กุนซือหญิงยอดอัจฉริยะ - บทที่ 80 กลยุทธ์ก่อนฝนตก
น่าจะเป็นสาวใช้ที่ส่งเสื้อผ้ามาให้ ซ่งชูอีเรียกเสียงหนึ่ง “ไป๋เริ่น”
ไป๋เริ่นเก็บอาการระแวดระวังทันที รุดไปยังข้างกายซ่งชูอี
“จื่อเฉา การรับใช้วีรบุรุษ จะต้องมอบทั้งหัวใจให้เขา แม้ว่าเขาจะไม่เห็นคุณค่าก็ตาม” ซ่งชูอียื่นมือลูบหัวของไป๋เริ่น เอ่ยขึ้น “ใจเย็น ตื่นตัว ซ่อนเร้น นี่คือหกคำที่ข้าจะมอบให้เจ้า”
จื่อเฉานิ่งไปครู่หนึ่ง “บ่าวเข้าใจว่าต้องตื่นตัวและใจเย็น ทว่าซ่อนเร้นอะไรหรือ?”
“หากเกิดความโลภก็ต้องซ่อนเร้น หากเกิดความรักต่อฉินกงก็ต้องซ่อนเร้นจากคนอื่นนอกเหนือจากฉินกง หากไร้ความรักต่อฉินกง ก็ต้องซ่อนเร้น…” ซ่งชูอียกตัวอย่างสองสามข้อ
กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือซ่อนเร้นความรู้สึกและความต้องการของตัวเองทั้งหมด สร้างภาพลักษณ์ที่ไร้ความละโมบแต่จงรักภักดีแก่คนภายนอก เช่นนี้จึงจะช่วยนางลดศัตรูในวังหลังได้ส่วนหนึ่ง ส่วนจะประสบความสำเร็จหรือไม่นั้นต้องขึ้นอยู่กับวิธีของนางแล้ว
ข้างกายจวินนั้นมิเคยขาดสาวงาม จวินอ๋องส่วนใหญ่ก็มักจะปฏิบัติต่อนางสนมอย่างผิวเผินยิ่ง เขาไม่ได้ใช้เวลาไปกับเรื่องนี้มากนัก ด้วยเหตุนี้หากต้องการดึงดูดความสนใจของเขา ประการแรกจะต้องมีหน้าตาสละสวย ประการที่สองจะต้องมีจิตใจประดุจแม่พระ
ซ่งชูอีมิได้มองโลกในแง่ดีต่อจื่อเฉาที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน ผู้ชายส่วนใหญ่จะไม่เฉยเมยต่อความงามของนางและได้รับการเอ็นดูได้โดยง่าย ทว่านางไร้เดียงสาเกินไปแล้ว อาจไม่สามารถยืนหยัดอยู่ในวังหลวง
ถ้าหากโชคดี หลังจากผ่านการขัดเกลาระยะหนึ่งก็อาจพัฒนาขึ้นได้
“เฉาน้อมรับคำสอน” จื่อเฉาโค้งคำนับ หลังจากลุกขึ้นมาแล้วก็ลังเลครู่หนึ่ง เอ่ยขึ้น “ท่าน…หย่า…”
จื่อเฉารู้สึกสับสนในใจ นางหวังว่าสองคนพี่น้องจะสามารถเข้าวังไปด้วยกัน อีกทั้งหวังว่าจื๋อหย่าจะอยู่ห่างจากความผิดถูกประเภทนี้ให้ไกล
ซ่งชูอีกล่าว “นิสัยของนางยังต้องถูกขัดเกลา ก็ติดตามข้านี่แหละ หากเจ้าสามารถยืนอย่างมั่นคงในวังฉินได้ ไม่แน่ว่าอาจมีวันที่สองพี่น้องจะได้พบกันอีก”
ซ่งชูอียังต้องสังเกตต่ออีกระยะหนึ่ง จื๋อหย่าเป็นเด็กหญิงผู้มีแผนการและดื้อรั้นมาก ความแข็งแกร่งมิใช่เรื่องผิด ตราบใดที่ไม่ใช่คนเนรคุณเลี้ยงไม่เชื่อง ซ่งชูอียินดีที่จะส่งนางไปสู่เส้นทางที่ดีกว่าจื๋อเฉาด้วยซ้ำ
เสียงฝีเท้าที่เร่งรีบและยุ่งเหยิงดังขึ้นภายนอก ยามอารักขาในชุดเกราะสีดำนายหนึ่งพาคนบุกเข้ามา
ครั้นทุกคนเห็นไป๋เริ่นนอนหมอบอยู่ข้างขาของซ่งชูอี อดไม่ได้ที่จะประหลาดใจ
ไป๋เริ่นจะไม่แยกเขี้ยวสุ่มสี่สุ่มห้าตราบใดที่อยู่ข้างกายซ่งชูอี ด้วยเหตุนี้เมื่อเห็นกลุ่มคนบุกเข้ามา มันได้แต่เหลือบเปลือกตาขึ้นอย่างเกียจคร้าน
“เมื่อครู่ได้ยินสาวใช้บอกว่ามีหมาป่าบุกเข้ามา พวกข้าไม่รู้ว่าเป็นท่านราชทูตเลี้ยงไว้ ก่อกวนความสงบของท่านราชทูต ได้โปรดท่านลงโทษด้วย” หัวหน้ายามอารักขาในชุดเกราะสีดำคำนับเอ่ย
แม้นจะกล่าวเช่นนี้ ทว่าซ่งชูอีเป็นราชทูตนอก จะมีสิทธิ์ใดไปลงโทษพวกเขา? มันเป็นเพียงการแสดงออกถึงความนอบน้อมถ่อมตนเท่านั้น ต่างฝ่ายก็ต่างอยากจบเรื่องนี้กันไป ซ่งชูอีหัวเราะเบาๆ “ไม่มีปัญหา สัตว์เลี้ยงตัวน้อยที่ข้าเลี้ยงชอบก่อเรื่อง ต้องลำบากทุกท่านแล้ว”
“ขอบพระคุณท่านราชทูตที่ไม่ถือโทษเอาความ” ยามอารักขาคำนับ เอ่ยขึ้น “ข้าน้อยขอตัว”
ขณะที่ยามผู้อารักขาถอยออกไป สายตาก็หยุดอยู่ที่จื่อเฉาพร้อมเพรียงกันโดยมิได้นัดหมาย ดวงหน้างดงามนั้นยังเป็นเรื่องรอง สิ่งที่สำคัญคือเรือนร่างที่สามารถทำให้ “ใจหายใจคว่ำ” ได้
สาวใช้ยกเสื้อผ้าเข้ามาด้วยเนื้อตัวสั่นเทา วางลงบนโต๊ะตรงหน้าซ่งชูอี “ท่านเจ้าคะ เสื้อผ้าเตรียมเรียบร้อยแล้ว”
ซ่งชูอีตอบรับเสียงหนึ่ง สั่งให้สาวใช้ผู้นั้นถอยออกไป
“บ่าวจะปรนนิบัตินายท่านเปลี่ยนเสื้อเจ้าค่ะ” จื่อเฉากล่าว
ซ่งชูอีเอ่ย “เจ้ากลับไปพักผ่อนให้เต็มที่เถิด เรียกหนิงยาเข้ามา”
จื่อเฉาตาแดง หลุบตาลงตอบเสียงเบา “เจ้าค่ะ”
ซ่งชูอีมองดูท่าทางหัวใจแตกสลายนั้น รอจนได้ยินเสียงฝีเท้าไกลออกไป อดไม่ได้ที่จะลูบคลำคาง พูดกับไป๋เริ่น “ดูแล้วข้าก็มีเสน่ห์ต่อผู้หญิงไม่เบา น่าเสียที่ขาดเจ้านั่นไปอย่างเดียว!”
“นายท่าน” หนิงยาก้มหน้าเข้ามา
ซ่งชูอีชอบหนิงยามาก นางบริสุทธิ์ ไร้เดียงสาแต่ไม่ค่อยฉลาด อาจเพราะด้วยเหตุนี้จึงไม่มีแผนการมากนัก
ซ่งชูอีเปลี่ยนชุดชาวฉินสีดำจากการช่วยเหลือของหนิงยา พาหนิงยากับเจียนไปหาจี้ฮ่วนและหลงกู่ปู้วั่งเพื่อออกไปข้างนอกด้วยกัน
เพิ่งจะพ้นยามเที่ยง เป็นช่วงเวลาที่ครื้นเครงที่สุดในเสียนหยางพอดี
เสียนหยางนั้นตั้งอยู่ห่างจากฉินชวนไปอีกแปดร้อยลี้ นครหลวงของรัฐฉินแห่งนี้เพิ่งถูกสร้างขึ้นเมื่อยี่สิบกว่าปีก่อน มีขนาดใหญ่และมีสีสัน ลี่หยางนครหลวงเก่าของฉินเป็นตลาดค้าทาสที่ใหญ่ที่สุด อย่างไรก็ดีเมื่อพูดถึงการค้าขายในรัฐฉินส่วนใหญ่แล้วมักเป็นการค้าขายมนุษย์ ทว่าบัดนี้บรรดาพ่อค้ามาจากทุกทิศทุกทาง ถนนหนทางมีชีวิตชีวายิ่ง
“เสียนหยางนับว่าไม่เลว มีแค่จุดนี้ที่น่ารำคาญใจ” หลงกู่ปู้วั่งขมวดคิ้ว ปัดๆ เศษดินบนตัวออก “เกรงว่าวันทั้งวันต้องอาบน้ำสามครั้งจึงจะสะอาด”
ซ่งชูอีผลักเขาไปข้างๆ ด้วยความรังเกียจ “ไปปัดทางโน้น”
เมื่อเทียบกับนครหลวงเก่าเช่นลี่หยาง เสียนหยางดีกว่าหลายเท่า มิได้มีฝุ่นตลบเช่นนี้ตลอดเวลา เพียงแค่ฤดูฝนน้ำน้อย อากาศจึงค่อนข้างแห้ง
หยางเฉิงที่ซ่งชูอีอาศัยในอดีตตั้งอยู่ไม่ไกลจากเสียนหยาง นางใช้เวลาส่วนหนึ่งอยู่ในเสียนหยางแห่งรัฐฉิน และประสบการณ์ส่วนใหญ่ของนางก็อยู่ในดินแดนหล่งซี นางพาทุกคนไปยังร้านตีเหล็กแห่งหนึ่งที่ซ่อนตัวอยู่ในตรอกลึกตามความทรงจำในชาติที่แล้ว
ครั้นทุกคนเข้าไปในลานเล็กๆ ก็เห็นผู้ชายเจ็ดแปดคนกำลังตีเหล็กด้วยท่อนบนเปลือยเปล่า สายตาของซ่งชูอีอ้อยอิ่งอยู่ที่หนึ่งในชายหนุ่มที่มีรูปร่างแข็งแรงล่ำสัน
ชายผู้นั้นรู้สึกได้ถึงสายตาของซ่งชูอี ชายตามองนางครู่หนึ่ง แล้วหันหน้าตะโกนเข้าไปในบ้าน “นายท่าน มีลูกค้ามาแล้ว!”
ไม่ช้าก็มีชายชราศีรษะขาวโพลนถือไม้เท้าเดินออกมาจากในบ้านอย่างช้าๆ ลืมเปลือกตาหย่อนคล้อยมองดูพวกเขา “ท่านลูกค้าต้องการตีของแบบใด?”
ซ่งชูอีประหลาดใจเล็กน้อย ชายชราผู้นี้แก่ไม่ต่างจากสิบปีให้หลังเลย! นางประสานมือคารวะ พ่นสองคำออกมาแผ่วเบา “ดาบคม”
“ท่านลูกค้ามาผิดที่แล้ว ข้าผู้เฒ่าเพียงตีสิ่งของธรรมดาที่นี่ สามารถตีดาบก็ได้ ทว่าจะคมหรือไม่นั้นไม่กล้ารับประกัน” ชายชรายืนอยู่หน้าประตู มิได้มีความตั้งใจจะเชื้อเชิญพวกเขาเข้าไปในบ้าน
ซ่งชูอีโน้มตัวไปข้างหน้า พูดเสียงเบา “ข้าจ่ายสองเท่า ที่ข้าน้อยยังมีสูตรลับของสุราโหวเอ๋อมอบให้ ท่านว่าเยี่ยงไร?”
ชายแก่เหล่ตา สำรวจซ่งชูอีครู่หนึ่ง “ข้าผู้เฒ่าจะลองทำสิ่งที่เกินความสามารถดู”
พูดจบก็หันหลังเข้าบ้านไป ซ่งชูอีเรียกให้จี๋อวี่และคนอื่นๆ ตามเข้าไป
ชิ้นส่วนเหล็กและทองแดงรูปทรงต่างๆ กองเต็มอยู่นอกบ้าน แทบจะไม่มีพื้นที่ให้เหยียบย่ำ ครั้นเข้าประตูเล็กไปก็มีแสงสว่างไหวขึ้นฉับพลัน ภายในบ้านสดชื่นสะอาดตา ไม่มีการตกแต่งใดๆ มันเป็นบ้านไม้ที่มีม่านไม้ไผ่และที่นั่งไม่กี่ที่
ภายในบ้านมีกลิ่นหอมเบาบาง เงยหน้าขึ้นก็สามารถมองเห็นดอกเหมยบานสะพรั่งอยู่ด้านนอก ที่แท้นี่ก็คือสองลานที่เชื่อมต่อกัน!
สายลมหนาวพัดผ่าน ซ่งชูอีตัวสั่น
“นั่งตามสบาย” หลังจากชายชรานั่งลงแล้วก็ผายๆ มือ
คนอื่นยังสามารถหาตำแหน่งอับลมได้ ทว่าเพราะซ่งชูอีต้องการคุยกับชายชราจึงทำได้เพียงนั่งอยู่ในสายลมกับเขา
“สูตรล่ะ” ชายชรากล่าว
ซ่งชูอียิ้มน้อยๆ เอ่ย “ของสำคัญเช่นนี้จะเขียนได้ที่ไหนกัน มันอยู่ในนี้ต่างหากเล่า” ซ่งชูอีชี้ไปที่ศีรษะของตัวเอง
ชายชราพยักหน้าเล็กน้อย “มีเหตุผล เจ้าต้องการดาบชนิดใด?”
“ข้าน้อยต้องการดาบคมขนาดสี่โข่วสามฉื่อ และดาบสั้นความยาวเท่าแขนเสื้อ ข้าน้อยไม่เข้าใจเรื่องดาบ ท่านผู้เฒ่าทำตามความเหมาะสมเถิด” ซ่งชูอีรู้ดีว่าปรมาจารย์ตีดาบผู้นี้ไม่ชอบให้ผู้อื่นมาเจ้ากี้เจ้าการ
ชายชราอดไม่ได้ที่จะลืมตาเหี่ยวห้อยของตน มองดูซ่งชูอีอย่างละเอียด จิ๊ๆ ปาก เอ่ยว่า “เจ้าเด็กคนนี้ รู้ความชอบของข้าได้แม่นยำเพียงนี้ หรือว่าเป็นคนรู้จัก?”
“บิดาของข้าเป็นนักดูดาว” ซ่งชูอีเอ่ย
ชายชราครุ่นคิดครู่หนึ่ง เอ่ยขึ้น “อืม ข้าจำได้ ได้ยินว่าอดตายเมื่อสองสามปีก่อน”
ดีเลวอย่างไรก็เป็นคนรู้จักกัน จะพูดจาให้อ่อนหวานกว่านี้มิได้หรือ? ซ่งชูอีกระตุกมุมปากยิ้ม “เป็นเรื่องเมื่อสิบกว่าปีก่อนแล้ว”
การแพร่กระจายของข่าวสารในยุคนี้ล้วนเป็นเช่นนี้ บิดาของซ่งชูอีมิใช่คนมีชื่อเสียง ด้วยเหตุนี้จึงมีเพียงบางคนที่คุ้นเคยที่จะกล่าวถึงเขาไม่กี่ประโยคเท่านั้น คุยไปคุยมาก็ผ่านมาหลายปีแล้ว ความน่าเชื่อถือของข่าวนั้นก็ยากจะรับประกัน
“เช่นนี้นี่เอง ผู้ที่ปล่อยข่าวนี้ พิลึกพิลั่นไร้คุณธรรม” ชายชราถอนหายใจ จากนั้นก็พูดต่อ “เรื่องที่ว่าหิวโซจนตายนั้นน่าขายหน้านัก แต่ก็ยังปล่อยข่าวส่งเดชไปทั่ว”
หลงกู่ปู้วั่งคิดในใจ ตาแก่ผู้นี้กล้าด่าผู้อื่นและแม้กระทั่งด่าตัวเอง ภายในบ้านมีคนมากมาย เขาเอ่ยออกมาอย่างไม่มีสิ่งใดขัดขวางเช่นนี้ก็เป็นการปล่อยข่าวส่งเดชมิใช่หรือ!
ที่จริงคนที่อดตายบนโลกใบนี้มิได้มีเพียงบิดาของซ่งชูอี เพียงแต่ว่าด้วยสถานะของนักดูดาวก็นับว่ามีทักษะติดตัว แต่กลับอดตายทั้งเป็น ในยุคที่บัณฑิตผู้มีความสามารถผสมผสานกันมากที่สุดนี้ นอกเสียจากจะสามารถพิสูจน์ได้ว่าเป็นผู้เก่งกาจก็แสดงให้เห็นว่าความสามารถของเขาแย่มากเท่านั้น
หลงกู่ปู้วั่งลอบคิดในใจ เขาให้กำเนิดบุตรเยี่ยงอาจารย์ได้เยี่ยงไรกัน?
“อีกครึ่งเดือนมารับดาบเถิด” ชายชรากล่าว
“ท่านผู้เฒ่า ข้าน้อยรีบเดินทาง เจ็ดวันมารับได้หรือไม่?” ซ่งชูอีเอ่ยถาม
ชายชราสอดมือไว้ในแขนเสื้อ จ้องนางไม่พูดจา
“เพิ่มสูตรของสุราดอกเหมย” ซ่งชูอีกล่าว
“……”
“สุราต้วนฉาง!” ซ่งชูอีดกัดฟันกล่าว
ชายชรากลืนน้ำลายเอ่ย “ฟังดูเป็นสุรารสร้อนแรง”
ซ่งชูอีเอ่ย “นั่นมันแน่อยู่แล้ว สามจอกลงท้อง รับประกันได้ว่าเมาสามวันสามคืน”
“มาๆๆ เขียนสูตร” ไม่รู้ว่าชายชราหยิบแผ่นไม้ไผ่กับหมึกมาจากตรงไหนวางไว้บนโต๊ะ
ซ่งชูอีแอบกลอกตา ยื่นมือที่หนาวสั่นออกมาหยิบพู่กัน เขียนสามสูตรสุราด้วยความรวดเร็ว
หลังจากบรรลุข้อตกลง ทุกคนก็ถูกผลักให้ออกไปตามถนนเดิม ชายชราถือสูตรไปทดลองด้วยความเปรมปรีย์ยิ่งแล้ว
“อาจารย์ เจ็ดวันสามารถรับดาบได้จริงหรือ?” หลงกู่ปู้วั่งไม่เชื่อเล็กน้อย ดาบที่ถูกตีเสร็จภายในเจ็ดวันจะสามารถเป็นอาวุธที่คมได้หรือเปล่า?
ซ่งชูอีเอ่ย “เขามีดาบชั้นดีจำนวนมาก ไม่จำเป็นต้องมีการหล่อพิเศษ ทว่านิสัยของชายชรานั้นประหลาด ไม่ต้องการทำข้อแลกเปลี่ยนทันที”
“สำเนียงหล่งซีของท่านยอดเยี่ยมมาก” แม้นจี๋อวี่พูดภาษาฉินไม่เป็น ทว่าแยกแยะออก
ซ่งชูอีหัวเราะเบาๆ เอ่ย “เจ้ารู้ว่าข้าพูดได้มากกว่าภาษาฉิน เหตุใดจึงไม่ชมข้าก่อนหน้านี้?”
หลงกู่ปู้วั่งมิใคร่สนใจเรื่องนี้มากนัก เพียงแต่ถาม “อาจารย์ ดาบสี่โข่วที่ว่านั้นมอบให้ข้าหรือ?”
“เดิมทีต้องการสั่งพิเศษให้พวกเจ้า ดาบที่ร้านนี้ตี แม้นไม่เทียบเท่าหลงยวนหรือไท่อา ทว่าเป็นดาบล้ำค่าที่หาได้ยากยิ่งแน่นอน พวกเขาไม่เคยขายใครง่ายๆ จนถึงบัดนี้ดาบล้ำค่าที่ขายออกไปยังมีไม่ถึงร้อยเล่ม บิดาของข้าเคยให้สูตรสุราแก่เถ้าแก่ เขาจึงยอมตกลงรับปากเพราะความสัมพันธ์นี้” ซ่งชูอีกล่าว
สิ่งของที่ผู้อื่นร้องขอเท่าใดก็ไม่ได้ ครั้นมาถึงซ่งชูอีกลับง่ายเหมือนอยู่ปลายนิ้ว ที่จริงเพียงเพราะซ่งชูอีรู้ว่านางสามารถทำให้ชายชราชอบใจได้ นางจะไม่ยอมแพ้ในสิ่งที่นางเคยครอบครองในชาติก่อน
จี๋อวี่นิ่งไป รู้สึกว่าตัวเองใช้ความคิดของวายร้ายตัดสินหัวใจของสุภาพบุรุษ ซ่งชูอีขอดาบชั้นเยี่ยมให้พวกเขา ทว่าเมื่อครู่เขากลับสงสัยนาง
ซ่งชูอีลอบมองใบหน้าจี๋อวี่ด้วยหางตา เลิกคิ้วเล็กน้อย
นางเข้าใจความรู้สึกนึกคิดของจี๋อวี่นานแล้ว ทว่ารู้ว่าเขาจิตใจแน่วแน่ ตราบใดที่เป็นเรื่องจริงจัง เขาจะไม่หวั่นไหวเพียงเพราะคำพูดสองสามคำอย่างแน่นอน ด้วยเหตุนี้จึงจงใจพูดด้วยสำเนียงหล่งซีเพื่อกระตุ้นให้เขาสงสัย จากนั้นก็ปล่อยให้เขารู้สึกว่าแท้จริงแล้วนางใช้ความพยายามไปอย่างมาก
ซ่งชูอีใช้เคล็ดลับเล็กๆ นี้มาตลอดทาง แม้นมันอาจใช้ไม่ได้ผลกับคนทุกคน ทว่ามันใช้ได้ผลกับคนเช่นจี๋อวี่ที่สุดแล้ว
…………………………