กุนซือหญิงยอดอัจฉริยะ - บทที่ 99 ผมหงอกขาวฉับพลัน
“องค์ชาย ท่านซ่งมาถึงแล้ว” ชวนผิงกล่าวคำนับอยู่นอกกระโจม
เพิ่งจะสิ้นวาจาของเขา ม่านกระโจมที่ทั้งหนาและหนักถูกเลิกขึ้นอย่างรวดเร็ว ซ่งชูอีเห็นเพียงเด็กหนุ่มในชุดธรรมดาที่หน้าตาหล่อเหลาดุจกำลังโอบอุ้มตะวันจันทราจ้องมองนาง สายตาทั้งคู่ประสานกัน ซ่งชูอีกำลังต้องการจะเอ่ยปาก ทว่าเจ้าอี่โหลวกลับเดินหน้าเข้ามาสองก้าว คว้านางเข้ามากอดอย่างแรง จนเสื้อคลุมบนตัวหลุดก็ยังไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ
ซ่งชูอีรู้สึกได้ว่าตัวของเขาสั่นเทาเล็กน้อย ดึงสติกลับมา ยกมือขึ้นตบๆ หลังของเขาเบาๆ
หิมะตกหนัก เจ้าอี่โหลวเป็นเหมือนคนที่กำลังจมน้ำคว้าขอนไม้ที่ลอยอยู่เอาไว้ กำลังของแขนทั้งสองข้างทำให้ซ่งชูอีรู้สึกเจ็บ ทว่านางก็มิได้ขัดขืน
ชวนผิงมองพวกเขาสองคนด้วยความประหลาดใจครู่หนึ่ง แต่เพียงก้มศีรษะลง มิได้เอ่ยปากรบกวน
ไฟในตะเกียงที่ถูกลมพัดวูบไหวส่องอยู่บนตัวของทั้งสองคนอย่างอบอุ่น หิมะร่วงลงบนศีรษะและบ่าของพวกเขา เพียงชั่วครู่มันก็จับตัวเป็นชั้นสีขาวบางๆ คล้ายผมของทั้งคู่หงอกขาวฉับพลัน
“ข้านึกว่า เจ้าตายแล้ว” เจ้าอี่โหลวพูดเสียงกระซิบที่เจือปนซึ่งความแหบแห้งเนื่องจากกำลังแตกในระยะสุดท้าย บัดนี้กลายเป็นเสียงที่หนุ่มแน่นยิ่ง เส้นเสียงอันไพเราะทำให้ซ่งชูอีรู้สึกถึงความงดงามอย่างประหลาด
ซ่งชูอีรู้สึกระคายเคืองคอ สูดอากาศเย็นยะเยือกเข้าไปเฮือกหนึ่ง ครั้นได้สติกลับมาจึงพบว่าเจ้าอี่โหลวสวมเพียงเสื้อผ้าชั้นบางๆ ตบๆ เขาพลางเอ่ยว่า “เข้าไปกันก่อนค่อยคุยเถิด”
“อืม” เจ้าอี่โหลวตอบรับเสียงหนึ่ง หมุนตัวเข้าไปข้างในกระโจมทันที
ซ่งชูอีเห็นใบหูที่แดงระเรื่อของเขาได้อย่างชัดเจนจากด้านหลัง คิดว่าเพราะเพิ่งรู้ตัวถึงกิริยาที่เกิดขึ้นจากอารมณ์ชั่ววูบเมื่อครู่จึงรู้สึกเขินอายกระมัง
ไป๋เริ่นที่ถูกละเลยสะบัดหิมะอย่างไม่พอใจสองสามที แล้วเดินตามซ่งชูอีเข้าไป
ผ่านไปเพียงครึ่งปี เจ้าอี่โหลวกลับสูงกว่าซ่งชูอีหนึ่งถึงสองนิ้ว ความเปลี่ยนแปลงของเด็กหนุ่มอายุสิบหกถึงสิบเจ็ดปีสามารถบรรยายได้วันละหนึ่งอย่าง ครึ่งปีมานี้ เขาเปลี่ยนจากเด็กหนุ่มบอบบางคนหนึ่งเป็นชายหนุ่มแข็งแกร่ง ใบหน้ามีความลุ่มลึกยิ่งขึ้น เค้าโครงของดวงหน้ายิ่งมีความดุดัน คิ้วสองข้างชี้ทแยงเข้าไปในขมับ ดวงตาคู่นั้นยังคงชัดเจนเหมือนดวงดาวเย็นยะเยือก แววตาที่เป็นประกายเพียงชั่วขณะสามารถทำให้หวั่นไหวได้
ซ่งชูอีตบไหล่ของเขาที่ผายขึ้นมาก “ข้าซาบซึ้งมากเหลือเกิน นับว่าข้ามิได้แรงเสียเปล่าที่ตามหาเจ้าตั้งนาน”
เจ้าอี่โหลวนึกว่าซ่งชูอีซาบซึ้งที่เขายังคงเป็นห่วงนาง รู้สึกระคายเคืองตาอย่างช่วยไม่ได้ แต่กลับเห็นนางใช้แขนเสื้อซับน้ำตาที่ไม่ได้มีอยู่จริง อีกทั้งยังกล่าวเสริมว่า “ใบหน้านี้ไม่ทำให้ข้าผิดหวังจริงๆ”
“คำพูดนี้เจ้าเก็บไว้พูดในใจเถิด” เจ้าอี่โหลวขมวดคิ้ว
เจ้าอี่โหลวมิได้ไปนั่งที่ที่นั่งหลัก หยิบหมอนอิงสองใบวางไว้ข้างเตา ครั้นนั่งลงกับซ่งชูอี เจ้าอี่โหลวจึงเห็นไป๋เริ่นที่นอนหมอบอยู่ข้างๆ นาง “เจ้าเลี้ยงหมาป่ารึ? ตัวใหญ่เชียว!”
ซ่งชูอีลูบๆ หัวของไป๋เริ่น “ใช่แล้ว ข้าไปที่รัฐเว่ย์ จากนั้นก็ไปที่รัฐฉิน บังเอิญเก็บลูกหมาป่าตัวหนึ่งได้ระหว่างทาง รู้สึกว่าเหมือนเจ้ามากก็เลยเลี้ยงเอาไว้”
เจ้าอี่โหลวสีหน้ามืดมน มิได้สนใจซ่งชูอีอีก ลุกขึ้นยืนไปหยิบจานเนื้อกวางจากบนโต๊ะ วางอุ่นอยู่บนไฟพร้อมกินกับซ่งชูอี พลางหยิบสองสามชิ้นป้อนไป๋เริ่น
ซ่งชูอีวิ่งมาทั้งคืน ทั้งหนาวทั้งหิว ได้พบเจ้าอี่โหลวก็กินอย่างเจริญอาหาร อดไม่ได้ที่จะเอ่ยว่า “เจ้าไม่ต้องกินแล้วกระมัง!”
“เรื่องอะไร ข้าก็หิว” หากไม่ใช่เพราะเคยหิวโซจนเข็ดหลาบ เจ้าอี่โหลวก็คงไม่พร้อมกินอยู่ในห้องตลอดเวลา
“กินน้อยๆ หน่อย” ซ่งชูอีตีมือของเขา
“อืม” เจ้าอี่โหลวก็ไม่กินจริงๆ ทว่ายังไม่หยุดป้อนให้ไป๋เริ่น
ด้วยเหตุนี้ ไป๋เริ่นที่ไม่เคยสนใจคนแปลกหน้า ในที่สุดก็ราวกับได้พบครอบครัวที่พลัดพรากจากกันมานานหลายปี ลืมซ่งชูอีไปจนหมดสิ้นทันใด
เนื่องจากซ่งชูอีไม่เคยป้อนเนื้อกวางให้มันด้วยความใจกว้างเช่นนี้มาก่อน
“กินกินกิน! เจ้ามันทำงานไม่ได้เรื่องสักอย่าง ยังจะมีหน้ากินเยอะขนาดนี้อีก ช่างหน้าไม่อายเหลือเกิน!” ซ่งชูอีเห็น
ไป๋เริ่นเลียจานจนไม่เหลือแม้แต่คราบน้ำมัน จิ้มๆ หัวของมันอย่างโกรธเคือง
ไป๋เริ่นส่งเสียงครางอิ๋งอิ๋งด้วยความน้อยใจ
เจ้าอี่โหลวมองดูด้วยความตกตะลึง รวบรวมความกล้ายื่นมือลูบหัวของมัน “มันช่างว่านอนสอนง่ายเสียจริง”
ปกติแล้วหลงกู่ปู้วั่งก็เอาแต่รังแกไป๋เริ่น คราวนี้เมื่อมันโดนว่ากลับมีคนปลอบใจ จึงรีบถูไถมือของเจ้าอี่โหลวอย่างเอาอกเอาใจทันที
“เจ้าเนรคุณ ไม่มีศีลธรรมเอาเสียเลย!” ซ่งชูอีจ้องมันเขม็งพลางเอ่ย
เจ้าอี่โหลวมิได้สนใจนาง พูดพึมพำกับตัวเอง “ข้ามิเคยเห็นหมาป่าที่เข้ากับมนุษย์ได้และเชื่องถึงเพียงนี้ น่าอัศจรรย์ใจโดยแท้”
“องค์ชาย จะให้นำจานใหม่เข้ามาหรือไม่?” ในที่สุดชวนผิงก็แทรกด้วยประโยคนี้
เจ้าอี่โหลวเอ่ย “ได้”
ซ่งชูอีพลางหัวเราะพลางสำรวจเจ้าอี่โหลว ธรรมชาติอันป่าเถื่อนของเขามิได้ถดถอยลงเลย แววตาที่มองชวนผิงยังคงเป็นเหมือนสัตว์ป่าที่เปี่ยมด้วยความระแวดระวัง แต่อาจเป็นเพราะเขาหน้าตาดี นางไม่เพียงไม่รู้สึกว่าอาการเช่นนั้นหยาบคาย แต่กลับคิดว่ามันเป็นบุคลิกที่เป็นเอกลักษณ์มากกว่า
เจ้าอี่โหลวนำถังน้ำออกมาจากข้างกระโจม เทลงใส่อ่าง ผลักไปที่ด้านหน้าซ่งชูอี เขาจำได้ว่านางมีความเคยชินที่จะต้องล้างหน้าล้างตาก่อนเข้านอน
หลังจากต่างคนต่างล้างหน้าเสร็จแล้ว ชวนผิงก็ยกเนื้อจานหนึ่งเข้ามา “องค์ชาย เนื้อกวางหมดแล้ว นี่คือเนื้อหมูป่า”
“อืม” เจ้าอี่โหลวพยักหน้า
ชวนผิงประสานมือเอ่ย “เช่นนั้นข้าน้อยขอตัวก่อน หากองค์ชายมีสิ่งใดรับสั่งก็เพียงสั่งให้คนเรียกข้าน้อย”
“อืม” เจ้าอี่โหลวกล่าว
ชวนผิงถอนหายใจอยู่ในใจ สกุลอู่ส่งเขามาใกล้ชิดเจ้าอี่โหลว ทว่าตลอดครึ่งเดือนมานี้ เจ้าอี่โหลวยังคงมีท่าทีระวังตัวจากเขาเหมือนเคย เวลาตอบเขา ส่วนใหญ่ก็ตอบรับเพียงคำเดียวเหมือนเมื่อครู่
สิ่งเดียวที่ทำให้ชวนผิงรู้สึกสบายใจก็คือ แม้นหวาหรงเจี่ยนก็พยายามเข้าใกล้เจ้าอี่โหลวเช่นกัน ทว่าจนถึงบัดนี้ เจ้าอี่โหลวก็ไม่เคยพูดกับเขามากกว่าหนึ่งคำเลย อย่างไรก็ดีเมื่อครู่ทั้งๆ ที่หวาหรงเจี่ยนเป็นคนนำข่าวของซ่งหวยจินมาบอกเจ้าอี่โหลว แต่เจ้าอี่โหลวกลับหันมาบอกเขาให้ไปขอพบ
นี่เป็นครั้งแรกที่เจ้าอี่โหลวมอบหมายงานให้เขา ดังนั้นแม้นจะรู้ว่าการทำเช่นนี้จะเป็นการทำให้องค์ชายฟ่านขุ่นเคือง ทว่าเขาก็ยังไปด้วยความเด็ดเดี่ยว และบังเอิญยังลากหวาหรงเจี่ยนเข้ามาเอี่ยวด้วยเพื่อให้องค์ชายฟ่านเกลียดชัง เขาเสี่ยงอันตรายเช่นนี้นับว่าคุ้มแล้ว
“ฟ้ายังไม่สว่าง ข้าจะพักผ่อนเสียหน่อย” ซ่งชูอีอยู่ในพายุหิมะอันบ้าคลั่งทั้งคืน บัดนี้เจ็บปวดไปทั่วร่างกาย แม้นการได้พบกันใหม่หลังการจากลงจะทำให้นางง่วงน้อยลง ทว่านางก็ต้องพักผ่อน
“ไปเถิด” เจ้าอี่โหลวมิได้คิดมาก จากนั้นก็พานางไปยังเตียงของตัวเอง
ซ่งชูอีคลายและถอดเสื้อคลุมตัวใหญ่ออก นอนซุกอยู่ในเตียงอย่างราบรื่น ภายในยังมีความอบอุ่นหลงเหลืออยู่ ซ่งชูอีรู้สึกตัวสั่นสบาย ยื่นๆ มือตบๆ ด้านข้าง “มัวนั่งทำกระไรอยู่เล่า นอนเถิด”
เจ้าอี่โหลวได้ยินดังนั้น ก็ถอดรองเท้าแล้วซุกตัวเข้าไป
ซ่งชูอีพลิกตัว สิ่งที่ปรากฏสู่สายตาคือใบหน้าด้านข้างของเจ้าอี่โหลวที่หล่อเหลาไร้ที่ติ ผมปานผ้าซาตินสีดำไหลจากไหล่อยู่บนหมอนสีขาวดุจหยก สะท้อนให้เห็นแก้มที่แดงขึ้นเรื่อยๆ ของเจ้าอี่โหลว ช่างเป็นฉากที่งดงามยิ่งนัก
งดงามจนเป็นครั้งแรกที่ซ่งชูอีอดใจไม่ไหวยื่นมือทำลายมันเสีย
“เขินอะไรกัน ใช่ว่าไม่เคยนอนด้วยกัน” ซ่งชูอีเบะปากเอ่ย
“อย่ามายุ่ง!” เจ้าอี่โหลวพลิกตัว หันหลังให้นาง ตอนนั้นใบหน้าของเขาก็แดงเช่นกัน ทว่าราตรีนั้นมืดมิดเกินไป เนื้อตัวมอมแมมเกินไป ซ่งชูอีจึงไม่เห็นก็เท่านั้น
“นี่” ซ่งชูอีจิ้มๆ เขา
เจ้าอี่โหลวไม่ได้หันมา เอื้อมมือปัดมือของนาง “อยู่นิ่งๆ เถอะน่า ข้าได้ยินเจ้าอยู่”
ซ่งชูอีกัดฟัน เอาเถอะ ถือว่าเจ้าเป็นคนงาม ข้าให้อภัยเจ้า “พวกเขาพบเจ้าได้เยี่ยงไร?”
……………………………….