กุนซือหญิงยอดอัจฉริยะ - บทที่ 91 เปรียบเทียบกับอู๋ฉี่ได้เยี่ยงไร
อิ๋งซื่อพยักหน้าเล็กน้อย “ขอให้ท่านเดินทางปลอดภัย”
ผู้อารักขาที่อยู่ข้างๆ รับกล่องมา ซ่งชูอีโค้งคำนับ แล้วหมุนตัวขึ้นรถไป
กองทหารในชุดเกราะสีดำหยุดอยู่ในทุ่งหิมะสีขาว บรรยากาศเคร่งขรึมและเย็นยะเยือกผสมผสานกับหิมะสีขาวหนาวเหน็บเป็นหนึ่งเดียว
ครั้นเห็นว่าขบวนรถค่อยๆ จากไปไกล รองแม่ทัพที่อยู่ข้างกายกล่าวขึ้น “ฝ่าบาท จะมาจับคนมิใช่หรือ ไฉน…”
สีหน้าของอิ๋งซื่อไร้อารมณ์ เงียบงันครู่หนึ่งก่อนเอ่ยว่า “กลับ!”
สิ้นวาจาก็หันหัวม้ากลับ ควบตรงเข้าไปในนคร
รองแม่ทัพหันมองขบวนรถปราดหนึ่ง แล้วรีบตามไป
ภายในรถ
ซ่งชูอีสอดมือเข้าไปในแขนเสื้อ จ้องมองกล่องทองคำสองใบตรงหน้า ผ่านไปเนิ่นนานก็ทอดถอนใจเบาๆ เฮือกหนึ่ง ทันทีที่เห็นอิ๋งซื่อมาส่งเมื่อครู่ นางดีใจมากจริงๆ ทว่าขณะที่กองทหารในชุดเกราะสีดำหยุดลงด้วยลักษณะที่คล้ายการโอบล้อมนั้น ทำให้นางอดคิดมากมิได้
แต่ไม่ว่าจะอย่างไร ผลลัพธ์ก็ออกมาไม่เลว ยิ่งไปกว่านั้นสิ่งที่สำคัญที่สุดในตอนนี้ก็มิใช่เรื่องเหล่านี้
“อวี่ เข้ามาหน่อย” ซ่งชูอีเคาะกำแพงรถ
รถม้าหยุดเล็กน้อย จี๋อวี่โก้งโค้งเข้ามา คุกเข่าลงตรงหน้าซ่งชูอี “ท่านมีเรื่องใด?”
“ท่านรู้จักหมิ่นฉือมากเพียงใด?” ซ่งชูอีเอ่ยถาม
จี๋อวีตอบ “มีวาสนาเจอหน้าเพียงไม่กี่ครั้ง มิเคยรู้จักกันลึกซึ้ง”
ซ่งชูอีเอ่ย “ดูจากการทำงานของเขา รวมถึงที่เคยได้ยิน วิเคราะห์เขาด้วยความเห็นของท่านที”
หลังจากที่รู้ว่าโลกใบนี้ไม่ใช่โลกใบเดิมอีกต่อไปหรือต่างจากโลกเดิมเล็กน้อย ซ่งชูอีก็ไม่ได้ตัดสินเรื่องต่างๆ ด้วยสายตาเช่นเดิมอีก สำหรับนางแล้วความทรงจำเป็นเพียงสิ่งที่ใช้เพื่ออ้างอิงเท่านั้น ส่วนเหตุผลที่ถามจี๋อวี่นั้นเป็นเพราะซ่งชูอีรู้สึกว่าเขาสงบนิ่ง อีกทั้งสายตาเฉียบคม และมักจะสามารถมองเห็นแก่นแท้ของสิ่งต่างๆ ได้
จี๋อวี่ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดซ่งชูอีจึงอยากรู้เรื่องของหมิ่นฉือ ทว่าเมื่อเห็นอาการจริงจังของนาง ก็คิดอย่างละเอียดครู่หนึ่งก่อนเอ่ยว่า “มีความสามารถเหนือมนุษย์ เกียรติคุณใหญ่หลวง”
รัฐเว่ย์เป็นเพียงสถานที่เล็กๆ หมิ่นฉือจะต้องไม่อยู่นานแน่ จี๋อวี่คิดเช่นนี้ทว่าเขามิได้เอ่ยปากออกไป ครั้นได้ยินจี๋อวี่
ประมินเขาแล้ว หัวใจของซ่งชูอีก็เย็นเยียบเล็กน้อย โน้มตัวไปข้างหน้า “เปรียบเทียบกับอู๋ฉี่ได้เยี่ยงไร?”
อู๋ฉี่คนนี้นับว่าเป็นผู้ที่มีความสามารถรอบด้าน เข้าถึงทฏษฎีสำนักพิชัยยุทธ์ สำนักนิติธรรมและสำนักขงจื้ออย่างถ่องแท้ อีกทั้งยังใช้ทหารได้ดีมาก ขณะที่เขาเป็นท่านแม่ทัพแห่งรัฐเว่ย การทำงานร่วมกันของทหารรัฐเว่ยนั้นแข็งแกร่งอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน สามารถบุกผ่านครต่างรัฐและวางรากฐานที่มั่นคงให้กับอำนาจของรัฐเว่ย ต่อมาเขาละทิ้งรัฐเว่ยเพื่อเป็นมหาเสนาบดีในรัฐฉู่ ปฏิรูปกฎหมายในรัฐฉู่ ช่วงเวลาของเขาก้าวไกลว่าซางยางมากนัก
ผู้ที่เปี่ยมด้วยความสามารถเช่นนี้ ยังเคยฆ่าภรรยาเพื่อตำแหน่งท่านแม่ทัพตอนที่อยู่รัฐหลี่ว์ บัดนั้นรัฐฉีโจมตีรัฐหลี่ว์ จวินแห่งรัฐหลี่ว์และเหล่าขุนนางรู้ว่าอู๋ฉี่เป็นคนเก่ง ทว่าจวินแห่งหลี่ว์หัวเด็ดตีนขาดอย่างไรก็ไม่ยอมให้เขาเป็นแม่ทัพ ต่อมาอู๋ฉี่รู้ว่าจวินหลี่ว์ลังเลเนื่องจากภรรยาของเขาเป็นชาวฉี อู๋ฉี่จึงวาดดาบสังหารภรรยาด้วยมือของเขาเอง
ไม่เพียงเท่านี้ ขณะที่อู๋ฉี่เป็นศิษย์เฉิงจื่อนั้น มารดาสิ้นแล้วแต่ไม่กลับไปเผาผี เฉิงจื่อรู้สึกว่าเขาไร้ซึ่งคุณธรรมและความกตัญญู จึงตัดความสัมพันธ์ศิษย์อาจารย์ พฤติกรรมประเภทนี้ของอู๋ฉี่ก็เป็นที่น่ารังเกียจแก่บุคคลทั่วไป
แล้วจะเป็นกระไรไปเล่า อู๋ฉี่ฆ่าภรรยาตัวเอง มารดาสิ้นไม่ไปไว้ทุกข์ แต่ก็ยังได้เป็นท่านแม่ทัพแห่งรัฐเว่ย ออกจากรัฐเว่ยก็ยังได้เป็นมหาเสนาบดีแห่งรัฐฉู่?
เหตุผลที่ซ่งชูอีถาม เป็นเพราะว่ากุนซือส่วนใหญ่ในจั้นกั๋วมักจะพูดถึงเพียงแผนการ ไม่พูดถึงคุณธรรม หากหมิ่นฉือยังคงเป็นเหมือนคนในโลกก่อน นางจำต้องระวังตัวตั้งแต่เนิ่นๆ เพื่อป้องกันมิให้ถูกแทงจากข้างหลังอีก
จี๋อวี่ใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่ง เพียงแต่ตอบว่า “ข้าไม่รู้จักท่านหมิ่นมากนัก ดังนั้นจึงมิกล้าประเมิน”
ซ่งชูอีพยักหน้า “ข้ารู้แล้ว ขอบคุณมาก”
“ท่านระวังตัวจากท่านหมิ่นมาก” จี๋อวี่กล่าวด้วยน้ำเสียงเป็นทางการ
“ท่านกล้ารับประกันกับข้าหรือไม่ ว่าหมิ่นฉือจะจงรักภักดีต่อรัฐเว่ย์เท่านั้น?” ซ่งชูอีมองอาการของจี๋อวี่ รู้ว่าเขาจะปฏิเสธอย่างแน่นอน ดังนั้นจึงเอ่ยขึ้น “ฉะนั้นการระวังคนจึงมิควรขาด ช่างเถิด ข้าจะใคร่ครวญเรื่องนี้ด้วยตัวเองสักวันสองวัน ข้างหน้าก็จะเข้าใกล้อี้ฉวีแล้ว ระวังหน่อย”
อี้ฉวียอมจำนนแก่รัฐฉิน ทว่าในความเป็นจริงแล้วมีหลายเผ่าพันธุ์อาศัยอยู่ ส่วนใหญ่ล้วนเป็นชนเผ่าที่อยู่ไม่เป็นหลักแหล่ง ลักษณะนิสัยป่าเถื่อน และด้วยกำลังของรัฐฉินในขณะนี้ไม่สามารถควบคุมพวกเขาอย่างจริงจัง อีกทั้งเขตแดนระหว่าง
อี้ฉวีและฉินเว่ยมีขบวนพ่อค้าไปๆ มาๆ อยู่เป็นนิจ ดังนั้นโจรภูเขาจึงออกมาหลอกหลอนอยู่บ่อยครั้ง
“ท่าน เดินผ่านรัฐเว่ยดีหรือไม่?” จี๋อวี่ถาม
ซ่งชูอีพิจารณาครู่หนึ่ง “ได้”
หลังจากที่จี๋อวี่ออกไปแล้ว ซ่งชูอีอดไม่ได้ที่จะนำแผนที่ออกมาอีกครั้ง จ้องเขตแดนระหว่างฉินและเว่ย รวมทั้งแผ่นดินผืนนั้นที่อยู่ใกล้เคียงอี้ฉวีเนิ่นนาน
รถม้าหยุดลงครู่หนึ่ง หลงกู่ปู้วั่งพาไป๋เริ่นที่มีหิมะเต็มตัวเข้ามา เมื่อเห็นแผนที่ก็ขมวดคิ้วเอ่ย “ท่านอ่านจนแผนที่เกือบจะทะลุแล้ว”
ไป๋เริ่นถูกับขาของซ่งชูอีอย่างมีความสุข หิมะจากอุ้งเท้าเลอะเต็มตัวนาง แต่นางกลับไม่โกรธ อีกทั้งยังหัวเราะพลางเกาตัวปุกปุยของมัน
หลงกู่ปู้วั่งเบะปากเอ่ย “ดูแล้ว อาจารย์ใจร้ายกับข้าจริงๆ”
ซ่งชูอีถลึงตามอง “เหตุใดจึงกล่าวว่าใจร้าย? ข้าขอเพียงให้ไป๋เริ่นซื่อสัตย์ต่อข้าก็เท่านั้น ถ้าเป้าหมายของเจ้ามีเพียงเท่านั้นก็บอกข้าตั้งแต่แรก ข้าจะได้ไม่เปลืองสมอง”
กุนซือส่วนใหญ่ต่างปฏิบัติตัวต่อผู้อื่นแตกต่างกัน หลงกู่ปู้วั่งไม่รู้ว่าแบบไหนคือซ่งชูอีตัวจริงกันแน่ ทว่าเขามองออกว่านางคาดหวังต่อเขาสูงมาก และเพราะว่าความคาดหวังสูง ฉะนั้นจึง “ใจร้าย”
หลงกู่ปู้วั่งเข้าใจอยู่แล้ว แต่ว่าเมื่อเผชิญหน้ากันก็ยังรับไม่ใคร่ได้ อดไม่ได้ที่จะส่งเสียง “หึ” คราหนึ่ง หยิบสมุดไผ่ขึ้นมาจากโต๊ะ ไม่สนใจนางอีก
ซ่งชูอีไม่เคยเป็นอาจารย์ใครมาก่อนเลย ดังนั้นวิธีการชี้นำของนางส่วนใหญ่ล้วนมาจากอาจารย์ของนาง แต่นางค่อยๆ ปรับเปลี่ยนไปเล็กน้อยตามนิสัยของหลงกู่ปู้วั่ง
การไปหานตานคราวนี้เต็มไปด้วยน้ำแข็งและหิมะ การเดินทางอันยาวนานนี้อาจสั้นเพียงเดือนสองเดือน ไม่ก็ยาวสามถึงห้าเดือนโดยขึ้นอยู่กับปัจจัยต่างๆ ไม่สามารถกะเวลาได้อย่างแม่นยำ สรุปสั้นๆ ว่าเมื่อถึงหานตาน ก็เท่ากับว่าซ่งชูอีจากรัฐเว่ย์มาอย่างน้อยหกเดือนแล้ว
จี๋อวี่เป็นผู้จัดการทุกอย่างภายในขบวนรถ ซ่งชูอีอยู่ว่างๆ ถือเสียว่าเป็นการทัศนศึกษา ยังคงจดบันทึกสิ่งที่ได้พบและได้ยินตลอดทาง สอนหลงกู้ปู้วั่งแทบทุกวัน
“อ๊า…”
ซ่งชูอีกำลังจดอะไรบางอย่าง ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงคำรามนี้ นางตกใจจนสะดุ้งโหยง ชะงักไปครู่หนึ่ง โผล่ศีรษะออกไปก็เห็นจี้ฮ่วนจึงถามว่า “เกิดอะไรขึ้น?”
“ข้าจะไปดู” จี้ฮ่วนหันหัวม้าแล้วไปยังด้านหลังของรถ เขากลับมาด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้มในแทบจะทันที เอ่ยว่า “เป็นเรื่องดีขอรับ ท่านหลงกู่เสียงแตกหนุ่มแล้ว เสียงเปลี่ยนไปอย่างรุนแรงมากจึงตกใจไปชั่วขณะ”
“ฮ่า!” ซ่งชูอีหัวเราะดีใจในความทุกข์ของผู้อื่น ด้วยนิสัยของเขามันเป็นเรื่องแปลกหากเขาจะตกใจเยี่ยงนี้ เสียงของเขาจะต้องแย่มากจนแม้แต่ตัวเองยังรับมิได้
หัวเราะจบ ซ่งชูอีก็เอ่ยด้วยสีหน้าเมตตา “หยุดรถเร็วเข้า นี่เป็นเรื่องสำคัญของชีวิต ข้าในฐานะอาจารย์ไม่อาจละเลยได้”
จี้ฮ่วนรู้สึกปวดกราม ตัดสินใจว่าจะทำเป็นไม่ได้ยิน
ซ่งชูอีพาไป๋เริ่นเข้าไปด้วยความดีอกดีใจ ครั้นขึ้นรถแล้วก็กล่าวว่า “ได้ยินว่าเจ้าเสียงแตกแล้ว? ข้ามายินดีในฐานะอาจารย์”
ไป๋เริ่นหมอบอยู่ข้างซ่งชูอี สูงเกือบเท่านางที่กำลังคุกเข่าอยู่
หลงกู่ปู้วั่งสงบสติอารมณ์ ยกกาขึ้นรินน้ำสองถ้วย จากนั้นก็ผายมือเป็นการเชื้อเชิญ
ซ่งชูอีไม่รีบร้อน ยกชาขึ้นจิบด้วยอารมณ์ครึ้มอกครึ้มใจ ถึงอย่างไรเสียงแตกหนุ่มก็มิได้เกิดขึ้นเพียงวันสองวัน นางไม่เชื่อว่าเขาจะไม่พูดเลยตลอดหนึ่งปีครึ่ง
หลงกู่ปู้วั่งก็จิบน้ำเช่นกัน
ดวงตาเหมือนถั่วของไป๋เริ่นจ้องมองซ่งชูอีที่ดื่มชาทีละคำๆ น้ำลายก็ไหลย้อยไม่หยุดยั้ง พลางส่งเสียงอิ๋งอิ๋งน้อยใจ ประหนึ่งนึกว่าสองคนกินอะไรอร่อยๆ แล้วไม่แบ่งมัน
หลงกู่ปู้วั่งเหลือบมองน้ำลายของไป๋เริ่นด้วยความรังเกียจ จ้องเขม็งด้วยความดุร้ายรอบหนึ่ง แล้วหยิบเนื้อแห้งสองสามชิ้นออกมาจากใต้เตียงโยนให้มัน
“ปู้วั่งเอ๋ย เสียงแตกน่ะเป็นเรื่องดี เจ้าดูสิจนป่านนี้แล้วเสียงอาจารย์ยังใสแจ้วอยู่เลย น่ารำคาญจริงๆ” ซ่งชูอีทอดถอนใจ
สำหรับผู้ชายแล้ว นี่เป็นเรื่องที่คู่ควรแก่การเฉลิมฉลองยิ่ง คล้ายว่าเด็กผู้ชายคนหนึ่งกำลังจะกลายเป็นผู้ชายเต็มตัวแล้ว ทว่าน้ำเสียงโอ้อวดของซ่งชูอีเช่นนี้ชวนให้อยากซัดนางสักหมัดจริงๆ! ดวงตาของหลงกู่ปู้วั่งจวนจะลุกเป็นไฟแล้ว เขาเม้มริมฝีปากแน่น เห็นได้ชัดว่ากำลังอดกลั้นเอาไว้
ซ่งชูอีหุบยิ้ม เอ่ยด้วยสีหน้าจริงจัง “นี่คือเรื่องสำคัญในชีวิต อีกสองวันหากพวกเรามีสถานที่ที่เหมาะสมสำหรับการพักผ่อนแล้ว ก็จะงานฉลองให้เจ้าอย่างเต็มที่ ถึงตอนนั้นก็จะซื้อสาวงามให้เจ้าด้วย ไม่ว่าเจ้าต้องการหญิงหรือชาย อาจารย์จะเป็นคนจ่ายเอง!”
“แค่ก!” หลงกู่ปู้วั่งสำลักน้ำ ในที่สุดก็อดไม่ไหวใช้น้ำเสียงแหบแห้งเอ่ยด้วยความโมโห “มีอาจารย์ผิดปกติเช่นท่านด้วยหรือ!”
“ฮ่าฮ่าฮ่า!”
แม้นซ่งชูอีจะเตรียมใจไว้แล้ว ทว่าก็ยังขบขันกับน้ำเสียงของหลงกู่ปู้วั่ง นี่มันเสียงคนที่ไหนกัน เหมือนอีกาแก่ๆ เสียมากกว่า! บรรดาศิษย์พี่ของนางล้วนเสียงแตกมาแล้ว ถึงกระนั้นก็ยังไม่น่าอนาถเท่าหลงกู่ปู้วั่ง!
“หึ!” เพียงเสียง “หึ” คำเดียวก็ยังแตก…
ครั้นได้ยินเสียงหัวเราะไร้ยางอายของซ่งชูอี หลงกู่ปู้วั่งก็หน้าแดง
“อย่าได้อายไป มันจะมีอะไรกันเล่า แม้นว่าเจ้าจะเป็นหนุ่มช้าไปหน่อย ทว่าปกติเวลาที่คลุกคลีกับเหล่าลูกผู้ลากมากดี คงไม่มีทางที่ไม่รู้แม้แต่เรื่องนี้กระมัง มาๆ บอกกับอาจารย์สิ ว่าเจ้าชอบผู้หญิงแบบใด?” ซ่งชูอีเอ่ยพร้อมยิ้มกว้าง
หลงกู่ปู้วั่งตบๆ หน้าอย่างแรง “หากข้าจะเสียคนก็ต้องหาหญิงผู้สูงศักดิ์ ข้าไม่มีค่าขนาดนั้นเชียวหรือ?!”
ซ่งชูอีแคะๆ หู ยื่นมือทำสัญญาณให้เขานั่งลง “พ่อหนุ่ม อย่าได้ตื่นเต้นไป ข้าคิดว่าเรื่องพรรค์นี้ไม่แบ่งสูงต่ำ…เฮ้อ เช่นนั้นความหมายของเจ้าก็คือ…ให้จี๋อวี่เข้านครลักพาตัวหญิงสูงศักดิ์มาให้เจ้ารึ?”
หลงกู่ปู้วั่งหายใจหอบเฮือกใหญ่ “ข้าต้องการสงบสติ”
“ก็ได้ เจ้าคิดให้ดี” ซ่งชูอีบิดเบือดความหมายของเขาทันที
ขณะที่ซ่งชูอีกำลังจะขึ้นรถของตัวเอง ก็ได้ยินหลงกู่ปู้วั่งส่งเสียงปังๆๆๆ ดังมาจากรถคันนั้น
หนามยอกต้องเอาหนามบ่ง ซ่งชูอียังคงเขียนสูตรยา สั่งให้สาวใช้นำไปต้มแล้วแล้วส่งมอบมัน ศิษย์สำนักเต๋าส่วนใหญ่จะรู้วิชาแพทย์ อาจไม่นับว่าเก่งมาก ทว่าสูตรยาสำหรับรักษาคอนั้นไม่ใช่ปัญหาเลย
เดินทางผ่านช่วงเวลาที่หนาวเหน็บที่สุดเป็นเวลาสามเดือน หลังจากยาของซ่งชูอีหมดได้ไม่นาน ก็รู้สึกว่าตัวเองเสียงเปลี่ยนเช่นกัน เพียงแต่เสียงแตกของนางนั้นมิได้ชัดเจนเหมือนหลงกู่ปู้วั่ง อีกทั้งเป็นไปอย่างช้าๆ จนกระทั่งถึงระดับที่ไม่หยาบแต่ก็ไม่เป็นผู้หญิงมาก มันก็หายไป
ระยะนี้ซ่งชูอีคอยเฝ้าดูการเปลี่ยนแปลงของตัวเองด้วยความตื่นตระหนกตลอดเวลา ถ้าหากบางอย่างที่ไม่ควรมีงอกออกมา ต่อให้ขึ้นสวรรค์ลงนรกนางก็จะดึงผู้พิทักษ์ดวงดาวออกมาและฝังเขาทั้งเป็น
เคราะห์ดีที่มีเพียงเสียงเปลี่ยนไปเท่านั้น นอกเหนือจากนั้น หน้าอกก็คล้ายมิได้ผายออก ซึ่งจุดนี้ทำให้ซ่งชูอีพึงพอใจมาก
เมื่อถึงปลายเดือนหนึ่ง ในที่สุดขบวนรถก็มาถึงหานตาน
ในปลายยุคชุนชิว หานตานคือหนึ่งในนครที่เจริญรุ่งเรืองที่สุด แม้นบัดนี้ไม่เทียบเท่าอดีตทว่าเค้าโครงก็ยังอยู่ มันครอบครองพื้นที่มากกว่าแปดหมื่นไร่ พื้นที่ส่วนใหญ่ถูกแบ่งออกเป็นสองส่วนคือนครเจ้าหวังและนครต้าเป่ย โดยมีแม่น้ำจู่เหอตัดผ่านนครเจ้าหวัง
ขบวนรถเดินทางเลียบแม่น้ำจู่เหอ จนกระทั่งถึงหลังประตูทิศเหนือจึงมีคนมารอรับหนังสือรับรอง จากนั้นก็มีคนนำทาง บอกให้ปักหลักครู่หนึ่งก่อนเพื่อรอเจ้าโหวเรียกเข้าเฝ้า
หิมะตกลงมาอีกครั้งโดยไม่มีสัญญาณเตือนล่วงหน้า
ซ่งชูอีชำระล้างร่างกายที่เปื้อนฝุ่นทั้งตัว ยืนอยู่ใต้เฉลียงในเสื้อคลุมขนอ่อน เงยหน้ามองท้องฟ้าขมุกขมัว ในใจพลันมีความรู้สึกแปลกประหลาด คราวนี้เกรงว่าคงมิได้ราบรื่นเหมือนในรัฐฉินแล้ว
……………………………