กุนซือหญิงยอดอัจฉริยะ - บทที่ 83 ใบหน้าหล่อเหลาในงานเลี้ยง
สีหน้าของหลงกู่ปู้วั่งเขียวคล้ำ หากที่นี่มิใช่พระราชวังฉิน เขาก็คงคำรามออกไปนานแล้ว แม้นรู้ว่าครั้นโมโหจะทำให้ซ่งชูอีได้ใจ ทว่ามันก็ง่ายต่อการบาดเจ็บภายในนัก
นั่งอยู่ครู่หนึ่งก็มีสาวใช้พาทุกคนเข้าวัง
อาคารรอบพระราชวังถูกสร้างอย่างแน่นหนา ด้วยเหตุนี้แม้นข้างนอกมีหิมะตกหนัก ทว่ากลับไม่มีลมและไม่หนาวมากนัก เมื่อออกมาจากห้องโถงย่อยและเลี้ยวลดคดเขี้ยวอยู่ราวๆ เวลาสองถ้วยน้ำชา ในที่สุดก็มาถึงห้องโถงใหญ่ที่ซึ่งจัดงานเลี้ยง
“ท่านราชทูตเว่ย์มาถึงแล้ว!” ขันทีนอกห้องโถงรายงานเสียงดัง
มีสาวใช้พาจื่อเฉา จี๋อวี่และคนอื่นๆ ไปยืนรวมกับผู้อารักขาและสาวใช้คนอื่นใต้กำแพงตะวันตกของห้องโถงใหญ่ หลงกู่ปู้วั่งนั่งข้างซ่งชูอีที่โต๊ะเดียวกัน
บัดนี้บรรดาขุนนางรัฐฉินมากันครบแล้ว ทันทีที่ซ่งชูอีเข้ามา บ้างก็ประสานมือคารวะไม่ก็พยักหน้าเป็นการทักทาย
ซ่งชูอีมากจากรัฐเล็ก อีกทั้งอายุก็น้อยมาก แม้แต่หลงกู่ปู้วั่งข้างกายนางก็อายุน้อยมากเช่นกัน ฉะนั้นทุกคนจึงมิได้ใส่ใจเท่าใดนัก เพียงแต่ในใจอยากรู้เหลือเกินว่า ท่านจวินเรียกนางไปเข้าเฝ้าเป็นการส่วนตัวด้วยเรื่องใด
แม้นอยากรู้อยากเห็น แต่เนื่องด้วยหวาดกลัวความดุดันของอิ๋งซื่อ จึงไม่มีใครกล้าถามตามอำเภอใจ
สุราและอาหารหลากสีสันถูกวางเรียงรายอยู่บนโต๊ะแล้ว สาวใช้เติมน้ำชาอย่างขะมักเขม้น
“อาจารย์” หลงกู่ปู้วั่งเปิดปากต้องการเอ่ยอะไรบางอย่าง แต่กลับถูกซ่งชูอียกมือน้อยๆ ปรามไว้
นางเอนกายเข้าหาเขาเล็กน้อย พูดเสียงกระซิบ “มองดูรอบๆ”
หลงกู่ปู้วั่งหันมองรอบหนึ่ง ก็พบกับแววตาประหลาดใจและเปี่ยมด้วยข้อกังขาจำนวนมาก ทันใดนั้นเข้าใจเหตุผลที่ซ่งชูอีไม่ปล่อยให้เขาพูด บรรดาขุนนางฉินเหล่านั้นดูเหมือนกำลังสนทนากันเอง แต่ที่จริงแล้วความสนใจทั้งหมดอยู่ที่พวกเขา
ในท้องพระโรงฉินกงมิได้ให้โอกาสซ่งชูอีได้แสดงออก ไม่มีใครรู้ว่านางทำงานเป็นเยี่ยงไร ครั้นหลงกู่ปู้วั่งเรียกว่า “อาจารย์” ทำให้ทุกคนต้องมองซ่งชูอีใหม่อีกครั้ง
พวกเขาเห็นการแสดงออกของหลงกู่ปู้วั่ง รู้ว่าพวกเขารู้แล้วว่ากำลังถูกแอบมองอยู่ ด้วยเหตุนี้ไม่จงใจหลบซ่อนอีกต่อไป
ต้าฟูหน้าเหลี่ยมอายุสี่สิบกว่าข้างๆ ซ่งชูอีท่านหนึ่งประสานมือกล่าวกับนาง “ได้ข่าววว่ารัฐเว่ย์มีผู้เก่งกาจมากมาย วันนี้เห็นกับตาสมคำล่ำรือจริงๆ ท่านราชทูตอายุยังน้อยได้เป็นถึงอาจารย์ น่านับถือโดยแท้”
“ใต้เท้าชมเกินไปแล้ว ขงจื่อกล่าวว่า สามคนร่วมเดินทาง ย่อมมีสิ่งให้เรียนรู้ การที่ข้าน้อยเป็นอาจารย์ของเขาได้ ก็เพียงเพราะเหตุนี้” ซ่งชูอียิ้มพร้อมคำนับกลับ
คนคนนั้นกำลังจะพูดอะไรบางอย่าง ก็ได้ยินขันทีรายงานเสียงสูง “ฝ่าบาทเสด็จ”
ทุกคนยืดตัวตรง
ซ่งชูอีเห็นว่าผมของอิ๋งซือดูเหมือนยังเปียกชื้นอยู่และเปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อยแล้ว คิดในใจ ฉินกงผู้นี้ไม่เพียงกระทำการว่องไว แม้แต่การอาบน้ำก็ยังว่องไว ไม่รู้ว่า…ใบหน้าของซ่งชูอีผุดความเจ้าเล่ห์น้อยๆ ที่ยากจะสังเกตเห็น
จื่อเฉาอดไม่ได้ที่จะเงยหน้าลอบมอง ตำแหน่งที่นางอยู่นั้นไกลเกินไป แสงที่อยู่ใกล้กับพระที่นั่งหลักก็ไม่ดีนัก สามารถเห็นได้เพียงภาพรวม ถึงกระนั้นก็สามารถสรุปได้ว่าฉินกงเป็นหนุ่มรูปงามที่หาได้ยากยิ่งตามที่ซ่งชูอีกล่าว ทว่าในขณะเดียวกัน บุคลิกและความเยือกเย็นที่น่าเกรงขามเช่นนั้นก็ทำให้จื่อเฉาไม่รู้สึกว่าเขาน่าสนใจเลย
“ถวายบังคมฝ่าบาท” บรรดาขุนนางสะบัดแขนเสื้อ ถวายคำนับยาวนาน
“ไม่ต้องมากพิธี” อิ๋งซือนั่งลง ยกมือขึ้นเล็กน้อย ขันทีโค้งตัวรับคำสั่งทันที
“เริ่มกันเถิด” เขากล่าว
ขันทีตอบรับเสียงหนึ่ง ลุกขึ้นเอ่ยเสียงสูง “งานเลี้ยงเริ่มได้ ดนตรี”
นักดนตรีทั้งสองฝั่งเริ่มเล่นบรรเลงทันที บรรยากาศของเพลงที่ไพเราะฟังสบายดังขึ้น บทเพลงแรกนี้เป็นเวลาที่หากราชทูตมีของกำนัลจะทูลถวายก็สามารถทำได้ หากไม่มีก็สามารถมาร่วมสนุกด้วยกัน
ซ่งชูอีลุกขึ้นยืนตัวตรง ประสานมือคำนับ เอ่ยขึ้น “เพื่อเป็นการแสดงความยินดีที่ฉินกงขึ้นครองราชย์ ท่านจวินสั่งให้กระหม่อมถวายของล้ำค่าสามสิ่งให้กับฉินกง”
ของล้ำค่าสามสิ่ง? แววตาของทุกคนสนอกสนใจ
“เพี๊ยะ! เพี๊ยะ!” หลงกู่ปู้วั่งปรบมือ
จี๋อวี่ยื่นกล่องหยกหรูขนาดกว้างสี่ชุ่นยาวสามฉื่อให้จื่อเฉา จื่อเฉาตัวสั่นเทาเล็กน้อย รีบยื่นมือรับไว้ กัดฟัน เอาผ้าคลุมหน้าลง เดินอ้อมผ่านผู้คนมากมายพร้อมกล่องหยกอยู่ในมือ เยื้อย่างจากจุดที่อยู่ตรงกลางที่สุดไปยังจุดที่ห่างจากพระที่นั่งหลักเพียงสองจั้งอย่างสง่างามและแผ่วเบา นางถวายคำนับแต่มิได้ยกกล่องขึ้นเหนือศีรษะเหมือนการทูลถวายสิ่งของทั่วไป
ตามที่ซ่งชูอีบอก หากเป็นการยกขึ้นเหนือศีรษะก็เท่ากับเป็นการบอกทุกคนว่าพวกเขาต้องการทูลถวายสิ่งของที่อยู่ภายในกล่อง ทว่าหากประคองกล่องอยู่ในอ้อมอก แววตาของผู้คนส่วนใหญ่ก็จะมุ่งเน้นไปที่จื่อเฉา
“รัฐเว่ย์ต้องการทูลถวายสิ่งของเหล่านี้ให้กับฉินกง” ซ่งชูอีกล่าว
อิ๋งซื่อไม่ได้แสดงอาการมากนัก สายตามองไปที่จื่อเฉา “เข้ามาใกล้ๆ”
น้ำเสียงเย็นเยียบไร้อารมณ์นั้นทำให้หัวใจของจื่อเฉากระดอนขึ้นมาถึงลำคอจนหายใจไม่ออก ทว่าอย่างไรก็ตามนางเป็นถึงหญิงผู้สูงศักดิ์ นี่เป็นเพียงปฏิริยาตอบสนองต่อพลังงานอันยิ่งใหญ่ของอิ๋งซื่อก็เท่านั้น นางไม่ประหม่ากับสถานการณ์เช่นนี้เลย ยังคงเดินไปหน้าไม่ไกลด้วยย่างก้าวที่มั่นคง แล้วถอนสายบัวห่างจากอิ๋งซื่อออกไปเจ็ดฉื่อ
“ท่านราชทูตกล่าวว่า ของล้ำค่ามีสามสิ่งมิใช่หรือ?” ชิงต้าฟู่ท่านหนึ่งหัวเราะถาม
ซ่งชูอีเอ่ย “นี่คือบุตรีจากตระกูลบัณฑิตในรัฐเว่ย์ รูปลักษณ์โดดเด่นไร้ผู้เปรียบ รู้กาพย์กลอน รู้หนังสือ รู้มารยาท เข้าใจบทเพลงและการฟ้อนรำ ถนัดเดินหมากมีฝีมือวาดภาพ เรียกได้ว่าเป็นสาวงามแห่งรัฐเว่ย์ กล่องหยกในมือนางนั้น คือหยกหยางจือชั้นดีทั้งชิ้น โปร่งใสหมดจด ไร้ตำหนิ เจียระไนอย่างพิถีพิถันโดยช่างฝีมือมากทักษะยาวนานกว่าครึ่งปี นี่คือของล้ำค่าสิ่งที่สอง สิ่งของที่อยู่ในกล่องนั้น…คือหนึ่งเดียวในใต้หล้า นี่คือสิ่งที่สาม”
รูปลักษณ์ของจื่อเฉาไม่ถึงกับเป็นสาวงาม ทว่านางเป็นหญิงสูงศักดิ์ รู้หนังสือ เข้าใจในความสง่างาม อีกทั้งยังมีหน้าตาตราตรึงใจถึงเพียงนี้ ผู้หญิงคนเดียวที่มีทั้งสถานะ ปัญญา และรูปโฉมโสภานั้นหาได้ยากอย่างแท้จริง
“ฝากขอบพระทัยเว่ย์โหวแทนกว่าเหรินด้วย” อิ๋งซื่อกล่าว
วาจาเช่นนี้เท่ากับรับของกำนัลไว้แล้ว
รอยยิ้มผุดขึ้นในแววตาของซ่งชูอี ประสานถือถวายคำนับเอ่ย “กระหม่อมจะกราบทูลแน่นอน”
จื่อเฉาหลุบตาลง ปราดสายตามองต่ำไปยังซ่งชูอี น้ำตาเอ่อล้นในดวงตา ฉินกงหล่อเหลา ใจของนางนั้นชอบอยู่แล้ว ถึงอย่างไรก็ดีกว่าการปรนนิบัติชายชราไม้ใกล้ฝั่งหลายพันหลายหมื่นเท่า ทว่าหากเทียบกับความอ่อนโยนและอารมณ์ขบขันของซ่งชูอีแล้ว ฉินกงเปรียบดังดวงดาวหนาวเหน็บบนท้องนภา ดุจน้ำแข็งที่ไม่มีวันละลายบนยอดเขาหมื่นปี สูงเกินไปเย็นชาเกินไป ทำได้เพียงมองดูแต่ไม่อาจแตะต้อง นางกลัวเขาจากก้นบึ้งของหัวใจ
ขันทีก้าวเข้ามาพาจื่อเฉาจากไป
ซ่งชูอีใช่ว่ามองไม่เห็นน้ำตาของจื่อเฉา ทว่านางทำได้เพียงถอนหายใจอยู่ในใจเท่านั้น หากนางเป็นผู้ชาย ก็คงไม่ตัดสินใจส่งจื่อเฉาออกไปภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ อีกทั้งก็มองผู้ที่มีทิฐิสูงเช่นฉินกงไม่ออกว่ามีความสนใจในสาวงามมากเพียงใด เพียงแต่นางถูกลิขิตให้ไม่ตอบสนองต่อความรักของจื่อเฉา การทำเช่นนี้ก็เท่ากับได้หาที่พักพิงอย่างดีให้กับจื่อเฉาแล้ว
การทูลถวายของกำนัลผ่านพ้น งานเลี้ยงก็เริ่มขึ้นอย่างเป็นทางการ
บทเพลงเต้นรำดังขึ้น สางงามเอวบางร่างน้อย ไม่ว่าจะยกแขนหรือหันหลังล้วนงามหยดชดช้อย ซ่งชูอีชมด้วยรอยยิ้มแห่งความปิติยินดี
หลังจากจบไปสองบทเพลง นางหยิบสุราขึ้นมาจิบ ชายตามองไปยังพระที่นั่งหลัก
ตรงแสงไฟสลัวนั้น อิ๋งซื่อสวมชุดจีนสีดำ เอนกายพิงอยู่บนที่พักแขน มือข้างหนึ่งเท้าศีรษะ ใบหน้าครึ่งหนึ่งซ่อนเร้นอยู่ในเงามืด เงียบเชียบจนแทบไม่เข้ากับงานเลี้ยงครึกครื้นเช่นนี้
ซ่งชูอีมองอยู่ครู่หนึ่ง นางกล้าพนันได้เลยว่าอิ๋งซื่อกำลังหลับ!
เมื่อถึงครึ่งหลังของงานเลี้ยง ซ่งชูอีจะมองเขาเป็นครั้งคราว ผ่านไปประมาณครึ่งชั่วยาม ชายผู้นี้ก็มิได้เปลี่ยนท่วงท่าเลย ส่วนเหล่าขุนนางต่างคุ้นชินแล้ว เพราะแม้นเขามิได้หลับก็มักจะเป็นเช่นนี้
งานเลี้ยงใกล้เลิกแล้ว สาวใช้ข้างกายอิ๋งซื่อก้าวมารินสุรารสเลิศในจอกของเขาจนเต็ม เขาขยับตัวเล็กน้อย คล้ายจะอ้อยอิ่งอยู่ครู่หนึ่งก่อนนั่งตัวตรง
ท่านราชครูกล่าวคำขอบคุณแขกเหรื่อสองสามประโยค อิ๋งซื่อยกจอกขึ้น ในน้ำเสียงมีความแหบแห้งหลังจากนอนหลับเล็กน้อย “งานเลี้ยงใกล้เลิกแล้ว ดื่มให้หมดจอก!”
ทุกคนส่งเสียงเห็นด้วยครั้งแล้วครั้งเล่า จากนั้นก็ยกแขนเสื้อขึ้นปิดเบาๆ เงยศีรษะดื่มรวดเดียวจนหมด
ซ่งชูอีลอบด่าในใจ ช่างรู้จักตัดช่องน้อยแต่พอตัวจริงๆ งานเลี้ยงใหญ่โต กล่าวเริ่มงานไม่กี่คำและกล่าวปิดท้ายไม่กี่คำ ระหว่างนั้นก็หลับ! ทว่านอกเหนือจากการวิจารณ์งานเลี้ยงแล้วก็กินดื่มอย่างดี อีกทั้งยังมีการเต้นรำที่งดงาม นางค่อนข้างมีความสุขทีเดียว
งานเลี้ยงเลิกรา ทุกคนต่างทยอยกลับ
ซ่งชูอีกำลังพูดคุยกับต้าซือสองสามคน สามารถจับบทสนทนาของผู้คนรอบข้างได้เป็นครั้งคราว
“ท่านคิดว่าสมควรเติมเต็มวังหลังให้ฝ่าบาทได้แล้วหรือไม่?”
“ใช่ใช่ จะให้สาวชาวเว่ย์ยึดครองเพียงผู้เดียวมิได้ดอก!”
“นั่นสิ ฝ่าบาทอายุสิบเก้า เริ่มเป็นหนุ่มวัยยี่สิบแล้ว ได้เวลาเสียที…”
ซ่งชูอีอุทานในใจ “แม่งเอ๊ย วังหลังของอิ๋งซื่อไม่มีใครจริงหรือ?”
อย่างไรก็ดีเมื่อคิดดูแล้วก็ไม่แปลก จักรพรรดิแห่งรัฐฉินไม่ค่อยให้ความสนใจในการเติมเต็มวังหลัง อิ๋งซื่อถูกเนรเทศไปยังภูเขาเป็นเวลาหกเจ็ดปีเนื่องจากละเมิดกฎหมายใหม่เมื่อครั้งยังเป็นวัยรุ่น จนกระทั่งเซี่ยวกงเสด็จสวรรคต จึงเรียกเขากลับมาขึ้นครองราชย์
ดูจากวิธีการและความรู้ของอิ๋งซื่อแล้ว คาดว่าน่าจะเป็นผลพวงมาจากการตัดสินใจที่จะแสวงหาความรุ่งเรืองอย่างมุ่งมุ่นในช่วงที่ถูกเนรเทศ อีกทั้งด้วยศักด์ศรีของเขา เขาจะไม่ยอมเสพสมกับสาวชาวชนบทพร่ำเพรื่อ เขาขึ้นครองราชย์ได้ไม่นาน วุ่นวายกับการกุมอำนาจ สังหารซางยาง หรือแม้แต่เป็นบุรุษที่หลับในงานเลี้ยงด้วยซ้ำ หากสนใจในหญิงสาวต่างหากจึงจะเป็นเรื่องแปลก
หิมะโปรยปราย
ไฟในห้องบรรทมของอิ๋งซื่อยังคงสว่างอยู่
ที่หน้าโต๊ะ บุรุษในชุดดำเอนกายพิงอยู่บนที่พักแขน ผมดกดำที่เปียกเล็กน้อยปล่อยสยายอยู่ด้านหลัง มือที่เรียวยาวและทรงพลังถือสมุดไม้ไผ่ ลักษณะของเขาในตอนนี้ ไม่ใช่ภาพลักษณ์เคร่งขรึมที่แสดงต่อบุคคลภายนอก หากเป็นความเกียจคร้านระคนความอ่อนล้า
แสงไฟในอ่างเผาฟืนยิ่งสะท้อนให้เห็นอารมณ์คลุมเครือบนใบหน้าหล่อเหลาของเขา สีหน้าที่อ่อนโยนยังคงไม่อาจลบล้างความเยือกเย็นในแววตาของเขา
ไม่รู้ว่าเขาอยู่ในท่านี้นานแค่ไหน จนกระทั่งคนรับใช้ในวังเข้ามาเอ่ยว่า “ฝ่าบาท บัดนี้ยามจื่อ[1]แล้ว ได้เวลาพักผ่อนแล้วพะยะค่ะ”
“อืม” อิ๋งซื่อตอบรับ จากนั้นก็เอ่ยขึ้น “นำของที่รัฐเว่ย์มอบให้วันนี้เข้ามา”
คนรับใช้นิ่งไปครู่หนึ่ง ดึกดื่นป่านนี้…คงมิได้เรียกผู้หญิงมาทำเรื่องอย่างว่ากระมัง? ความคิดผ่านวูบ คนใช้ค้อมคำนับเอ่ย “นำของล้ำค่าทั้งสามสิ่งเข้ามาหรือพะยะค่ะ?”
“กล่องหยก” อิ๋งซื่อม้วนสมุดไผ่ โยนไปที่กล่องหนังสือทางซ้ายมือ
เนื่องจากคนรับใช้ในวังปรนนิบัติใกล้ชิดหลายเดือน บัดนี้จึงค่อยๆ คุ้นเคยกับอารมณ์ของท่านจวิน เขาดูน่ากลัว ทว่าที่จริงอารมณ์มิได้ดุร้ายปานนั้น อย่างน้อยก็ไม่เคยระบายอารมณ์กับเหล่าคนรับใช้เช่นพวกเขา และแม้ว่าพูดน้อยแต่ว่าเถรตรงมาก
อย่างไรก็ดี ท่านจวินโปรดปรานคนฉลาด ไม่พอใจก็จะส่งตัวออกไปทันที หากกระทำผิดพลาดใหญ่หลวงก็ฆ่าโดยได้ความปรานี บัดนี้ผู้ที่สามารถอยู่หลงเหลืออยู่ล้วนเป็นผู้จงรักภักดี
จากนั้นไม่นาน คนรับใช้ในวังก็นำกล่องหยกเข้ามาถวาย
อิ๋งซื่อคล้ายกับไม่สนใจนักชิ้นหยกฝีมือปราณีตนี้นัก ทันทีที่เปิดกล่องออกก็เห็นสมุดไผ่เล่มหนึ่งและหนังแกะสามผืนอยู่ข้างใน พลันยื่นมือหยิบมันออกมา
…………………………
[1] ยามจื่อ คือ 23.00 – 24.59 น.