กุนซือหญิงยอดอัจฉริยะ - บทที่382.1 ตอนพิเศษ 1 กล่าวคำรักด้วยชีวิต
ทางตอนเหนือของรัฐเยียน สามารถมองเห็นหิมะสีขาวห่างออกไปหลายพันลี้
ในนครอวี๋หยางผู้คนสัญจรตามท้องถนนบางตาซึ่งต่างจากฉากแห่งความคึกคักของโรงสุราและชมรมป๋ออี้ที่ถูกกั้นด้วยผ้าม่านหนาอย่างสิ้นเชิง
ชมรมป๋ออี้แห่งนี้มีชื่อว่าว่านซื่อ (หมื่นสกุล) ทั้งห้องเงียบกริบ ทุกคนต่างจดจ่ออยู่กับกระดานหมากรุกขนาดใหญ่ในห้องโถง
บัณฑิตหนุ่มกำลังต่อสู้กับบัณฑิตในชุดสีเทาบนเวที
บัณฑิตในชุดสีเทามีผมขาวแซมที่ขมับทั้งสองข้าง หนวดเคราเรียบร้อย แต่ไม่มีรอยย่นบนใบหน้าและดวงตาถูกปิดด้วยผ้าสีดำ ไม่มีใครมองรูปลักษณ์ของเขาออก เด็กอายุหกเจ็ดขวบนอนบนหน้าตักของเขาเหมือนก้อนแป้ง มองต่ำพร้อมดึงแขนเสื้อของนางเล่น
บัณฑิตหนุ่มจ้องไปที่หมากรุกและครุ่นคิดอย่างหนัก ผู้สังเกตการณ์ด้านล่างเริ่มกระซิบกระซาบ พูดคุยเกี่ยวกับทิศทางของหมากกระดานนี้
เนิ่นนาน ในที่สุดบัณฑิตหนุ่มก็ยอมแพ้ “ข้าน้อยแพ้แล้ว”
“เยี่ยม!” เสียงโห่ร้องดังกึกก้องในห้องโถง
เจ้าของชมรมป๋ออี้ถือถุงเหรียญผ้าวางไว้บนโต๊ะหมากรุก เด็กน้อยหยิบมันขึ้นมาอย่างชำนาญและอุ้มมันไว้ในอ้อมแขน กล่าวกับบัณฑิตในชุดสีเทาด้วยเสียงอ้อแอ้ “อาจารย์ เถ้าแก่ให้เงินแล้ว”
คนในชุดสีเทาพูด “ขอบคุณเถ้าแก่สวี่”
“เชิญท่านมาบ่อยๆ นะขอรับ” เถ้าแก่สวี่กล่าวด้วยความเกรงใจ
คนในชุดสีเทาพยักหน้า เขาลุกขึ้นและเดินออกไปอย่างช้าๆ โดยมีเด็กน้อยจูงอยู่ข้างหน้า
“ท่านได้โปรดหยุดก่อน!” จู่ๆ มีคนในห้องโถงพูดขึ้นเสียงดัง
คนนั้นเห็นว่าเขาไม่หยุด อดไม่ได้ที่จะตะโกนอีกครั้ง “ท่านอาวุโสที่เดินหมากรุกเมื่อครู่ได้โปรดหยุดก่อน”
บัณฑิตในชุดเทาหยุดเดินและเอียงศีรษะ
“เขาเป็นคนตัวเตี้ย หน้าผากกว้าง ใบหน้าเป็นหลุมบ่อ จมูกไม่มีดั้ง” เด็กน้อยอธิบายลักษณะของคนที่เข้ามาให้บัณฑิตเสื้อเทาฟัง พูดจบก็ถามด้วยความไร้เดียงสา “ท่านลุงดูแก่กว่าอาจารย์ของข้าเสียอีก เหตุใดจึงเรียกอาจารย์ข้าว่าท่านอาวุโสเล่า?”
มุมปากของชายคนนั้นสั่น ทนไม่ไหวอยากก้าวเข้าไปดึงเจ้าเด็กคนนั้นมาโบยสักที แต่เขาจำได้ว่าตนเป็นบัณฑิตผู้มีการศึกษาและอิสระเสรีมากคนหนึ่ง ไม่สามารถลดตัวลงไปหาเด็กน้อยได้ ดังนั้นจึงหัวเราะเสียงดัง พร้อมที่จะลืมมันไป
อย่างไรก็ดีคาดไม่คิดว่าชายในชุดคลุมสีเทากลับดุเด็กน้อยอย่างโกรธเกรี้ยว “เจ้าเด็กคนนี้ ข้าสอนเจ้ากี่ครั้งแล้ว ว่าต้องบรรยายรูปลักษณ์คนอื่นอย่างอ่อนหวาน ดูเจ้าสิว่าทำให้คนอื่นอับอายแค่ไหน! คืนนี้ไม่ต้องกินข้าว!”
“แงงง…”
เด็กน้อยร้องไห้โฮโดยไม่มีสัญญาณเตือนล่วงหน้า
บัณฑิตในชุดเทารีบปลอบเด็กน้อย ชายผู้นั้นถูกทิ้งไว้ที่นั่น จะกลับไปก็ไม่สมควร จะยืนต่อก็ไม่ใช่ สีหน้าอึดอัดอย่างยิ่ง
บัณฑิตในชุดเทาปลอบเด็กในขณะที่ขอโทษชายคนนั้นไปด้วย “ทำให้ท่านรู้สึกขบขันเสียแล้ว ไม่ทราบว่าท่านเรียกข้าไว้มีธุระใดหรือ?”
“ท่านอาวุโสงานยุ่ง ถ้าอย่างไรไว้คุยกันวันหน้าเถิด ข้าน้อยไม่รีบ” เขาค่อนข้างใจกว้าง เมื่อเห็นว่าซ่งชูอีสนใจเขา ความอึดอัดเมื่อครู่ก็หายเป็นปลิดทิ้ง
“ขอบคุณท่านฉีที่ให้อภัย” บัณฑิตในชุดเทาเอ่ย
เด็กน้อยตัวกลมสำลักพร้อมจูงมือเขาไว้แล้วออกไปจากชมรมป๋ออี้
สายลมข้างนอกหนาวเหน็บ ทั้งสองคนหดคอในเวลาเดียวกัน เด็กน้อยพาบัณฑิตในชุดเทาไปที่ซอยเปลี่ยว หยิบถุงเงินปู้ปี้ออกมาออกมาและพูดด้วยความจริงจัง “อาจารย์ วันนี้ปฏิกิริยาของข้าพอได้กระมัง? ควรจะเพิ่มหลายปู้ปี้หน่อยหรือไม่?”
บัณฑิตในชุดเทาดึงผ้าสีดำออกจากตาของเขา คว้าถุงเงินมา “เจ้าเด็กเหลือขอ มีวันไหนที่ข้าให้เจ้าอดอยากบ้าง เจ้าจะเอาเงินมากมายไปทำอะไร!”
เด็กน้อยมุ่ยปากไม่พอใจ “อาจารย์เอาแต่รังแกเด็ก หากท่านไม่ให้ข้า ประเดี๋ยวข้าจะไปบอกอาจารย์รอง ว่าวันก่อนท่านเก็บเงินไว้เองเพื่อไปดื่มสุรา”
“หึๆ เป็นเด็กเป็นเล็กก็รู้จึกขู่คนอื่นแล้วรึ อืม ขงจื่อสอนกันได้ ข้าจะให้เจ้าเพิ่มสองอัน”
เด็กน้อยยิ้มพลางยกมืออูมๆ ขึ้นมาเพื่อที่จะรับเงิน ทันใดนั้นเหนือศีรษะก็มืดลง มองเห็นชายร่างสูงยื่นมือออกมาจากด้านหลังของอาจารย์เพื่อหยิบถุงเหรียญไปต่อหน้าต่อตา
“ซ่งหวยจิน ออกจากบ้านแล้วก็ต้องมีส่วนแบ่งโจรด้วย เจ้าลืมสมองไว้ที่บ้านหรืออย่างไร!” เจ้าอี่โหลวสีหน้าโมโห
ดวงอาทิตย์และหิมะส่องแสง เจ้าอี้โหลวดูสดใสหล่อเหลา
ซ่งชูอีถอนหายใจสองครั้งพร้อมกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ก็เจ้าส่งมาให้ข้าไม่ใช่หรอกรึ”
เด็กน้อยพูดอย่างไม่พอใจ “เพราะอาจารย์รองมัวแต่อ้อยอิ่งอยู่ได้ ไม่รวดเร็วเอาเสียเลย ไม่อย่างนั้น…”
“ไม่อย่างนั้นอะไรรึ!” เจ้าอี่โหลวจ้องเขาเย็นชา อุ้มเขาขึ้นมาพาดไหล่ด้วยมือข้างเดียว
เด็กน้อยร้องโหวกเหวกโวยวาย “อาจารย์รอง ด้านบนลมแรงนัก”
เจ้าอี่โหลวเอ่ย “หุบปาก ไม่โบยเจ้าก็ดีแค่ไหนแล้ว!”
“อาจารย์ อาจารย์ ช่วยข้าด้วย ลมแรงเกินไปแล้ว ข้าอาจจะจับไข้ได้ ต่อไปหากมีไข้สูง ไข้ไม่ลด ข้าไม่ตายแต่อาจกลายเป็นเจ้าโง่ก็ได้…” เด็กน้อยปิดหน้าพร้อมกับร้องโหยหวน
ซ่งชูอีเห็นใบหน้าด้านข้างที่โกรธเคืองของเจ้าอี่โหลวก็กลืนคำขอร้องกลับเข้าไปแล้ว กระแอมไอทีหนึ่งพร้อมเอ่ยปลอบใจว่า “เจ้าวางใจเถิด ไม่เคยมีใครจับไข้ตายด้วยน้ำมือของอาจารย์ลุงใหญ่ของเจ้าเลย คราวก่อนเขาได้ทิ้งยาไว้ไม่น้อย”
เจ้าอี่โหลวจับมือของนาง แล้วออกไปจากนครพร้อมหันหลังให้พายุหิมะ
เดินมาได้ระยะหนึ่ง เจ้าอี่โหลววางเด็กน้อยลงและกอดเขาไว้ในอ้อมแขน
ซ่งชูอียิ้ม จับมือกันและกันแน่น
แม้ว่าเจ้าอี่โหลวจะจงใจทำหน้าเย็นชาแต่เขาก็ยังคงอ่อนโยนต่อคนที่เขารัก ในใจของเจ้าอี่โหลว ความรู้สึกเป็นสิ่งสำคัญยิ่ง ไม่ว่าเขาจะคิดอย่างไรก็จะให้ความสำคัญกับความรักก่อนเสมอ ตอนที่สู้กับถูอู่ลี่ก็เช่นนี้ ตอนที่ฝ่ากลับไปยังนครเสียนหยางเพื่อพบกับนางเป็นครั้งสุดท้ายก็เช่นนี้ หากเขาไม่ใช่คนที่เห็นแก่ความรักแล้วจะคอยปกป้องนางด้วยความยากลำบากมาตลอดยี่สิบปีได้อย่างไร?
เมื่อนึกถึงตรงนี้ พายุหิมะบนท้องฟ้าทำให้นางอดที่จะนึกถึงใบหน้าบึ้งตึงนั้นไม่ได้
นึกถึงที่เขากล่าวว่า: ปฏิบัติต่อเจ้าด้วยสายลมอ่อน ดวงจันทร์สว่างไสวแห่งต้าฉินและความงามของกว่าเหริน
นึกถึงที่เขากล่าวว่า: หวยจิน เป็นหวังโฮ่วของข้าเถิด
นึกถึงที่เขากล่าวว่า: กว่าเหรินจะใช้ความรักและความไว้ใจทั้งชีวิตไปกับครั้งนี้แล้ว
บุคคลนี้ไม่เคยพูดเรื่องไร้สาระเลย นอกเหนือจากเรื่องการเมืองแล้วก็พูดกับนางน้อยนัก อย่างไรก็ดีคำพูดเหล่านี้ยังมีแผนการเจือปนอยู่ด้วย
เพียงครึ่งประโยคที่นางได้ยินในสติอันเลือนลาง “กว่าเหรินเข้าใจเจ้าลึกซึ้งกว่าที่เจ้าจินตนาการเสียอีก ความรักของกว่าเหรินก็…” ไร้ความแปดเปื้อนแม้แต่น้อย แต่นางกลับต้องการที่จะใช้ประโยชน์จากมันอย่างไร้ยางอายและฆ่าความบริสุทธิ์เดียวที่พวกเขามีต่อกัน
ใช่แล้ว ในฉากสุดท้ายนั้น นางรู้มานานแล้วว่ามันจะกลายเป็นความพ่ายแพ้ของนาง เมื่อกษัตริย์ที่มีอำนาจล้นฟ้าคนหนึ่งต้องการจะกำจัดขุนนางที่มีความกังวลมากมายและไร้อำนาจที่แท้จริงเยี่ยงนางแล้ว นอกจากการวิ่งหนีสุดชีวิตแล้วจะมีอะไรดีไปกว่านี้อีกเล่า? ดังนั้นนางจึงล้มเลิกการวางแผนและหันมาความรักแทน
ความรักเป็นเรื่องจริงสำหรับเจ้าอี่โหลว แต่ดูเป็นเรื่องไร้สาระสำหรับอิ๋งซื่อ ทว่านางจะต้องเดิมพันสักครา อย่างน้อยก็ทำให้เจ้าอี่โหลวมีชีวิตรอด
ซ่งชูอีรู้ดีว่าเจ้าอี่โหลวจะไม่มีวันใช้ชีวิตตามลำพัง นางเพียงใช้ชีวิตของนางเพื่อพูดคำรักออกมา: แม้ว่าในใจของนางจะจัดอันดับให้เขาอยู่เบื้องหลังการบ้านการเมือง แต่อย่างน้อยนางก็คิดว่าเขาสำคัญกว่าชีวิตของนางเอง ~