กู้ชูหน่วนสตรีอัปลักษณ์ - บทที่ 139
เริ่นหู่เข้าไปใกล้และพูดอย่างตื่นเต้น “คุณหนูสาม ท่านว่าข้าสามารถเป็นผู้คุ้มกันของท่านได้หรือไม่?วรยุทธของข้าเทียบไม่ได้กับฝูกวง แต่ค้อนนี้เพียงอย่างเดียวก็สามารถฆ่าคนได้เจ็ดแปดคนคนแล้ว
กู้ชูหน่วนมองดูรูปร่างที่สูงใหญ่และแข็งแรงบึกบึน “ท่านอ้วนเกินไป ข้าเลี้ยงไม่ไหว”
“ไม่ต้องให้ท่านเลี้ยง ข้าเลี้ยงตัวเองได้”
“เอาล่ะ เจ้าอยู่ที่นี่ว่างมากหรือ?” น้ำเสียงของประมุขชิงเย็นชา
“แต่……แต่……”
“ออกไป”
สีหน้าของเริ่นหู่ดูไม่เต็มใจ แต่ก็ไม่กล้าขัดคำสั่ง เขาทำได้เพียงแค่มองฝูกวงด้วยสายตาที่อิจฉาริษยา
“คุณหนูสาม หวังว่าเราจะได้พบกันอีก”
“เดี๋ยวก่อน ทำไมพวกท่านถึงช่วยข้า?”
ประมุขชิงยิ้มอย่างสำราญใจ หากใครไม่รู้ก็คงคิดว่าเขาเป็นไก่อ่อนและบอบบาง
“บางทีอาจเป็นโชคชะตา สิ่งที่นิกายเทพอสูรให้ความสำคัญก็คือคำว่าโชคชะตา”
กู้ชูหน่วนต้องการจะถามอีกครั้ง แต่ผู้คนของนิกายเทพอสูรก็หายตัวไปแล้ว
พวกเขามาเร็วและจากไปอย่างรวดเร็ว เร็วมากจนมองไม่เห็นเลยด้วยซ้ำว่าไปที่ไหน
เมื่อครู่มีผู้คนมากมายอยู่ในตรอก แต่ในตอนนี้เหลือเพียงแค่ฝูกวง แม้แต่ชายหนุ่มก็ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจากไปตั้งแต่เมื่อไหร่ และพวกนางก็ไม่แน่ใจเช่นกัน
ลมหนาวพัดมา กลิ่นคาวเลือดตลบอบอวลไปทั่ว และเมื่อเห็นศพที่อยู่บนพื้นก็รู้สึกสยดสยอง
เซี่ยวอวี่เซวียนอดทนต่อความเจ็บปวดและพูดเสียงแหบ “คนผู้นั้น เจ้าก็ควรรีบไป ข้าอยู่ที่นี่ แม่สาวอัปลักษณ์ไม่จำเป็นต้องได้ให้เจ้ามาคุ้มกัน”
“ฝูกวงเป็นคนของนายท่านแล้ว”
“นางยังไม่แต่งงาน หากใครได้ยินที่เจ้าพูด ชื่อเสียงของนางคงจะเสียหาย”
ฝูกวงยืนอยู่ข้าง ๆ กู้ชูหน่วน เขาทำหน้าบึ้งตึงและก้มหน้าลง เพื่อปฏิเสธที่จะจากไป
เซี่ยวอวี่เซวียนโกรธมาก เขาดึงบาดแผลเและทำหน้าตาถมึงทึง
กู้ชูหน่วนมองไปที่เขาอย่างไม่สบอารมณ์ “เอาล่ะ ผู้บาดเจ็บควรจะหุบปากอย่างเชื่อฟัง ฝูกวง พาเขากลับไปที่จวนแม่ทัพ”
“ขอรับ”
เซี่ยวอวี่เซวียนต้องการจะปฏิเสธ แต่ฝูกวงก็แบกเขาขึ้นไปบนหลัง และหายตัวไปที่ท้ายตรอก
“โห เจ้ามีวิทยายุทธอะไร?หรือว่าว่าเจ้ามีปีก”
เสียงสะท้อนของเซี่ยวอวี่เซวียนยังคงเรื่อยเฉื่อย กู้ชูหน่วนเกือบจะกัดลิ้นตัวเอง ช่างเป็นวิชาตัวเบาที่รวดเร็วยิ่งนัก แม้แต่นางก็ยังตามไม่ทัน
นางมองดูขลุ่ยหยกในมือและหมุนวนไปมาซ้ำ ๆ ในใจ
คนของนิกายเทพอสูรคงจะไม่ได้ช่วยนางโดยไม่หวังสิ่งตอบแทน และยิ่งเป็นไปไม่ได้ที่จะให้ขลุ่ยหยกแก่นางมาเปล่า ๆ พวกเขากำลังคิดอะไรอยู่?
หรือเจ้าของร่างเดิมกับนิกายเทพอสูรจะมีอะไรเกี่ยวข้องกัน?
จนกระทั่งตอนนี้ กู้ชูหน่วนยิ่งมั่นใจมากขึ้นเรื่อย ๆ ว่าเจ้าของร่างเดิมนั้นไม่ได้ธรรมดาอย่างที่เห็น
หากนางเป็นเพียงคุณหนูสามที่ไม่เป็นที่ชื่นชอบในจวนอัครเสนาบดีจริง ๆ แล้วทำไมอี้เสินเฟยจึงทำทุกวิถีทางที่จะดูแลปกป้องนาง?
ทำไมนางถึงไม่มีกำลังภายใน แต่มีวิชาตัวเบาราวกับนกนางแอ่น?
นางแหงนหน้าขึ้น และเห็นว่ามีแสงสีขาวเหมือนท้องปลาปรากฏขึ้นอยู่ทางทิศตะวันออก
กู้ชูหน่วนฝืนยิ้ม “ไม่ได้นอนทั้งคืนอีกแล้ว พรุ่งนี้ต้องไปเรียน คงจะต้องสัปหงกต่อไป”
นางต้องการกลับไปที่จวนหานอ๋อง แต่เมื่อนึกถึงลายแทงเมื่อวานที่สำนักศึกษาหลวง นางก็เร่งฝีเท้าและไปที่สำนักศึกษาหลวง
ล้อเล่น ในเวลานี้ควรจะกลับไปที่จวนหานอ๋อง และไม่ควรแหวกหญ้าให้งูตื่น
หลังจากข้าวไปหลายถนน ก็เริ่มมีผู้คนมาตั้งร้านบ้างแล้ว
กู้ชูหน่วนบังเอิญได้ยินเสียงที่คุ้นเคย นางจึงเงยหน้าขึ้นและมองไปไกล ๆ
นั่นเป็นซุ้มขายบะหมี่เล็ก ๆ ลักษณะท่าทางของเยี่ยเฟิงดูคล่องแคล่ว เขากำลังทำบะหมี่
สีหน้าของเขาซีดขาวและไอเป็นครั้งคราว
ในขณะที่กำลังลวกบะหมี่ เถ้าแก่ก็พูดด้วยความเป็นห่วง “เสี่ยวเฟิงเอ๊ย ข้าว่าสีหน้าของเจ้าดูไม่ค่อยดีนัก เจ้าไม่สบายหรือไม่?หากไม่สบายเจ้าจะต้องไปหาหมอนะ ไม่ต้องทน หากเจ้าไม่มีเงิน ข้าจะให้เจ้ายืมก่อน”