กุนซือหญิงยอดอัจฉริยะ - บทที่ 98 เจ้าฟ่านหนุ่มเจ้าสำอางค์
หลังจากซ่งชูอีนั่งลงได้ไม่นาน ก็เห็นทหารนายหนึ่งเดินเข้ามา แล้วหยุดยืนในระยะสามจั้งพร้อมสำรวจซ่งชูอีอย่างละเอียดหลายรอบ “องค์ชายฟ่านต้องการพบเจ้า ตามข้ามา”
ซ่งชูอีลุกขึ้นยืนเงียบๆ ตามนายทหารผู้นั้นไปจนถึงหน้าค่าย บัณฑิตวัยกลางคนท่าทางแข็งแรงผู้หนึ่งรอที่หน้าประตูอยู่แล้ว เขาสวมเสื้อตัวยาวแขนกว้างสีน้ำตาลเข้ม คลุมทับด้วยเสื้อคลุมตัวใหญ่สีดำ ใบหน้าสมส่วนแต่หยาบกร้าน มีเครายาวสามนิ้วที่ถูกเล็มอย่างเรียบร้อยที่ขากรรไกรล่าง ดวงตาเป็นประกายสดใส
บัณฑิตวัยกลางคนและซ่งชูอีสำรวจซึ่งกันและกัน ต่างฝ่ายต่างมีความประหลาดใจอยู่ในแววตา
“ท่านเป็นแขกมาจากที่ใด?” เสียงของบัณฑิตวัยกลางคนก็เหมือนกับรูปร่างของเขา หยาบกร้านเป็นอย่างมาก นี่ไม่ใช่เรื่องธรรมดาในหมู่นักวิชาการ
“เว่ย์” ซ่งชูอีกล่าว
“เว่ยไหน[1]?” บัณฑิตวัยกลางคนกล่าว
ซ่งชูอีประสานมือเอ่ย “ข้าน้อยซ่งชูอี ออกเดินทางจากผูหยางตั้งแต่ครึ่งปีที่แล้วจนมาถึงที่นี่ ไม่ทราบว่าท่านมีนามว่ากระไร?”
“กงซือเหยี่ยน” บัณฑิตวัยกลางคนประสานมือน้อยๆ มองไป๋เริ่นรอบหนึ่ง จากนั้นก็เอ่ยต่อ “ได้โปรดตามข้ามา”
“รบกวนแล้ว” ซ่งชูอีเก็บงำความประหลาดใจเอาไว้ ถ้าหากนางจำไม่ผิด กงซุนเหยี่ยนเคยดำรงตำแหน่งหัวหน้า
ขุนนางในรัฐเว่ย เหตุใดจึงมาอยู่ในรัฐเจ้าได้เล่า? เพราะรัฐเว่ยเข้าแทรกแซงการเมืองภายในรัฐเจ้า? หรือว่ากงซุนเหยี่ยนออกมาจากรัฐเว่ยแล้ว?
ซ่งชูอีมิได้มองรอบๆ ตลอดทาง ทว่าก็ตั้งใจฟังเสียงรอบข้างเป็นพิเศษ
“ได้โปรดรอสักครู่” เมื่อมาถึงหน้ากระโจม กงซุนเหยี่ยนหมุนตัวมองซ่งชูอีอีกครั้ง
เขาก็เหมือนกับคนส่วนมากที่ประหลาดใจกับความอ่อนเยาว์ของซ่งชูอี รวมถึงการแสดงออกที่ไม่ใคร่เข้ากับอายุของนาง ทว่าไม่นานเขาก็มิได้ใส่ใจกับเรื่องนี้อีก ความทุกข์ยากจะทำให้คนเราเติบโตอย่างรวดเร็ว ในโลกใบนี้ไม่เคยขาดแคลนความทุกข์ยากเลย
กงซุนเหยี่ยนเข้าไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็ส่งสาวใช้ออกมาต้อนรับ “นายท่านเชิญตามบ่าวมาเจ้าค่ะ”
มีผู้หญิงอยู่ในค่ายได้เยี่ยงไร! ซ่งชูอีรู้สึกตกใจชั่วขณะ จากนั้นก็พยักหน้า ขณะที่กำลังพาไป๋เริ่นเดินเข้าไปข้างในนั้น ก็ถูกทหารรักษาการณ์สองข้างซ้ายขวาขวางไว้ “หมาป่าตัวนี้เข้าไปไม่ได้”
ซ่งชูอีรู้ว่านี่เป็นเรื่องของความรู้สึก แต่มันเป็นไปไม่ได้ที่จะปล่อยไป๋เริ่นไว้ตามลำพัง ยิ่งไปกว่านั้นใครจะไปรู้ว่าพวกเขาจะปฏิบัติต่อหมาป่าตัวหนึ่งเยี่ยงไรบ้าง? จึงกล่าวเสียงสูง “ได้ยินว่าความกล้าหาญขององค์ชายฟ่านไม่สามัญ หรือว่าจะกลัวหมาป่าตัวหนึ่ง? ข้าเลี้ยงหมาป่าตัวนี้ไว้ข้างกายตั้งแต่มันยังเด็ก ได้โปรดให้อภัยที่ข้าไม่อาจทำตามคำสั่ง ในเมื่อทุกท่านไม่วางใจ ข้าเห็นว่ารอพรุ่งนี้เช้าหลังจากองค์ชายอี่โหลวตื่นนอนแล้วข้าค่อยแวะคารวะจะดีกว่า”
“ให้เขาเข้ามา” เสียงเกียจคร้านของผู้ชายคนหนึ่งดังมาจากในกระโจม
ทหารรักษาการณ์ที่หน้าประตูอึ้งไปครู่หนึ่ง ก่อนที่จะหลีกทางด้วยความลังเล
ซ่งชูอีเดินเข้าไปในกระโจม อากาศอบอุ่นดุจฤดูใบไม้ผลิผนวกกลิ่นเครื่องแป้งลอยปะทะใบหน้า ซ่งชูอีเห็นว่าที่นั่งหลักไม่มีคน อดไม่ได้ที่จะมองซ้ายมองขวา
ด้านหลังของผ้าม่านกึ่งโปร่งแสงทางขวามือ มีเตียงไม้จันทน์แกะสลักที่มีความกว้างยาวหนึ่งจั้งตั้งอยู่ ด้านบนปูด้วยหนังเสือสีขาว ชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาโดดเด่นอายุยี่สิบคนหนึ่งนอนตะแคงอยู่บนเตียงในชุดผ้าไหมสีแดงอ่อน สาวงามสี่นางในเสื้อผ้าบางเบาขนาบข้าง สองนางนวดคลึงไหล่และขาของเขา นางหนึ่งรินสุรา อีกนางหนึ่งหั่นเนื้อย่างบนจานเป็นชิ้นพอดีคำแล้วป้อนเข้าไปในปากของเขา
“คำพูดดูแคลนของเจ้าเมื่อครู่น่าสนใจทีเดียว” องค์ชายฟ่านจ้องซ่งชูอีผ่านผ้าม่าน ทว่าไป๋เริ่นกลับดึงดูดสายตาของเขาโดยไม่รู้ตัว อดมิได้ที่จะลุกขึ้นนั่งตัวตรง ร้องอุทาน “ช่างเป็นหมาป่าหิมะที่น่ายำเกรงเสียจริง!”
ครั้นองค์ชายฟ่านลุกขึ้น สาวใช้สองนางรีบหยิบเสื้อคลุมให้เขาทันที อีกสองนางรีบก้าวไปยังด้านหน้าของกระโจม เลิกผ้าม่านขึ้นแผ่วเบาด้วยนิ้วที่งดงามดุจหยก
เขาเดินออกมาพิจารณาไป๋เริ่นอย่างละเอียดถี่ถ้วนครู่หนึ่ง เอ่ยขึ้น “หมาป่าหิมะตัวนี้ ข้าจะเก็บไว้ เพื่อชดเชยความผิดกับคำพูดดูหมิ่นของเจ้าเมื่อครู่”
ซ่งชูอีกำลังชั่งน้ำหนักการก่อกบฏขององค์ชายฟ่านครั้งนี้อยู่ในใจ จู่ๆ ได้ยินคำกล่าวนี้จึงอดขมวดคิ้วมิได้
“ว่าเยี่ยงไร ไม่ยินยอมรึ?” ครั้นรออยู่ครู่หนึ่งแต่มิได้คำตอบ องค์ช่ายฟ่านเลิกคิ้วเล็กน้อย มองไปยังซ่งชูอี
ท่าทางเช่นนี้เขียนไว้อย่างชัดเจนบนใบหน้าว่า ‘ข้าอยากได้ของของเจ้านับเป็นเกียรติของเจ้าแล้ว’
“ข้าน้อย…ไม่ยินยอม” ซ่งชูอีเอ่ย
“หืม?” ความประหลาดใจวูบผ่านใบหน้าขององค์ชายฟ่าน กำลังสงสัยว่าตนฟังผิดหรือไม่ มีคนบังอาจไม่ไว้หน้าตนถึงเพียงนี้เชียวหรือ!
“หมาป่าตัวนี้เป็นเพียงของเล่นสำหรับองค์ชายเท่านั้น แต่กลับเป็นเพื่อนร่วมทุกข์ร่วมสุขของข้าน้อย ข้าน้อยได้ยินชื่อเสียงอันดีขององค์ชายว่ามิใช่คนใจไม้ใส้ระกำ ฉะนั้นข้าน้อยจึงกล้าเดาว่าองค์ชายกำลังทดสอบข้าน้อยอยู่ใช่หรือไม่?” ซ่งชูอีประสานมือ พร้อมเอ่ยอย่างนอบน้อม
“ฮา…ฮาฮาฮาฮา” องค์ชายฟ่านหัวเราะแห้งสองสามที “คิดไม่ถึงว่าเจ้าจะดูออกแล้ว คนหนุ่มมีพรสวรรค์จริงๆ”
ด้วยวาจาก้าวร้าวขณะที่เข้ามาเมื่อครู่ ซ่งชูอีเดาว่าองค์ชายฟ่านท่านนี้จะต้องถูกกระตุ้นเข้าให้แล้วเป็นแน่ อีกทั้งยังห่วงชื่อเสียงเป็นอย่างมาก เมื่ออยู่ต่อหน้าจึงลองดูอีกครั้งและก็เป็นไปตามคาด
ทว่าซ่งชูอีก็ไม่กล้าดูถูกเขา ถ้าหากคนนี้เป็นเพียงเครื่องประดับที่ไม่ได้ความจริง หลังจากที่แต่ละตระกูลพบองค์ชายเค่อก็คงเตะเขาออกไปนานแล้ว จะแต่งตั้งให้เขาอยู่ในค่ายทหารเช่นนี้ได้เยี่ยงไรกัน
“ข้าน้อยเพียงคาดเดาส่งเดช แต่บังเอิญเดาถูกก็เท่านั้น” ซ่งชูอีค้อมตัวเอ่ย นางรู้สึกโชคดีจริงๆ ที่องค์ชายท่านนี้ไม่ได้เป็นคนรุนแรง มิฉะนั้นเกรงว่าจะเกิดปัญหาขึ้นอีกครั้ง อย่างไรก็ตามในปัจจุบันก็มีกฎหนึ่งที่มิได้ถูกเขียนไว้เป็นลายลักษณ์อักษร นั่นก็คือการไม่ฆ่าบัณฑิตสุ่มสี่สุ่มห้า กล่าวอีกนัยหนึ่งซึ่งก็คือการไม่ฆ่าคน “โดยพลการ”
“องค์ชาย” คนข้างนอกพูดขึ้น
“ว่าเยี่ยงไร?” องค์ชายฟ่านเห็นว่าไป๋เริ่นจ้องเนื้อบนโต๊ะ ยิ้มน้อยๆ นั่งลงบนเตียง แล้วหยิบชิ้นเนื้อขึ้นมาล่อไป๋เริ่น
ซ่งชูอีมองดูน้ำลายของไป๋เริ่นที่กำลังจะหยดย้อย ในใจรู้สึกอับอายเป็นอย่างยิ่ง ปกติก็มีให้กินดื่มไม่ขาด ในช่วงเวลาสำคัญเช่นนี้ เจ้าอย่าได้เกลือกกลิ้งประจบประแจงเชียว!
“องค์ชายน้อยตื่นแล้ว ต้องการจะพบสหายของพระองค์” คนที่อยู่นอกกระโจมเอ่ยขึ้น
องค์ชายฟ่านสีหน้าเย็นชา โยนเนื้อลงบนจาน กล่าวด้วยความโมโห “เจ้าเข้ามานี่!”
ชายหนุ่มรูปร่างผอมบางที่แต่งตัวเป็นบัณฑิตเดินเข้ามา ยังไม่ทันจะโค้งคำนับพลันได้ยินเสียง “โพล้งเพล้ง” ดังขึ้น องค์ชายฟ่านขว้างจานไปที่หน้าของเขา “ใครอนุญาตให้นำความจากที่นี่ไปบอกเขา! หืม? ได้รับความเห็นชอบจากข้าหรือยัง!”
“เป็นหวาจี้หรงเจี่ยนขอรับ” เด็กหนุ่มรีบพูดขึ้น
ที่จริงหวาจี้หรงเจี่ยนไม่นับว่าเป็นชื่อ ความหมายของสามคำนี้คือ ลูกชายคนที่สี่ของบ้านสกุลหวาที่เรียงตามลำดับอาวุโสมีนามว่าหรงเจี่ยน และที่จริงชื่อเต็มของเขาคือหวาหรงเจี่ยน
ใบหน้าขององค์ชายฟ่านเขียวคล้ำด้วยความโกรธ แต่กลับข่มโทสะนี้เอาไว้ ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันเอ่ย “พาเขาไป”
เด็กหนุ่มมิกล้าอยู่ต่อนาน รีบส่งสัญญาณให้ซ่งชูอีตามเขาไป
ทันทีที่ซ่งชูอีก้าวออกมาจากกระโจม พลันได้ยินเสียงเครื่องปั้นดินเผาแตกกระจายดังโพล้งเพล้งโพล้งเพล้ง ซ่งชูอีคิดในใจ ด้วยพลังที่บ้าบิ่นเช่นนี้ ถ้าหากพวกเขาบุกนครหลวงจริง จะต้องเป็นหายนะครั้งยิ่งใหญ่สำหรับรัฐเจ้าเป็นแน่! ประวัติความเป็นมาของ “เด็กกำพร้าสกุลเจ้า” ก็อาจซ้ำรอยได้เช่นกัน
“ข้าน้อยซ่งหวยจิน ไม่ทราบว่าท่านมีนามว่ากระไร” ซ่งชูอีประสานมือเอ่ยกับเด็กหนุ่มผอมบางข้างๆ
เด็กหนุ่มคนนั้นเหลือบมองไป๋เริ่น คล้ายกับกลัวมาก ไม่รู้ว่าเพราะไป๋เริ่นทำให้ผวาหรือเป็นเพราะโทสะขององค์ชาย
ฟ่านยังอยู่ น้ำเสียงจึงสั่นเครือเล็กน้อย “ข้าน้อยชวนผิง”
ในใจของซ่งชูอีกำลังกังวลว่าอีกประเดี๋ยวก็จะได้พบกับเจ้าอี่โหลวแล้ว จึงมิได้มีกะใจสนทนากับเขามาก
ชวนผิงก็คล้ายพูดจาไม่เก่ง สองคนเดินด้วยความเงียบงันตลอดทางจนถึงหน้ากระโจมใหญ่หลังหนึ่ง
…………………………………….
[1] รัฐเว่ย 魏และ รัฐเว่ย์ 卫 ในภาษาจีนออกเสียงว่า “เว่ย” เหมือนกัน ทว่าในภาษาไทยเขียนต่างกันเพื่อป้องกันความสับสน