กุนซือหญิงยอดอัจฉริยะ - บทที่ 94 องค์ชายเจ้าอี่โหลว
เมื่ออยู่ในจวนที่พักถึงวันที่เจ็ด แม้แต่คนที่นิ่งเงียบเช่นจี๋อวี่ก็เริ่มกระวนกระวายแล้ว
ซ่งชูอียังคงป้อนอาหารไป๋เริ่น เดินหมากกับตัวเอง อ่านหนังสืออย่างสบายใจทุกวัน ดูเหมือนชีวิตจะมีความสุขมาก
“อืม ท่านว่าหลายวันนี้นำแข็งแม่น้ำจู่เหอจะหนาสักแค่ไหน? สามารถรองรับคนได้หรือไม่?” ซ่งชูอีมองไปยังจี๋อวี่ที่ยืนเหมือนรูปปั้นอยู่ตรงหน้าต่าง
แม่น้ำจู่เหอกว้างใหญ่มาก มันถูกสร้างขึ้นเมื่อมีน้ำมากในฤดูร้อน ด้านบนเกือบราบเรียบเท่าระดับน้ำ ทว่าผู้สร้างคือชาววหลี่ว์ผู้ที่ไม่รู้ว่าระดับน้ำในฤดูหนาวของแม่น้ำจู่เหอต่างจากระดับน้ำในฤดูร้อนมาก ในหน้าแล้งของฤดูหนาว ระดับน้ำอาจลดลงถึงห้าถึงหกฉื่อ พอเพียงให้คนคนหนึ่งผ่านได้
จี๋อวี่อึ้งไปครู่หนึ่ง ทันใดนั้นก็เข้าใจความหมายของนาง หลายวันนี้หานตานหนาวอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน หากแม่น้ำจู่เหอที่ตัดผ่านหวังเฉิงมีชั้นน้ำแข็งหนาล่ะก็ ฝ่ายองค์ชายฟ่านจะเลือกลอบเข้านครด้วยเส้นทางน้ำหรือเปล่า?
“หลายวันนี้อาจจะเป็นไปได้” จี๋อวี่เอ่ย สายตามองไปยังท้องฟ้า หากอากาศแจ่มใสขึ้น อีกไม่กี่วันเกรงว่าคงไม่มีโอกาสเช่นนี้อีกแล้ว
แม้นผู้คนในนครรู้ว่าจะต้องป้องกันแม่น้ำจู่เหอ ทว่าตรงนี้ไม่มีกำแพงสูงใหญ่แข็งแรง การบุกเข้ามานั้นค่อนข้างง่ายดาย ด้วยการล้อมนครทั้งสองด้าน ความเป็นไปได้ในการทำลายเมืองจึงสูงขึ้น
ท่านจะต้องรู้ก่อนว่าในปลายยุคชุนชิวหานตานเป็นหนึ่งในนครที่เจริญรุ่งเรืองที่สุด ใช่ว่านครทั่วไปจะเทียบเคียงความสูงกำแพงเมืองของมันได้ หากทหารหกหมื่นนายปกป้องเมืองจนถึงลมหายใจเฮือกสุดท้าย อย่าว่าแต่ทหารหนึ่งแสนนายเลย แม้จะต้านทานทหารสองแสนนายเป็นเวลาสามถึงห้าเดือนก็ไม่ใช่ปัญหา
นี่เป็นเหตุผลี่องค์ชายฟ่านยืดเยื้อการบุกนครออกไปแม้จะมีจำนวนคนมากมายอย่างเห็นได้ชัดก็ตาม
ยังหาวิธีบุกเมืองไม่ได้ ฝืนโจมตีจะมีแต่ส่งทหารไปตายเปล่า
ความกระวนกระวายใจของจี๋อวี่มอดลงทันใด เขาก็รู้สึกว่าบัดนี้มิใช้โอกาสที่ดีนัก ทว่าเวลานี้มันคือเวลาที่ต้องโจมตีเมืองหลวงแล้ว ไม่เช่นนั้นทันทีที่พวกเขาสูญเสียความกดดันที่มีต่อนครหลวง หรือยืดเยื้อเวลานานเกินไป มันจะไม่เป็นผลดีต่อสถานการณ์ของพวกเขาเป็นอย่างยิ่ง
ซ่งชูอีเกาหน้าท้องของไป๋เริ่น ถามจี๋อวี่ “อารมณ์ของปู้วั่งเป็นเยี่ยงไรบ้าง?”
จี๋อวี่กล่าว “ยังคงขังตัวเองอยู่ในห้อง ไม่ยอมพูดจาเลย คาดว่าอารมณ์ยังไม่ดีสักเท่าไร”
“เจ้าเด็กคนนี้มีหัวใจของผู้หญิงหรืออย่างไรกัน ยังจะอายอีก?” ซ่งชูอีกล่าวอย่างดูแคลน
“ข้าคิดว่า เป็นเพราะว่าเสียงของท่านเปลี่ยนเพียงเบาบางเช่นนี้ ในใจรู้สึกไม่เท่าเทียมกระมัง” จี๋อวี่ยังคงจี้จุดสำคัญ
ตะวันสายโด่งแล้ว หลังจากพวกเขาทานอาหารกลางวันเสร็จ ก็รวมตัวกันรอฟังข่าว
หลายวันมานี้จี้ฮ่วนสนิทสนมกับเหล่าทหารรักษาการณ์เป็นอย่างมาก ข้อหนึ่งเพราะเขานิสัยซื่อตรง เวลาคุยด้วยก็รู้ว่าเขามิได้เป็นคนเจ้าแผนการเท่าไรนัก ข้อสองเพราะเขาใจกว้าง ขยับตัวนิดหน่อยก็มีทองให้ ผู้คนเหล่านั้นล้วนใช้เงินเตาปี้ของรัฐเจ้า เกรงว่าไม่เคยเห็นทองคำด้วยซ้ำ ด้วยเหตุนี้ครั้นจี้ฮ่วนถาม ขอเพียงพวกเขารู้ก็จะบอกหมดทุกอย่าง เบื้องบนเพียงสั่งว่ามิให้ราชทูตเว่ย์วิ่งวุ่นไปทั่ว ทว่ามิได้สั่งว่าห้ามพูดคุยกับพวกเขา อย่างไรก็ตามเรื่องราวเหล่านั้นก็มิได้เป็นความลับ พูดออกมาแล้วยังได้ทองคำ มีแต่คนโง่เท่านั้นที่จะไม่พูด
“ท่าน!” จี้ฮ่วนรีบวิ่งเข้ามา ไม่สามารถซ่อนความสุขบนใบหน้าได้ “เอ๊ะ! ท่านคาดการณ์แม่นยำดุจเทพ จะสู้รบกันจริงๆ แล้ว”
“เจ้าท่าทางเหมือนปลากระดี่ได้น้ำเยี่ยงนี้ หากคนรัฐเจ้ามาเห็นเข้าเกรงว่าคงจบชีพไปพร้อมกับเจ้าแน่” ซ่งชูอียกชาขึ้น ถามว่า “พวกเขารู้ได้เยี่ยงไรว่าจะสู้กันแล้ว?”
“ได้ยินว่าองค์ชายฟ่านได้ย้ายกองทัพทั้งหกไปยังตอนล่างของแม่น้ำจู่เหอเมื่อเช้าตรู่นี้” จี้ฮ่วนกล่าว
ซ่งชูอีพยักหน้า “ยังมีข่าวอื่นอีกหรือไม่?”
“จริงสิ!” รอยยิ้มบนใบหน้าของจี้ฮ่วนยิ่งเบิกบานกว่าเดิม “ข้ายังได้ยินมาว่า องค์ชายเค่อท่านนี้ มีนามว่าอี่โหลว…”
มือของซ่งชูอีสั่นเล็กน้อย น้ำร้อนกระเซ็นโดนหลังมือของนาง นางวางถ้วยชาลงบนโต๊ะ ถามขึ้นทันใด “จริงรึ? ก่อนหน้านี้องค์ชายเค่อมิได้อยู่ในรัฐเจ้ารึ?”
หลงกู่ปู้วั่งที่เล่นกระดานหมากตามลำพังอยู่ด้านข้าง เหลือบตามองไปยังซ่งชูอีเล็กน้อย
จี้ฮ่วนพยักหน้า “ขอรับ ได้ยินว่าองค์ชายฟ่านเพิ่งไปรับตัวกลับมาจากรัฐเว่ยเมื่อครึ่งเดือนก่อน”
จากรัฐเว่ย…ทันใดนั้นเหตุการณ์มากมายวูบผ่านสมองของซ่งชูอี นางวางตัวในฐานะขุนนางของรัฐเจ้าเพื่อตามหาเจ้าอี่โหลว คิดไม่ถึงว่าจะมีคนตามหาเขาเช่นกัน นี่ก็หมายความว่ารัฐเจ้าไม่มีข้อสงสัยเกี่ยวกับเรื่องนี้ตั้งแต่แรกเช่นนั้นหรือ
จะต้องเป็นเว่ยอ๋องที่ช่วยองค์ชายฟ่านตามหาเขาอย่างสุดกำลังกระมัง! ไม่เช่นนั้นจะพบเขาในเวลาแสนสั้นอย่างนี้ได้เช่นไร? ซ่งชูอีลอบด่าในใจ ตาแก่อันตพาลคนนั้นชอบดูผู้อื่นทะเลาะกันเป็นที่สุด จากนั้นก็จะคอยดูว่าสามารถฉวยโอกาสเล็กๆ น้อยๆ ได้หรือไม่
ซ่งชูอีหลุบตาลงครุ่นคิดสักพัก แล้วระงับอารมณ์ชั่ววูบที่คิดจะไปยอมรับความจริง
ภายในห้องเงียบสงัด ซ่งชูอีคุกเข่าอยู่ตรงโต๊ะตัวเตี้ย หูขยับเล็กน้อยคล้ายได้ยินเสียงกีบม้าข้างนอก อีกทั้งเสียงก็ใกล้เข้ามาทุกขณะ
ผ่านไปครู่หนึ่ง มีสาวใช้เร่งรุดเข้ามารายงาน “ท่านราชทูต ท่านแม่ทัพกงซุนขอเข้าพบเจ้าค่ะ”
ซ่งชูอีไตร่ตรอง ท่านแม่ทัพกงซุนคงไม่ใช่กงซุนกู่ผู้ที่บาดเจ็บเพราะลูกธนูที่นางพบในหุบเขาดอกกระมัง? คิดไปคิดมา นางก็เอ่ยว่า “เชิญท่านแม่ทัพเข้ามา”
สิ้นวาจา จู่ๆ ก็นึกถึงเรื่องสนุกได้ จึงลุกขึ้นยืนต้อนรับ
เพียงครู่เดียว แสงตรงประตูก็มืดลง บุรุษในชุดเกราะสีเงินท่านหนึ่งเดินเข้ามา เป็นกงซุนกู่จริงๆ!
“ท่านแม่ทัพกงซุนกู่ยังจำข้าน้อยได้หรือไม่?” ซ่งชูอียิ้มถาม
กงุซุนกู่นิ่งไป เขาจำซ่งชูอีในแวบแรกไม่ได้จริงๆ
ถึงอย่างไรแล้วในขณะนั้นซ่งชูอีเนื้อตัวมอมแมม เส้นผมยังปรกใบหน้าไปเสียครึ่งหนึ่ง
หลังจากคิดวิเคาะห์ครู่ใหญ่ หลงซุนกู่พลันนึกขึ้นได้ กล่าวด้วยสีหน้าประหลาดใจ “ท่านหวยจินแห่งสำนักเต๋า!”
“ถูกต้อง ยากยิ่งนักที่ท่านแม่ทัพยังคงจดจำข้าน้อยได้” ซ่งชูอีประสานมือคารวะ นางไม่ถามถึงจุดประสงค์ที่เขามาแต่เชิญเขานั่งลง และชิงถามก่อนที่เขาจะเอ่ยปาก “องค์ชายเค่อผู้สูงศักดิ์ มีนามว่าอี่โหลวหรือ?”
ความประหลาดใจน้อยๆ ปรากฏอยู่บนใบหน้าของหลงกู่ปู้วั่ง หรือว่าเจ้าอี่โหลวผู้นี้จะมีความสำคัญมากจริงๆ และคุ้มค่าสำหรับนางที่จะถามยืนยันครั้งแล้วครั้งเล่า?
กงซุนกู่พยักหน้า จากนั้นก็ตอบว่า “ใช่แล้ว ทว่าไม่รู้ว่าผู้ใดตั้งชื่อให้เขา ออกจะไม่เหมาะสมเลย”
ซ่งชูอีกระตุกมุมปาก “คือข้อน้อยผู้ไร้ความสามารถ…”
กงซุนกู่เอ่ยด้วยความแปลกใจ “ท่านรู้จักกับองค์ชายเค่อหรือ?”
ซ่งชูอีมีเล่ห์กลแพรวพราว ทว่าภายนอกกลับแสดงเป็นอารมณ์เสีย ตบหน้าตักอุทาน “ข้าน้อยไม่เพียงแต่รู้จัก ท่านแม่ทัพก็เคยเจอมาก่อน เขาก็คือชายหนุ่มที่อยู่กับข้าในตอนนั้น ทว่าต่อมาหายตัวไป ไม่ได้ยินข่าวคราวอีก น่าเสียดายนักที่ข้าไม่รู้ว่าเขาเป็นองค์ชายแห่งรัฐเจ้า!”
นี่คือความเสียใจของซ่งชูอีที่ไหนกัน ต่อให้นางรู้ว่าเจ้าอี่โหลวคือองค์ชายแห่งรัฐเจ้า ก็ไม่อาจทำนายได้ว่าเขาอยู่ที่ใด คำพูดนี้เห็นได้ชัดว่าจี้จุดเจ็บของกงซุนกู่อย่างแรง
หากบัดนั้นกงซุนกู่รู้ว่าคนนั้นคือองค์ชายเค่อ หลังจากพาเขากลับรัฐ จะต้องสามารถชดเชยความพ่ายแพ้ในการรบของเขาในครั้งนั้นได้อย่างแน่นอน! หากเขาพาองค์ชายเค่อกลับรัฐก็จะไม่เผชิญกับสถานการณ์ที่เป็นอยู่ในตอนนี้! ทั้งๆ ที่ตอนนั้นอยู่ใกล้เพียงเอื้อม แต่กลับปล่อยให้หลุดลอยไป!
กงซุนกู่ถูกจู่โจมเข้าอย่างจัง ลืมจุดประสงค์ที่ตนเองมาไปชั่วขณะ
แม้นหลงกู่ปู้วั่งจะไม่รู้ในรายละเอียด แต่ก็พอจะเข้าใจภาพรวมจึงอดกลั้นยิ้มมิได้ เมื่อได้เห็นซ่งชูอียั่วโมโหผู้อื่น เหตุใดเขาจึงรู้สึกมีความสุขกันนะ! อีกทั้งท่านแม่ทัพกงซุนกู่ผู้นี้กล่าวว่านางตั้งชื่อได้ไม่เหมาะสม เกรงว่าคงถูกผู้น้อยตอบโต้เข้าให้แล้ว
……………………………