส่งข้อความม้าเร็วมายังเสียนหยาง ข้าจะนำทางผ่านไปยังประตูทางทิศเหนือ ที่นั่นจะมีคนต้อนรับ พวกเขามีประสบการณ์ในด้านนี้มาก”
“ขอบคุณ” จี๋อวี่มองดูหัวหน้าเมิ่งที่อารมณ์ดียิ่งอย่างประหลาด นึกสงสัยในใจ
เขาขี่ม้ามาที่ข้างรถของซ่งชูอีพร้อมสังเกตกลุ่มคนที่อยู่ข้างหน้า เมื่อครู่เขารู้สึกว่าอาจเป็นเพราะไม่ได้กลับบ้านนานแล้วหรือเปล่า แต่ว่าเท่าที่สังเกตมาสักพัก ราวกับว่ามีเพียงหัวหน้าเมิ่งที่ดูดีใจจนออกนอกหน้า
ครุ่นคิดครู่หนึ่ง จี๋อวี๋ก็เคาะประตูรถม้าของซ่งชูอี “ท่านขอรับ ข้าจี๋อวี่ขอเจ้าพบ”
“ขอเข้าพออะไรกัน เข้ามาเถิด” ซ่งชูอีพิงอยู่ข้างโต๊ะตัวเตี้ย เอ่ยอย่างเกียจคร้าน ไป๋เริ่นมิได้ทำตัวร่าเริงอยู่ด้านนอก รถม้าสงบลงไปมาก
จี๋วอี่สั่งให้รถหยุดชั่วคราว ครั้นขึ้นรถก็เห็นฉากแสนประหลาด ซ่งชูอีมือหนึ่งเท้าศีรษะ มือหนึ่งถือชิ้นเนื้อดอง ไป๋เริ่นเงยหน้าอ้าปาก รอให้ชิ้นเนื้อดองตกลงมาด้วยความสงบนิ่ง
“นั่งตามสบาย” ซ่งชูอีเอ่ย
จี๋อวี่คุกเข่าอยู่หน้าประตู “ท่าน อารมณ์ของหัวหน้าเมิ่งผิดปกติมาก ราวกับว่ากลั้นรอยยิ้มบนใบหน้าไว้ไม่อยู่”
“ฮ่า ไม่แน่ว่าเขารู้ข่าวว่าเมียที่บ้านคลอดลูกชาย เขากลับมาก็ได้เยี่ยมพอดี” ซ่งชูอีพูดพลางหัวเราะกับตัวเอง
เขากล่าวว่าตนเฝ้าด่านอู่มาสิบปี ถ้าภรรยาของเขาคลอดลูกชายที่เสียนหยางในเวลานี้จริงๆ เกรงว่าหัวหน้าเมิ่งคงไม่ยิ้มแต่จะโมโหมากกว่า
จี๋อวี่ขมวดคิ้วเอ่ย “ท่านขอรับ”
ซ่งชูอีโบกมืออย่างเหนื่อยหน่าย หัวของไป๋เริ่นที่อยู่ข้างล่างเคลื่อนไหวไปตามเนื้อที่แกว่งไกว
“สกุลเมิ่งเป็นสกุลเก่าแก่ในรัฐฉิน เดิมทีเขาสามารถอยู่ภายใต้การค้ำจุนของตระกูล รับตำแหน่งและความมั่งคั่งได้โดยตรง แต่กลับต้องตกต่ำอย่างที่เป็นอยู่เพราะการปฏิรูปกฎหมาย หากซางยางตายเสีย เขาจะไม่ดีใจได้หรือ?” ซ่งชูอีเอ่ย
นี่เป็นเรื่องที่มองเห็นได้อย่างชัดเจนแต่จี๋อวี่กลับคิดไม่ถึง เพราะไม่ใคร่เข้าใจข้อมูลเชิงลึกของสกุลเมิ่ง ยิ่งไม่อาจจินตนาการได้ถึงพลังแห่งผลกระทบจากการปฏิรูป และไม่อาจจินตนาการได้ว่าหัวหน้าด่านเล็กๆ คนหนึ่งจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับสกุลใหญ่ผู้สูงศักดิ์ได้เยี่ยงไร
“ขอบคุณท่านที่ปัดเป่าข้อข้องใจ” จี๋อวี่รู้สึกวางใจ สั่งให้คนหยุดรถทันทีแล้วถอยออกไป เขายังต้องรับมือกับผู้แทนรัฐฉิน
หลงกู่ปู้วั่งโผล่ศีรษะออกมาจากหน้าต่าง พลันพื้นที่รกร้างกว้างขวางปรากฏสู่สายตา บนพื้นดินผืนใหญ่นั้นมองไม่เห็นแม้แต่หญ้าแห้ง ผืนดินสีน้ำตาลยาวเหยียดจรดเส้นขอบฟ้า มันบรรจบกับท้องฟ้าสีเทาน้ำเงินกว้างไกลสุดลูกหูลูกตา
“ไหนบอกว่ารัฐฉินเต็มไปด้วยผู้คนไม่มีที่ดินทำกินมิใช่หรือ? ผืนดินกว้างใหญ่เช่นนี้ เหตุใดจึงไม่มีคนบุกเบิกเล่า?” หลงกู่ปู้วั่งเอ่ย
ซ่งชูอีโยนเนื้อดองเข้าปากไป๋เริ่น นวดคลึงแขนที่เมื่อยล้า เอ่ยว่า “เจ้าคิดว่าทุกที่จะอุดมสมบูรณ์เหมือนรัฐเว่ย์หรืออย่างไร? รัฐฉินแห้งแล้ง ที่ดินผืนนี้ขาดการชลประทานแหล่งน้ำ คุณภาพดินไม่เหมาะแก่การเพาะปลูก แม้แต่นกยังไม่มาถ่ายด้วยซ้ำ”
“อาจารย์ หากนกจะมาถ่ายคงไม่ดีกระมัง?” หลงกู่ปู้วั่งอดกล่าวมิได้
รถม้าค่อยๆ ชะลอความเร็ว คนด้านนอกพูดขึ้น “มีใบผ่านทางหรือไม่?”
………………………….