กุนซือหญิงยอดอัจฉริยะ - บทที่ 86 ความว่างเปล่าบนแผนที่
ซ่งชูอีเรียกสาวใช้นางหนึ่งเข้ามาช่วยไป๋เริ่นเล็มขนส่วนที่ถูกเผาอย่างระมัดระวังด้วยกรรไกรอันเล็ก ส่วนนางใช้ขนอ่อนพันรอบตัว นั่งลงตรงหน้ากระดานหมากรุกที่เล่นกับตัวเองในตอนเช้า หลุบตาลงมองปราดหนึ่ง แล้วนำตัวหมากสองสามอันกลับไปวางไว้ตำแหน่งเดิม
หลงกู่ปู้วั่งรู้สึกอึ้งในใจ เขาแอบย้ายที่ตัวหมากบางตัว แต่นางกลับหาเจอทั้งหมด!
“อาจารย์!” หลงกู่ปู้วั่งเห็นท่าทีสบายใจของซ่งชูอี รู้สึกผิดหวังเล็กน้อย “ท่านบอกว่าจะลงโทษไป๋เริ่น เหตุใดจึงไม่ลงโทษ”
“ใช่แล้ว” ซ่งชูอีวางหมากสีขาวอันหนึ่ง ครุ่นคิดก่อนเอ่ยขึ้น “ข้าเคยกล่าวเช่นนี้ แต่ว่าหลังจากที่ข้าคิดอย่างละเอียดแล้ว จะไปถือโทษกับสัตว์ป่าตัวน้อยทำไมกัน? มันเป็นการดูแคลนตัวเองเกินไป! ทว่าหากเจ้าต้องการคิดบัญชีกับมัน ข้าก็จะไม่ดูถูกเจ้าหรอก”
ไหนๆ ก็พูดถึงขั้นนี้แล้ว หลงกู่ปู้วั่งจะยังสั่งสอนไป๋เริ่นได้อย่างไร! ในใจเกิดโทสะ กล่าวด้วยความโมโห “เช่นนั้นท่านก็ผิดคำพูดต่อข้า?”
ซ่งชูอีนิ่งไปครู่หนึ่ง หมุนตัวสะบัดแขนเสื้อ โค้งคำนับหลงกู่ปู้วั่งยาวนาน “อาจารย์ยังเยาว์เกินไป วู่วามไปหน่อย ไม่ควรรับปากเจ้าส่งเดช ข้าต้องขอโทษเจ้าแล้ว”
“ช่างเถอะ!” หลงกู่ปู้วั่งลุกขึ้นจากไป เขาไม่รู้สึกว่ากำลังเอาเปรียบซ่งชูอีจากการคำนับขอโทษของนางเลย ยังเยาว์อะไรกัน วู่วามอะไรกัน ใครไม่เยาว์ ใครไม่วู่วามบ้าง!
หลังจากไป๋เริ่นตัดเล็มขนเสร็จแล้ว ขนก็หายไปส่วนหนึ่งและความดุร้ายก็ดูลดลงไปเล็กน้อย ซ่งชูอียื่นมือเชิดหน้าหมาป่าของมันขึ้นมาสำรวจครู่หนึ่ง โพล่งหัวเราะออกมา “ดูเขลาจริงๆ ฮาฮาฮา!”
ดวงตาดุจถั่วดำของไป๋เริ่นยิ่งดูไร้เดียงสาอย่างเห็นได้ชัด ครั้นเห็นเจ้านายหลุดหัวเราะเช่นนี้ ก็ปีนขึ้นมาบนตักของนางพร้อมครางด้วยความน้อยใจ
“ไป๋เริ่นเอ๋ย เจ้าเป็นหมาป่า…” ซ่งชูอีลูบหัวของมัน รู้สึกว่ามันเป็นเหมือนที่หลงกู่ปู้วั่งกล่าวจริงๆ ไป๋เริ่นถูกนางเลี้ยงจนเหมือนกับลูกหมาตัวหนึ่ง นอกจากขนาดและรูปลักษณ์ที่ทรงพลังแล้ว ไร้ความดุร้ายของหมาป่าโดยสิ้นเชิง บัดนี้ขนยังหายไปส่วนหนึ่ง ท่าทางงี่เง่าเช่นนี้ยิ่งดูไม่เหมือนหมาป่าเลย
ซ่งชูอีพิจารณากระดานหมากอยู่ครู่หนึ่ง พลันได้ยินเสียงดังฉึกๆ มาจากในลาน จึงเรียกสาวใช้เข้ามา “ข้างนอกมีอะไรหรือ?”
“เรียนท่านราชทูต ท่านผู้ช่วยหลงกู่กำลังผ่าฟืนเจ้าค่ะ เมื่อครู่เขาสั่งให้คนนำฟืนแห้งทั้งหมดไปยังลานดอกเหมยแล้ว” สาวใช้กล่าว
“คราวนี้คงจะโมโหไม่น้อยเลย” ซ่งชูอียิ้มกว้าง ตบๆ หัวของไป๋เริ่น “พวกเราไปดูกัน”
ไป๋เริ่นลุกขึ้นยืน วิ่งเหยาะๆ ตามหลังซ่งชูอีไป
ในลานดอกเหมยด้านหน้า หลงกู่ปู้วั่งสวมเพียงชุดสีขาวตัวหนึ่ง มีฟืนแห้งกองพะเนินอยู่ด้านข้าง กำลังถือดาบตัดฟืนอยู่จริงๆ
ก่อนหน้านี้ซ่งชูอีไม่เคยรู้เลยว่าหลงกู่ปู้วั่งมีทักษะในการฟันดาบดีมาก ฟืนแทบทั้งหมดถูกแยกออกจากกันด้วยการฟันเพียงครั้งเดียว รอยฟันปราณีต และดาบในมือของเขาเป็นเพียงดาบสัมฤทธิ์ธรรมดาเท่านั้น มิใช่ดาบประเภทที่คมพิเศษ การทำได้ขนาดนี้แสดงให้เห็นว่าพื้นฐานในการใช้อาวุธจะต้องดีมาก
ทว่านางก็รู้สึกแปลกใจยิ่ง ผังเจวียนเก่งทั้งบู๊และบุ๋น สามารถบุกไปข้างหน้าเพื่อฝ่าแนวศัตรูและสามารถถอยร่นตามแผนกลยุทธ์ หลงกู่ปู้วั่งเคารพบูชาผังเจวียน การเรียนรู้จากเขาก็เป็นเรื่องที่คาดหวังได้
ซ่งชูอีมองอยู่ด้านหลังหลงกู่ปู้วั่งครู่หนึ่ง จึงพบว่าเสื้อของเขาเผยอออก ยกมุมปากยิ้ม พาไป๋เริ่นไปบนเฉลียงฝั่งตรงข้ามที่มีสระน้ำเล็กๆ คั่นกลาง นางสามารถเห็นกล้ามเนื้อแน่นๆ บริเวณหน้าอกและหน้าท้องของเขา แม้นมันยังไม่สมบูรณ์แบบ ทว่าด้วยอายุของเขาตอนนี้ นับว่าดูดีมากแล้ว ดังนั้นซ่งชูอีจึงวิ่งนำไป๋เริ่นเข้าไปในป่าดอกเหมย นั่งยองๆ อยู่ด้านหน้าเขาเพื่อสังเกตอย่างใกล้ชิด
หิมะยังตกอยู่ หลงกู่ปู้วั่งมองท่อนไม้เป็นไป๋เริ่นกับซ่งชูอี ฟันมันอย่างมีความสุข ส่วนคนกับหมาป่านั้นก็กำลังมองดูด้วยความเพลิดเพลิน
สับไปสับมา หลงกู่ปู้วั่งรู้สึกอึดอัดเล็กน้อย จากนั้นก็หยุด ขมวดคิ้วมองซ่งชูอี “อาจารย์ทำอะไรอยู่ที่นี่?”
ซ่งชูอีลอบหยิกตัวเอง ดวงตาแดงก่ำ กล่าวอย่างสะอึกสะอื้น “ปู้วั่งเอ๋ย อาจารย์เห็นเจ้าใส่เสื้อเบาบางอยู่ในวันหิมะหนาวเหน็บเช่นนี้ ปวดใจเหลือเกิน อาจารย์คิดว่าต่อไปจะไม่ทำให้เจ้าโมโหอีกแล้ว”
ซ่งชูอีก้าวไปข้างหน้า ยื่นมือตบๆ หน้าอกของเขา “ยกโทษให้ข้าเถิด”
หลงกู่ปู้วั่งมองซ่งชูอี เห็นนาง ‘เป็นห่วงอย่างจริงใจ’ ก็โยนดาบทิ้ง พ่นหมอกออกมาอย่างแรง “ข้าไม่คิดแค้นก็ได้”
“รีบไปอาบน้ำเถิด ระวังจะเป็นไข้” ซ่งชูอียิ้มกว้างเอ่ย “ให้ข้าช่วยเจ้าถูหลังไหม”
หลงกู่ปู้วั่งมองนางด้วยความสงสัย ลังเลครู่หนึ่งก่อนเอ่ยว่า “เช่นนั้นก็อาบด้วยกันเถิด ข้าก็ช่วยอาจารย์ถูหลัง”
“ข้าเพิ่งอาบน้ำเสร็จ เจ้าไม่เห็นหรือ?” ซ่งชูอีกล่าว
“เมื่อใด?” หลงกู่ปู้วั่งเอ่ยด้วยความประหลาดใจ เมื่อนึกถึงความเร็วดุจเทพของซ่งชูอี เขาก็เชื่อขึ้นมาจริงๆ
ซ่งชูอีตบๆ ไหล่ของเขาเอ่ยด้วยความเสียใจ “ไม่ได้ใส่ใจอาจารย์ก็ไม่เป็นไร เจ้าไปเถิด”
สิ้นวาจา ก็พาไป๋เริ่นเข้าห้องไปอย่างโดดเดี่ยวแล้ว
หลงกู่ปู้วั่งงงเป็นไก่ตาแตก ท่าทางของซ่งชูอีตรงกันข้ามจากก่อนหน้านี้โดยสิ้นเชิง ทำให้เขายากที่จะยอมรับ ทันทีที่เดินมาถึงเฉลียงก็เห็นจี๋อวี่เดินมา อดไม่ได้ที่จะเอ่ยถาม “ท่านนายพลจี๋ อาจารย์ผิดหวังมาจากราชวังฉินหรือ?”
มิฉะนั้นเหตุใดจึงผิดปกติเยี่ยงนี้?
จี๋อวี่หยุดเดิน เอ่ยว่า “ไม่ใช่”
“เช่นนั้นเหตุใด…” หลงกู่ปู้วั่งกล่าว
จี๋อวี่สำรวจหลงกู่ปู้วั่งครู่หนึ่ง เอ่ยขึ้น “เพราะว่าวันนี้เจ้าใส่เสื้อน้อยชิ้น”
นี่มันเกี่ยวอะไรกับจำนวนชิ้นของเสื้อผ้าเล่า? เหตุใดพอไปที่พระราชวังฉินแล้ว กลับมาก็ทำตัวลึกลับ? และใช้คำพูดที่เขาไม่เข้าใจเลยสักนิด เป็นเพราะแผนการดำเนินไปอย่างราบรื่นหรือว่าเสี่ยงอันตรายเกินไปกันแน่?
หลงกู่ปู้วั่งเรียกให้สาวใช้ส่งเสื้อผ้าไปยังห้องอาบน้ำด้วยความวิตกกังวล
“ท่าน” จี๋อวี่เคาะประตูห้องซ่งชูอี
“เข้ามา”
จี๋อวี่ผลักประตูเข้าไป เห็นว่าซ่งชูอีเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้ว กำลังสอนหนังสือหนิงยา ไม่มีลักษณะขี้เล่นเหมือนเมื่อครู่เลยแม้แต่น้อย
“นั่งเถิด” ซ่งชูอีหันตัวมา
จี๋อวี่นั่งลงที่เสื่อฝั่งตรงข้าม เอ่ยว่า “ข้าสั่งให้คนไปสำรวจในรอบรัศมีสิบลี้แล้ว หิมะไม่หนามาก มีขบวนพ่อค้าตามถนนหลัก หิมะที่สะสมกันถูกกำจัดไปจนเกือบสิ้น เพียงแต่หลังจากน้ำแข็งเกาะตัวแล้วถนนลื่นเล็กน้อย ไม่มีหิมะตกหนักภายนอกรัศมีเจ็ดลี้ ถ้าหากสองวันนี้หิมะมิได้ตกหนัก ก็สามารถออกเดินทางตามเวลาได้”
“เยี่ยม งั้นก็สั่งการลงไป สองวันนี้พักผ่อนให้มาก ไปซื้อของที่จำเป็นระหว่างทางด้วย” ซ่งชูอีเอ่ย
“ขอรับ!” จี๋อวี่รับคำสั่ง กำลังจะถอยออกไป ซ่งชูอีกลับพูดขึ้น “นายพลจี๋ ข้าจะคารวะท่านเป็นอาจารย์ สอนวิชาป้องกันตัวให้ข้าทีเถิด”
จี๋อวี่นิ่งไปครู่หนึ่ง ประสานมือเอ่ย “ท่านเป็นบัณฑิตรอบรู้ ข้าเป็นเพียงนักรบนายหนึ่ง มิบังอาจเป็นอาจารย์ของท่าน ทว่าหากท่านต้องการจะเรียนรู้ ข้าก็จะสอนด้วยความรู้ทั้งหมดที่มี”
“ศิษย์ของท่านอี๋ จะเป็นเพียงนักรบนายหนึ่งได้อย่างไรกัน” ซ่งชูอีมองจี๋อวี่ เห็นว่าสีหน้าของเขาไม่เปลี่ยน ก็รู้ว่าเขาได้ตัดสินใจแล้วว่าจะไม่รับนางเป็นศิษย์ จึงค้อมคำนับเอ่ย “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ หวยจินก็ขอบคุณล่วงหน้าแล้ว”
จี๋อวี่คารวะกลับ ลุกขึ้นแล้วออกไป
มองดูเขาปิดประตู ซ่งชูอีหลุบตาลง จมอยู่ในความคิด
ตั้งแต่กลับมาเกิดใหม่ ผู้คนที่ซ่งชูอีพบเจอก็มีไม่น้อย ทว่าคนที่ทำให้นางพิจารณาในแง่มุมที่ต่างออกไปมากที่สุดกลับมิใช่เหล่าบัณฑิตอะไรเทือกนั้น หากแต่เป็นจี๋อวี่
คนเช่นจี๋อวี่ ดูเหมือนว่าไม่เคยพูดจาไร้สาระเลย ทว่าทุกครั้งที่พูดออกมาก็เป็นวาจาขวานผ่าซาก หัวใจของเขาสงบนิ่งอยู่เสมอ ตอนที่เจอเขาครั้งแรกในป่ารัฐซ่ง ซ่งชูอีก็รู้ว่าเขาเป็นคนจงรักภักดีเป็นอย่างมาก และเป็นบุรุษที่มีความกล้าหาญ อีกทั้งไม่ลังเลในการใช้คน กล้าที่จะฝากชีวิตของกองทหารสามหมื่นนายให้กับวัยรุ่นเช่นนาง บุคคลเช่นนี้จะต้องเป็นผู้ที่มีความทะเยอทะยานสูง
ดังนั้นซ่งชูอีจึงต้องการเก็บเขาไว้ใช้เอง โดยมิได้ต้องการเปลี่ยนให้เขาเป็นลูกน้องหรือคนรับใช้ของตน ทว่าต้องการสร้างความสัมพันธ์ประเภทที่สนับสนุนและช่วยเหลือซึ่งกันและกันกับเขา
อย่างไรก็ดีในโลกใบนี้ ในบรรดาผู้ที่มีความรู้ความสามารถ น้อยคนนักที่จะมีมิตรภาพอันไม่มีที่สิ้นสุดต่อกัน เนื่องจากการแสวงหาและทางเลือกที่แตกต่าง ในอนาคตเมื่อทุกอย่างเป็นไป ไม่แน่ว่าอาจกลายเป็นศัตรูเพียงชั่วข้ามคืน ดังเช่นการทรยศระหว่างนางกับหมิ่นฉือ
ซ่งชูอีเกลียดหมิ่นฉือเพราะว่าเขาหลอกใช้ความรู้สึกที่มีต่อนาง ถ้าหากไม่ใช่เพราะเหตุนี้ ต่อให้วันนั้นหมิ่นฉือนำทัพทำลายเมือง นางก็ยอมรับความพ่ายแพ้อย่างเต็มใจ ไม่เพียงไม่เกลียดชัง แต่จะยังชื่นชมวิธีการของเขาอีกด้วย
อย่างไรก็ดี ความเปลี่ยนแปลงของโลกยังคาดเดาไม่ยากเท่าจิตใจคน!
ซ่งชูอีทอดถอนใจเล็กน้อย หันกลับมามองหนิงยาที่กำลังเขียนหนังสืออยู่
แม่นางตัวน้อยจับพู่กันพร้อมลากแต่ละเส้นด้วยความจริงจังยิ่ง นางรู้ว่าพู่กัน หมึกและสมุดไผ่นั้นเป็นสิ่งของมีค่า สำหรับนางแล้วราคาของสมุดไผ่ธรรมดาม้วนหนึ่งนั้นมีค่าเหลือคณานับ ส่วนการรู้หนังสือนั้น ในความคิดของนางมันเป็นสิ่งที่คนสูงชั้นผู้มีคุณสมบัติเขาทำกัน ดังนั้นซ่งชูอีจึงเป็นเสมือนเทพในใจของนาง บัดนี้เทพองค์ห่วงใยนาง อีกทั้งยังสอนให้นางรู้หนังสือ หนิงยาหวงแหนโอกาสนี้มากและยิ่งเคารพซ่งชูอีมากกว่าเดิม
“หนิงยา ข้าพรากเจ้ามาจากมารดา เจ้าเสียใจหรือไม่? เกลียดข้าหรือไม่?” ซ่งชูอีมองดูนางเขียนหนังสือตัวสุดท้ายเสร็จแล้ว จู่ๆ ก็ถามขึ้น
หนิงยารีบวางพู่กันลง หมอบลงตรงหน้าซ่งชูอี “บ่าวไม่เกลียด ท่านดีกับบ่าว หากบ่าวไม่รู้จักบุญคุณ ก็เท่ากับหัวใจถูกสุนัขคาบไปกินแล้ว”
คำพูดนี้ไร้การประดิษฐ์ประดอยและเรียบง่ายยิ่ง ทว่าซ่งชูอีฟังแล้วรู้สึกไพเราะมาก
ซ่งชูอียื่นมือประคองนางให้ลุกขึ้น “เจ้ารู้ไหมว่าเหตุใดข้าจึงไม่ขายเจ้า?”
คำถามนี้มิได้ถามหนิงยา นางตอบกับตัวเอง “เพราะว่ามารดาเจ้ารักเจ้าจริงๆ ข้าทนไม่ได้ที่จะทำลายความรักนี้”
ผู้คนมากมายที่ขายลูกขายเต้าเพราะไม่มีข้าวกิน นั่นคือพลเมืองดีที่กลายเป็นทาส และไม่อาจได้เชิดหน้าชูตาตลอดไป! แม้นมารดาของหนิงยาจะป่วยหนัก ลูกสาวก็ยังเป็นแก้วตาดวงใจของนาง ไม่คิดยอมแพ้
นางไม่สามารถห้ามมิให้สามีขายลูกสาวได้ ทว่าหากวันนั้นไม่ใช่เพราะจี้ฮ่วนบุกเข้าไป และรับประกันกับนางที่ตีอกชกหัวด้วยชีวิตของเขาว่าจะไม่สร้างความละอายใจให้กับลูกสาวนาง ผู้หญิงคนนั้นคงลากร่างกายป่วยหนักตามขบวนรถไปตลอดทางเป็นแน่
“สาเหตุที่ทุกคนมีเกียรติ เพราะว่าความรักในตัวเอง” ซ่งชูอีลูบใบหน้าอ่อนโยนของหนิงยา ยิ้มเอ่ยน้อยๆ
ซ่งชูอีจะไม่ผ่อนปรนให้การการค้ามนุษย์โดยเด็ดขาด ในเมื่อพ่อแม่ยังไม่รักลูกของตัวเอง แล้วนางจะไปกังวลโดยไร้เหตุผลทำไมกัน? ทว่านางก็มิได้โหดร้ายกับหนิงยาสองแม่ลูก
ครั้นนึกถึงบิดาที่บ้านของตน แม้นเรื่องที่ตายเพราะความหิวโหยจะดูงี่เง่ามาก แต่นางก็จะจดจำไว้ในใจเสมอ
ถ้าหาก…ได้เกิดใหม่เร็วกว่านี้สักสิบกว่าปีก็คงจะดีไม่น้อย
ซ่งชูอีปล่อยให้หนิงยาพาไป๋เริ่นออกไปเดินเล่น เหลือนางเพียงคนเดียวภายในห้อง
นางนั่งเงียบอยู่ครู่หนึ่งก่อนเอาแผนที่ออกมาจากกล่อง ไล่นิ้วอยู่บนดินแดนว่างเปล่าระหว่างรัฐฉินและรัฐเว่ย
ซ่งชูอีสังเกตเห็นจุดนี้นานแล้ว ทว่ามิเคยไปสืบหาความจริง เนื่องด้วยความสับสนและขลาดกลัว สถานที่ที่นิ้วของนางวาดผ่านเดิมทีควรจะเป็นที่ตั้งของหยางเฉิง ทว่าสิ่งที่วาดอยู่บนแผนที่นั้น กลับไม่มีดินแดนที่เรียกว่าหยางเฉิงรวมอยู่ในอาณาเขตของรัฐเว่ย
แผนที่นี้มีความผิดพลาดงั้นหรือ? หรือว่าโลกที่นางรู้จักมีการเปลี่ยนแปลงบางอย่าง?
ซ่งชูอีดูแผนที่นี้มาตลอดทาง แม้นสามารถรักษาท่าทีสงบนิ่งของตนได้ ทว่าบางแห่งในหัวใจกลับกระวนกระวายเล็กน้อย บางทีหลังจากนี้หนึ่งเดือนก็จะถึงสถานที่ที่หยางเฉิงตั้งอยู่ ท้ายที่สุดแล้วนางก็ยังต้องเผชิญหน้ากับคำถามที่นางหลีกเลี่ยงมาโดยตลอด
ถ้าหากหยางเฉิงไม่อยู่แล้ว แล้วซ่งชูอีคนนั้นยังอยู่หรือเปล่า?
……………………………..