กุนซือหญิงยอดอัจฉริยะ - บทที่ 88 ปรนนิบัติด้วยความงาม
เรือนอุ่นในพระราชวังฉิน
เอกสารบนโต๊ะของอิ๋งซื่อนั้นกองท่วมดุจภูเขา ซ่อนร่างของเขาไว้ในนั้น
“กระหม่อมถวายบังคมฉินกง” ซ่งชูอีประสานมือคารวะ
อิ๋งซื่อวางสมุดไผ่ลง เงยหน้ามองนาง “นั่งสิ”
“ขอบพระทัยฉินกง” ซ่งชูอีคุกเข่าลง ในใจไม่สามารถคาดเดาว่าอิ๋งซื่อเรียกนางเข้ามาเพราะอยากคุยเรื่องอะไร ถึงอย่างไรตอนเจอหน้ากันทั้งสองครั้งนั้น ก็มิได้มีความรู้สึกว่าเขาต้องการพูดคุยเรื่องการเมืองกับนาง ทว่านี่ก็อาจมาจากสาเหตุที่เขาพูดน้อยก็เป็นได้
ซื่ออิ๋งต้องการจะพูดอะไรบางอย่าง ขันทีในวังผู้หนึ่งเดินเข้ามาหาเขาจากด้านข้างอย่างรวดเร็ว กระซิบข้างหูสองสามคำ
คิ้วงดงามของเขาขมวดกันเล็กน้อย เอ่ยด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น “รอกว่าเหรินเสร็จเรื่องการปกครองก่อนค่อยว่ากัน”
“พะยะค่ะ” ขันทีค้อมตัวถอยออกไป
อิ๋งซื่อยกมือสั่งให้คนใช้ทั้งหมดถอยออกไป “‘ทฤษฎีโค่นรัฐ’ ของท่านมีบทต่อไปหรือไม่?”
‘ทฤษฎีการโค่นรัฐ’ ของซ่งชูอีนั้นที่จริงแล้วเป็นเพียงคำพูด ทั้งบทความเป็นเพียงการยกตัวอย่าง พร้อมเปิดเผยการนองเลือดในปัจจุบันและวิเคราะห์ทีละขั้นตอนจนมองเห็นกระดูก ส่วนจะโค่นรัฐอื่นเยี่ยงไรนั้นกลับกล่าวไว้น้อยมาก
“ฉินกงสายตากว้างไกล บทความที่ถวายให้นั้นเป็นเพียงบทเริ่มต้น วิธีการโค่นรัฐอันกว้างขวางนั้นใช่ว่าสามารถบรรยายได้หมดในสองสามประโยค กระหม่อมได้ลงมือเขียนแล้ว หวังว่าด้วยกำลังน้อยนิดที่มี จะสามารถนำเสนอโครงร่างของวิถีอันยิ่งใหญ่นี้ต่อพระพักตร์ฉินกงได้” ซ่งชูอีกล่าว
“วิถีเผด็จการรึ?” อิ๋งซื่อเอ่ยถาม
ความหมายของเขาคือ วิถีการโค่นรัฐที่ซ่งชูอีว่าใช่วิถีเผด็จการหรือไม่
จักรพรรดิโบราณปกครองใต้หล้าโดยแบ่งตามรูปแบบการปกครองมหภาคสี่รูปแบบ โดยมากจะแบ่งเป็นวิถีจักรวรรดิ วิถีเจ้าแคว้น วิถีอ๋อง และวิถีเผด็จการ[1]
วิถีเผด็จการสนับสนุนสติปัญญาและกำลัง เชื่อในรางวัลและการลงโทษ กฎหมายและระเบียบบังคับชัดเจน ใช้ความแข็งแกร่งปกครองราษฏร ราษฎรก็ตอบแทนด้วยความแข็งแกร่งเช่นกัน ครั้นใช้กำลังเพื่อต่อสู้ มุ่งเน้นเพียงประสิทธิภาพ มองการหลอกลวงเป็นเจ้าแห่งปัญญา ครั้นต่อสู้เพื่ออำนาจ มองเพียงผลลัพธ์ทว่าไม่มองถึงคุณธรรม
วิถีของซางยางนั้นจัดได้ว่าเป็นวิถีแห่งเผด็จการ
ส่วนเจ็ดมหานครรัฐนั้น ส่วนใหญ่ล้วนเดินอยู่บนเส้นทางแห่งความเผด็จการ เพราะว่าจั้วกั๋วก็คือยุคแห่งความรุนแรง หากท่านพูดถึงคุณธรรมแต่ผู้อื่นกลับกระทำการด้วยเล่ห์กล ก็เท่ากับว่าท่านถูกทำลายล้างไปส่วนหนึ่งแล้ว
หลังจากอิ๋งซื่อได้อ่านวิเคราะห์บทเริ่มของ ‘ทฤษฎีการโค่นรัฐ’ แล้วก็รู้สึกว่าเนื้อหาข้างในส่วนใหญ่สามารถจัดให้อยู่ในประเภทของวิถีแห่งเผด็จการได้
“ใช่ แต่ก็ไม่ใช่” ซ่งชูอีรู้ดีว่าต่อหน้าอิ๋งซื่อนั้นอย่าอุบเรื่องสำคัญไว้จะดีที่สุด ด้วยเหตุนี้เพียงเห็นแววตาเปี่ยมด้วยคำถามของเขาก็รีบเอ่ย “ทฏษฎีโค่นรัฐ เริ่มจากวิถีเผด็จการ ใช้วิถีเจ้าแคว้นและอ๋องในการดำเนินการ แล้วจบลงที่วิถีจักรวรรดิ”
ซึ่งก็หมายถึงเมื่อแรกเริ่ม ให้ปรากฏตัวด้วยเจตคติเผด็จการ แทรกซอนด้วยวิถีเจ้าแคว้นและอ๋อง จนกระทั่งสิ้นสุดด้วยวิถีจักรวรรดิ
แววตางดงามของอิ๋งซื่อทอประกายเล็กน้อย ย้ายเสื่อไปข้างหน้า ตรัสขึ้น “เชิญท่านอธิบาย”
ความสนใจของเขาทำให้ซางชูอีปลาบปลื้มใจยิ่ง อดมิได้ที่จะขยับไปด้านหน้าเช่นกัน เอ่ยว่า “หวยจินมาจากสำนักเต๋าจึงสนับสนุนวิถีแห่งจักรวรรดิที่สุด วิถีจักรวรรดิพูดถึงการปล่อยให้สรรพสิ่งเป็นไปตามวิถีธรรมอันเป็นธรรมดาของมัน ใช้เต๋าปกครองราษฎร ราษฎรก็หวนคืนด้วยเต๋า อย่างไรก็ตามภายใต้โลกแห่งการแก่งแย่งชิงดีนี้ ผู้ที่ปฏิบัติตามวิถีจักรวรรดิเท่ากับหาที่ตายให้ตัวเอง เมื่อมองดูใต้หล้าตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ทุกครั้งที่มีรัฐใดเห็นต่าง จะต้องมีควันดินปืนทุกหย่อมหญ้า เป็นไปไม่ได้ที่จะอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุข ดังนั้นวิธีเดียวก็คือการรวมใต้หล้าเข้าด้วยกัน”
นางถอนหายใจ “แม้นใจข้าจะจงรักภักดี ทว่านกหงส์จะต้องถูกเผาไหม้เป็นจุลจึงจะสามารถเกิดใหม่ได้อีกครั้ง ผู้คนทั่วไปจำต้องทนกับความเจ็บปวดเช่นนี้”
“แม้นเมิ่งจื่อเป็นนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ แต่กลับไม่ประยุกต์ใช้ได้ดีเท่าท่าน” หลังจากอิ๋งซื่อฟังจบ ก็ประเมินด้วยความจริงใจ
เมิ่งจื่อปกครองด้วยมนุษยธรรมตามวิถีอ๋อง ต้องบอกว่าทฤษฎีของเขาได้ยกระดับวิถีอ๋องไปสู่เจตคติอันประเสริฐยิ่ง นอกจากนี้ยังกระชับความสัมพันธ์ของมนุษย์ให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น หากมองจากการพัฒนาในระยะยาวแล้ว มีความเป็นไปได้มาก ทว่าทฏษฎีนี้แพร่ขยายออกไปในยุคชุนชิว อย่างไรก็ตามภายใต้ยุคจั้นกั๋วที่เต็มไปด้วยการนองเลือดและความรุนแรงเช่นนี้ ไม่มีจวินองค์ไหนที่สามารถยอมรับได้
กล่าวอีกนัยหนึ่ง ทุกคนล้วนบอกได้ว่าความคิดและทฤษฎีของเขานั้นดีและเคารพเขาในฐานะนักปราชญ์ ทว่ามันกลับไม่สอดคล้องกับความเป็นจริง ไม่สามารถสนองความทะเยอทะยานของเหล่าวีรบุรุษได้
ทั้งสองคนคุยกันถูกคอ ครั้นอยู่ด้วยกันแล้วก็มิอาจควบคุมได้ พูดคุยจนแทบลืมสิ้นทุกอย่าง ครั้นราตรีย่างกรายก็สั่งคนให้นำสาโทสองสามกาเข้ามาเพื่ออบอุ่นร่างกาย
มันได้กลายเป็นการพูดคุยใต้แสงเทียนยามราตรีอย่างแท้จริง
ซ่งชูอีพบว่าที่จริงแล้วอิ๋งซื่อมิใช่พระอิฐพระปูนไร้ความสะทกสะท้าน สาเหตุที่เขาไม่พูดแทบตลอดเวลานั้นคงเป็นเพราะคิดว่าไม่มีความจำเป็นต้องพูด อีกทั้งความกะตือรือร้นที่อิ๋งซื่อมีต่อการเมืองการปกครอง การสงคราม และความคิดเห็นปราดเปรื่องล้วนทำให้ซ่งชูอีอุทานด้วยความชื่นชม แม้นภายนอกนางดูอ่อนเยาว์ แต่ที่จริงอายุก็ไม่น้อยแล้ว ทว่าอิ๋งซื่อต่างหากคืออัจฉริยะที่แท้จริง
นับตั้งแต่เจอหน้ากันครั้งแรกจนถึงบัดนี้ มุมมองที่อิ๋งซื่อมีต่อซ่งชูอีเปลี่ยนไปทุกครั้ง แต่ละครั้งนางมักจะทำให้เขาประหลาดใจมากขึ้น
ความแข็งแกร่งของซ่งชูอีเป็นเยี่ยงไรนั้นยังต้องพิจารณาต่อไป ทว่าด้วยอายุยังเยาว์ของนางแต่กลับมีวิสัยทัศน์และความรู้มากมายเพียงนี้ เกรงว่านับจากนี้ไม่กี่ปีคงไม่มีใครทัดทานได้ ทันใดนั้นเขามีความรู้สึกไม่อยากปล่อยนางไป ถ้าหากคนเก่งผู้นี้เปลี่ยนใจกะทันหันแล้วสวามิภักดิ์ต่อรัฐอื่น จะมิกลายเป็นภัยคุกคามอันใหญ่หลวงต่อรัฐฉินหรอกหรือ?
“ท่านละทิ้งรัฐเว่ย์ดีไหม?” อิ๋งซื่อลองถาม
ซ่งชูอีมองดูใบหน้าอ่อนเยาว์หล่อเหลาของอิ๋งซื่อภายใต้แสงไฟอบอุ่น ตอบอย่างจริงจังโดยไร้ความคิดใดแอบแฝง “ตั้งแต่ไหนแต่ไรมาหวยจินมิได้เป็นผู้มีคุณธรรมอะไรนัก ส่วนมากก็เหมือนนักยุทธศาสตร์ทั่วไปที่ดีแต่พูดแต่ไร้ความละอาย ทว่าการเป็นมนุษย์นั้นโดยเฉพาะในฐานะบัณฑิตจำต้องมีสิ่งให้ยึดมั่น และสิ่งยึดมั่นสิ่งนั้นสำหรับหวยจินก็คือ ‘ความเชื่อใจ’”
ทว่าซ่งชูอีจะพูดถึงความเชื่อใจกับถูกคนถูกเรื่องเท่านั้น ใครบ้างที่จะไม่เอ่ยถึง “ความเชื่อใจ” เมื่อกระทำการฉ้อโกง? อย่างไรก็ดีในฐานะของมนุษย์ผู้เป็นสัตว์สังคม ซ่งชูอีก็ไม่ใช่คนที่จะทำอะไรโดยไร้ขอบเขต
“ข้าเชื่อในศีลธรรมจรรยาของท่าน” คำพูดของอิ๋งซื่อเมื่อครู่เป็นเพียงการลองใจเท่านั้น หากซ่งชูอีรับปากจริงๆ นอกเหนือจากความโล่งใจแล้ว เขาจะต้องระมัดระวังตัวอย่างแน่นอน
ในเวลานี้เอง จู่ๆ เสียงกูๆ ก็ดังขึ้น
อิ๋งซื่อมองไปยังที่มาของเสียง มันคือท้องของซ่งชูอี หัวเราะเสียงดังตรัสว่า “ท่านหิวแล้วจริงๆ เด็กๆ! เตรียมหมี่น้ำ!”
ซ่งชูอีจ้องใบหน้าที่เปี่ยมด้วยรอยยิ้มน่าหลงใหลของอิ๋งซื่อด้วยความประหลาดใจ อึ้งไปครู่หนึ่ง ก่อนเอ่ยเย้า “ฉินกงจะไม่เชื่อศีลธรรมจรรยาของกระหม่อมก็ได้ ทว่าต้องเชื่อว่า ขอเพียงสามปีให้หลังฉินกงยังคงไม่เปลี่ยนใจ แม้หวยจินเหลือเพียงลมหายใจเฮือกสุดท้ายก็จะมาเข้าเฝ้าฉินกงก่อนสิ้นใจพะย่ะค่ะ”
“นี่คือเรื่องแปลกใหม่ยิ่ง ท่านมีความสนใจในรูปลักษณ์ภายนอกถึงขั้นนี้เชียวหรือ?” อิ๋งซื่อก็เคยได้ยินว่าผู้ชายบางคนไม่ชอบแม้กระทั่งหญิงสมบูรณ์แบบ แต่กลับชอบผู้ชายด้วยกัน หรือว่าซ่งชูอีก็เป็นคนประเภทนั้น? แม้นเขาจะชื่นชอบความสามารถของซ่งชูอีทว่ากลับรังเกียจเดียดฉันท์เรื่องนี้เป็นอย่างยิ่ง
ซ่งชูอีเห็นอิ๋งซื่อสงสัยจึงเอ่ยว่า “ภูเขาสูงตระหง่าน ทะเลสาบอันงดงามล้วนเป็นของขวัญจากพระเจ้า หวยจินเคยยากจนข้นแค้น เสื้อผ้าและอาหารไม่พอเพียง มีเพียงสายลมเย็นและแสงจันทรากระจ่างเท่านั้นที่ไม่ต้องการเงินหรือไม่เพรียกหาสิ่งใดเลย ความงามสำหรับหวยจินนั้นก็เป็นเช่นนี้”
“ท่านช่างใจกว้างดีจริง” รอยยิ้มผุดขึ้นบนใบหน้าของอิ๋งซื่ออีกครั้ง เอ่ยเย้ากับนาง “วันหน้าเมื่อท่านเข้ารัฐฉิน ก็ปรนนิบัติท่านด้วยสายลมเย็นและแสงจันทรากระจ่างแห่งฉินพร้อมความงามของข้า ท่านว่าเยี่ยงไร?”
ซ่งชูอีเกือบจะพ่นสุราที่เพิ่งดื่มเข้าไปออกมา นางรู้มาตลอดว่าอิ๋งซื่อเป็นคนเถรตรงที่ไม่ใส่ใจกับเรื่องจุกจิก ทว่าดูไม่ออกจริงๆ ว่าบุรุษที่สีหน้าจริงจังตลอดเวลาจะรู้จักพูดเล่นเช่นนี้ นางสงบสติอารมณ์แล้วกลืนสุราลงคอ “ข้าเสียใจทันหรือไม่?”
อิ๋งซื่อเลิกคิ้วเล็กน้อย
“ข้าจะเข้ารัฐฉินบัดนี้เลย” ซ่งชูอียิ้มเอ่ย
ทั้งสองคนมองหน้ากันหัวเราะร่วน
คนรับใช้นำหมี่น้ำกับกับข้าวเล็กๆ น้อยๆ เข้ามา พวกเขาจึงกลับที่นั่งของตนเพื่อทานอาหาร
ชาวหล่งซีล้วนเป็นคนแข็งแกร่งทว่าเรียบง่าย แม้แต่สถานะจวินแห่งรัฐเยี่ยงอิ๋งซื่อก็มิได้กินอยู่หรูหรา หากเทียบกับอาหารชั้นเลิศเหล่านั้นแล้ว หมี่น้ำร้อนๆ สักถ้วยดูจะเหมาะสมกับเขาเสียมากกว่า อย่างไรก็ดีเพื่อเป็นเกียรติกับรัฐฉิน ส่วนใหญ่จึงไม่ต้อนรับแขกเหรื่อด้วยอาหารประเภทนี้ โดยเฉพาะราชทูตจากต่างรัฐ แต่อิ๋งซื่อเห็นว่าซ่งชูอีเป็นสหายจึงทำเยี่ยงนี้
ด้านนอกหิมะยังคงตกอยู่ ครั้นหมี่น้ำชามใหญ่ลงท้อง ร่างกายก็รู้สึกอบอุ่นขึ้น ไม่ว่าข้าวหรือกับข้าว ชาวหล่งซีมักจะชอบกินในปริมาณมาก ชามของรัฐฉินนั้นจึงใหญ่กว่าใบหน้าของซ่งชูอีเอาการ และนางก็รู้ว่าชาวฉินไม่ชอบพฤติกรรมการกินอาหารเหลือ หลังจากกินเสร็จแล้วก็อิ่มตื้อจนขยับท้องไม่ไหว
พออิ๋งซื้อบ้วนปากแล้ว เห็นอาการของซ่งชูอีที่นอนแผ่ขาชี้ฟ้า อดไม่ได้ที่จะยิ้ม
พักผ่อนอยู่ครู่หนึ่ง ก็สังเกตเห็นฟ้าท้องฟ้าส่องแสงรำไร ฟ้าใกล้จะสว่างแล้ว
อิ๋งซื่อสั่งให้คนส่งซ่งชูอีกลับจวนที่พัก ส่วนตัวเองก็ไปล้างหน้าล้างตาอย่างอารมณ์ดี เตรียมประชุมราชสำนักในช่วงเช้า
ในรถม้า
ซ่งชูอีถามจี๋อวี่ “เจ้ากินข้าวแล้วยัง?”
“กินแล้วเมื่อยามจื่อ” จี๋อวี่รู้สึกแปลกใจ ฉินกงกับซ่งชูอีคุยเรื่องอะไรกันแน่ถึงได้คุยกันตลอดทั้งคืน เขารู้ว่าจะต้องมิได้มีเพียงเรื่องที่โจมตีรัฐเว่ยเป็นแน่
จี๋อวี่รู้สึกว่าเวลาที่ซ่งชูอีมิได้เป็นนักเลงหัวไม้ ลักษณะและความประพฤตินั้นจะต้องทำให้ดวงตาของฉินกงสดใสอย่างแน่นอน บางทีฉินกงอาจชื่นชอบความสามารถของซ่งชูอี จึงคิดที่จะเก็บนางไว้ใช้งาน?
แม้นมีความคิดเช่นนี้วูบผ่านในหัว จี๋อวี่กลับมิได้เอ่ยปากถาม ถึงอย่างไรแล้วซ่งชูอีเพียงรับปากว่าจะอยู่ที่รัฐเว่ย์เป็นเวลาสามปี สามปีหลังจากนั้นนางจะไปไหนก็เป็นเรื่องส่วนตัวของนาง อีกทั้งจี๋อวี่ก็เข้าใจว่าด้วยสถานการณ์ของรัฐเว่ย์ มิอาจรั้งคนเก่งที่มีความมักใหญ่ใฝ่สูงไว้ได้อยู่แล้ว ไม่เพียงซ่งชูอี แม้แต่หลงกู่ปู้วั่งช้าเร็วก็จะต้องจากไป
ในที่สุดวันสุดท้ายในรัฐฉินท้องฟ้าก็ปลอดโปร่ง ซ่งชูอีไปรับดาบตามที่นัดหมาย
ชายชรานำดาบคมออกมามากกว่าสิบเล่มในลานเล็กๆ ธรรมดาแห่งนั้น ปล่อยให้ซ่งชูอีเลือก
เมื่อปรายสายตามอง ดวงตาของซ่งชูอีก็ถูกใจดาบสีดำทั้งเล่มเล่มหนึ่ง ดาบเล่มนี้ไม่มีรูปแบบซับซ้อน แท่นรองดาบเป็นเสือดุร้ายสองตัวนอนหมอบอยู่ ทั้งเล่มเป็นประกายสีดำเงางาม แต่ใบมีดดูทื่ออย่างเห็นได้ชัดคล้ายยังมิได้รับการเปิดคมดาบ ทว่าน่าเกรงขามยิ่ง
ซ่งชูอียื่นมือต้องการจะหยิบมันขึ้นมา กลับพบว่าดาบเล่มนี้หนักกว่าที่จินตนาการไว้มาก นางจำต้องออกแรงยกมันด้วยมือทั้งสอง
ชายชราคุกเข่าลงหน้าโต๊ะตัวเตี้ยด้วยใบหน้าบูดเบี้ยว “เจ้าช้าๆ หน่อย ระวังจะตัดมือตัวเองเสียล่ะ! อย่ามองว่าดาบเล่มนี้หน้าตาเทอะทะ ที่จริงแล้วทรงพลังมาก ทันทีที่วาดดาบ ไม่มีเสื้อเกราะใดที่สามารถต้านทานได้”
“ดาบเล่มนี้มีนามหรือไม่?” ซ่งชูอีเอ่ยถาม
“จวี้ชาง” ชายชราครุ่นคิดก่อนพยักหน้าเอ่ยด้วยความมั่นใจ “จวี้ชางนี่แหละ ข้าผู้เฒ่าเก็บเหล็กดำหายากก้อนหนึ่งได้จากชางหนาน ใช้เวลามากกว่าหนึ่งปีจึงจะตีดาบสำเร็จ เพียงแต่ไม่มีใครวาดมันได้เลย”
นอกเหนือจากจวี้ชางเล่มนี้แล้ว ดาบเล่มอื่นล้วนมีลักษณะเฉพาะของดาบที่ค่อนข้างมีชื่อเสียง พวกมันมีน้ำหนักปานกลาง ใบมีดเย็นเยียบกว่าหิมะ อีกทั้งตัวดาบมีความยืดหยุ่นดีเยี่ยม สามารถวนรอบเอวเป็นเข็มขัดได้
“ข้าเลือกจวี้ชางเล่มนี้ พวกเจ้าสามคนก็เลือกดาบของตัวเองเถิด” ซ่งชูอีกล่าว
ที่จริงหลงกู่ปู้วั่งชอบจวี้ชางเล่มนั้นของซ่งชูอีมากกว่า อดไม่ได้ที่จะเอ่ย “ดาบเล่มนี้หนักมาก อาจารย์เลือกเล่มที่เบากว่านี้ไม่ดีหรือ เล่มนี้ก็ยกให้ข้าดีไหม?”
“ไปเลือกดาบของเจ้าเสีย อย่ามัวแต่โอ้เอ้” แวบแรกที่ซ่งชูอีเห็นจวี้ชาง ก็รู้ว่าสายตาของนางมองไม่เห็นดาบเล่มอื่นแล้ว ดังนั้นไม่ว่าจะสามารถวาดดาบหรือไม่ นางก็ได้เลือกแล้ว
หลงกู่ปู้วั่งเบะปาก ในใจพลันคิดว่าในเมื่อนางก็วาดดาบไม่ได้ รอให้เวลาล่วงเลยไปสักหน่อยค่อยหารืออีกครั้ง จะต้องแลกเปลี่ยนมาได้แน่
เมื่อคิดเช่นนี้ หลงกู่ปู้วั่งจึงเลือกดาบเล่มอื่น ความลุ่มหลงที่เขามีต่อกองทหารและอาวุธอันแข็งแกร่งพลุ่งพล่านขึ้นมากะทันหัน เห็นแล้วก็นึกอยากได้ทุกเล่ม เขาเองก็มีเงิน ทว่าน่าเสียดาย ชายชราบอกว่าขายกี่เล่มก็ขายเท่านั้น ไม่ต่อรองเป็นอื่นเป็นอันขาด ให้เงินมากแค่ไหนก็ไม่ขาย
……………………………
[1] วิถีจักรวรรดิ (皇道) ใช้ความเป็นไปตามธรรมชาติ ใช้ลัทธิเต๋าปกครองราษฎรและราษฎรหวนคืนด้วยลัทธิเต๋าเช่นกัน
วิถีเจ้าแคว้น (帝道) ปกครองด้วยพระคุณและคุณธรรม ผู้คนเน้นจรรยาบรรณและแก้ไขตนเองด้วยคุณธรรม
วิถีอ๋อง (王道) ใช้ความยุติธรรมเพื่อเสริมพลังให้ราษฎร
วิถีเผด็จการ (霸道) ใช้สติปัญญาและกำลัง กฎหมายและข้อบังคับมีรางวัลและการลงโทษชัดเจน