กู้ชูหน่วนสตรีอัปลักษณ์ - บทที่ 393
“หากเจ้ากล้านำพืชสมุนไพรของข้าไปเผาทิ้งละก็ ข้าสาบานว่าจะเผาเจ้าทั้งเป็นจนทำให้พญามัจจุราชจำเจ้าไม่ได้เลย พวกเจ้ารีบช่วยกันขนพืชสมุนไพรเหล่านี้เข้าไปเก็บยังเรือนทางปีกด้านตะวันตกเดี๋ยวนี้”
ชิงเฟิงหวาดกลัวจนขนหัวลุก
ต่อให้จวนท่านอ๋องจะมีพื้นที่กว้างขวาง ก็ไม่สมควรทำเช่นนี้ที่จะนำเรือนรับรองของจวนท่านอ๋องมาเก็บวัชพืชเหล่านี้ หากถูกพูดออกไปอดเป็นเรื่องน่าอับอายไปทั่ว
“ชิงเฟิง ไปฆ่าวัวที่คอกมาสองตัวและหมูสิบตัว จากนั้นสั่งให้คนนำมาส่งให้ข้าในห้อง”
“อ๋า……พระชายา ท่านต้องการขายเนื้อวัวเนื้อหมูหรือพ่ะย่ะค่ะ?”
กู้ชูหน่วนแทบอดไม่ได้ที่จะมอบฝ่ามือให้เขาสักหนึ่งที
นางดูเหมือนคนขายเนื้อตรงไหน?
“ข้านำมากินไม่ได้หรือ?”
“กิน……เอง?”
ชิงเฟิงเกาศีรษะ คนเดียวจะกินหมดได้อย่างไรเยอะมากมายเช่นนั้น?
“พระชายาพ่ะย่ะค่ะ ข้าน้อยได้สั่งให้คนจัดเตรียมอาหารอร่อยๆ เอาไว้เพื่อเตรียมต้อนรับเพื่อนๆ ของท่านเสร็จเรียบร้อยแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
“ฝ่อๆ……”
เจ้างูตัวน้อยที่พันเป็นเกลียวอยู่ที่ข้อมือของกู้ชูหน่วนส่งเสียงฝ่อๆ แสดงความพึงพอใจ เมื่อได้ยินถึงของกินก็เริ่มอารมณ์ดีขึ้นมา
จากนั้นชิงเฟิงจึงได้เห็นว่าข้อมือของนางมีงูตัวเล็กขดพันเป็นเกลียวอยู่
เจ้างูตัวน้อยตัวนั้นตัวเล็กมาก ตัวของมันมีสีเขียวหยก เมื่อพันอยู่ที่ข้อมือก็คล้ายกับกำไลข้อมือปกติ หากไม่สังเกตอย่างละเอียด จะไม่สามารถรู้ได้เลยว่านี่คืองูตัวหนึ่ง
ชิงเฟิงไตร่ตรองและพูดขึ้นมาทันที “พระชายา ท่านต้องการต้มเจ้างูตัวน้อยนี้หรือพ่ะย่ะค่ะ? พ่อครัวที่เพิ่งเข้ามาที่จวนท่านอ๋องมีฝีมือไม่ธรรมดา ไม่ว่าจะนำไปต้ม ตุ๋น นึ่ง ปิ้งหรือย่างล้วน……”
“ฝ่อๆ……”
เสี่ยวจิ่วเอ๋อร์ขมวดคิ้วและตักเตือนเขาด้วยความไม่พึงพอใจ และความรู้สึกดีต่อเขาเมื่อสักครู่ก็มลายหายไป และปรับเขาไปอยู่ในบัญชีดำคนไม่ดีทันที
กู้ชูหน่วนหัวเราะ “หากเจ้าสามารถจับมันได้ เช่นนั้นก็จับมันไปตุ๋นเสียเถอะ”
“เชอะ……”
เช่นนั้นแล้วควรหรือไม่ควรตุ๋นนะ?
“เยี่ยจิ่งหานล่ะ?” กู้ชูหน่วนถาม
“ท่านอ๋องเพิ่งจะเสด็จกลับมาจากพระราชวังชิวเฟิง และตอนนี้กำลังรอท่านอยู่ที่เรือนพ่ะย่ะค่ะ ข้าน้อยจะนำท่านไป นายท่านได้สั่งเอาไว้พ่ะย่ะค่ะ……”
“ไม่ต้องแล้ว ข้าเหนื่อยมาก ข้าต้องการกลับไปพักผ่อนที่เรือนอุสุม นอกจากมาส่งเนื้อ หากไม่มีเรื่องอะไรก็ไม่ต้องมารบกวนข้า”
ทันทีที่พูดจบ กู้ชูหน่วนก็ได้เดินออกไปโดยไม่มีแม้แต่เงาแล้ว
คำพูดของชิงเฟิงยังคงอยู่ในลำคอ และจ้องมองดูนางเดินหายลับไป
นายท่านได้สั่งเอาไว้ว่าเมื่อกลับมาถึงจวน ให้ไปที่เขาที่นั่น……
ชิงเฟิงต้องการจะวิ่งตามไป แต่เมื่อประตูของเรือนอุสุมถูกปิดลง เขาที่เป็นเพียงคนใช้จะมีปัญญาเข้าไปได้อย่างไร
หลังจากหันหลังกลับ ชิงเฟิงกำลังจะไปรายงาน แต่เยี่ยจิ่งหานก็ได้ปรากฏตัวตรงหน้าแล้ว
“ข้าน้อยคารวะนายท่าน”
“ออกไปเถอะ”
“พ่ะย่ะค่ะ”
สีหน้าของเยี่ยจิ่งหานดูซีดเซียวเล็กน้อย ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอาการบาดเจ็บของเขาหรือไม่
ดวงตาที่ยาวและแคบของเขาลอดผ่านประตูเรือนอุสุม ราวกับว่าเขากำลังสำรวจอะไรบางอย่าง
จุดเส้นวรยุทธ์ข้ามไปขั้นที่สอง……
ในช่วงเวลาสั้นๆ ไม่เพียงแค่จุดเส้นวรยุทธ์เปิดออก แต่ยังกระโดดขึ้นไปขั้นที่สองอีกด้วย ช่างเป็นพรสวรรค์ที่ยอดเยี่ยมมากจริงๆ
งูตัวน้อยที่อยู่ในมือของนาง หากเขาดูไม่ผิดละก็ จะต้องเป็นราชางูเหลือมหยกเก้าเศียรแน่ๆ
ราชางูเหลือมหยกเก้าเศียรถือเป็นราชาแห่งงู ไม่เพียงแต่สามารถสั่งงูทั้งหมดในโลกได้เท่านั้น แม้กระทั่งอสุรกายระดับสูงอื่นๆ จำนวนมากยังเกรงกลัวด้วย
ราชางูเหลือมหยกเก้าเศียรถือว่าพบเห็นได้ยากมากและแทบจะสูญพันธุ์ไปแล้ว นางไปได้มาครอบครองได้อย่างไร?
แถมยังมีความสามารถทำให้งูยอมรับนางเป็นเจ้าของ?
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเขาครุ่นคิดอยู่นานหรืออะไร ชิงเฟิงพูดขึ้นอย่างระมัดระวัง “นายท่าน งูสีเขียวนั่นตัวเล็กเหลือเกินพ่ะย่ะค่ะ เกรงว่าจะไม่เพียงพอให้พระชายาเสวย ข้าน้อยจะออกไปจับงูตัวใหญ่ๆ กลับมาและตุ๋นให้กับพระชายาเสวยพ่ะย่ะค่ะ”
เยี่ยจิ่งหาน “……”
เหตุใดเขาถึงให้คนโง่งี่เง่าเช่นนี้มาคอยติดตามข้างกายได้นะ
นี่คือราชางูเหลือหยกเก้าเศียรตอนอายุยังน้อย แต่ต่อให้เป็นวัยเด็ก ก็นับได้ว่าเป็นสุดยอดฝีมือระดับขั้นที่สี่ หากมันโตเต็มที่ มีความเป็นไปได้ที่จะสูงเกินขั้นที่เจ็ดและอาจไปถึงระดับขึ้นสูงสุดก็เป็นได้
เขาจะยังสามารถไล่ล่าฆ่าได้อีกหรือ?
ใครจะกินใครยังไม่อาจรู้ได้
ความคิดของเยี่ยจิ่งหานเปลี่ยนไปและการสำรวจในดวงตาของเขาก็ลึกซึ้งขึ้น
กู้ชูหน่วนถูกล้อมรอบด้วยพลังวิญญาณ และคาดว่ามีสมบัติอยู่ในร่างกาย
เป็นสมบัติแบบไหนกันนะที่ทำให้พลังวิญญาณในร่างกายของนางยังคงไม่แยกย้ายสลายไป?
เจี้ยงเสวี่ยพูดขึ้นมาอย่างระมัดระวัง “นายท่าน พลังวิญญาณในร่างกายของพระชายามีความแข็งแกร่งเหลือเกิน โดยทั่วไปยอดฝีมือขั้นสูงต่างก็ไม่มีอะไร แต่เมื่อไปถึงระดับขั้นที่สามขึ้นไปจะต้องรับรู้ได้อย่างแน่นอน เกรงว่าพระชายาจะเป็นที่จับตามอง”
เมื่อนึกถึงแสงหลากสีที่พุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า เจี้ยงเสวี่ยก็ตกตะลึงเช่นกันว่าสมบัติล้ำค่าอันดับที่ห้า ตกอยู่ที่พระชายาหรือไม่
แต่สมบัติล้ำค่าล้วนมีจิตวิญญาณ การที่พวกมันจะเลือกเจ้าของ พวกมันจะเลือกคนที่มีพลังความสามารถเหนือกว่าพวกเขาเท่านั้น และไม่มีทางเลือกคนที่อ่อนแอกว่าพวกเขาอย่างแน่นอน
พระชายายังไปไม่ถึงระดับขั้นที่หนึ่งเลยด้วยซ้ำ เช่นนั้นแล้วสมบัติล้ำค่าจะเลือกนางได้อย่างไร
เมื่อเห็นหน้าต่างบานสีม่วงแตกออกมาจากเรือนอุสุม และพันรอบเป็นสามรอบ
ชิงเฟิงตกตะลึง “พระชายาได้ข้ามเส้นวรยุทธ์ไปยังระดับชั้นที่สามแล้ว พระชายาเปิดเส้นวรยุทธ์ตั้งแต่เมื่อไร? ดูเหมือนจะไม่มีใครช่วยนางนะ”
เจี้ยงเสวี่ยตัวแข็งทื่อ “ไม่ใช่ พระชายากำลังจะข้ามขั้นไปยังระดับชั้นที่สี่ต่างหาก”
อะไรนะ……
เพิ่งจะข้ามไปยังระดับชั้นที่สาม ยังจะข้ามไปยังระดับชั้นที่สี่อีกหรือ?
นี่มันบ้าเกินไปแล้ว
สีม่วงระดับชั้นที่สาม
วงกลมเล็กๆ ขยายตัวอีกครั้งด้วยความเร็วที่มองเห็นได้ด้วยตาเปล่า
คนในจวนท่านอ๋องต่างพากันตกตะลึง แต่ละคนล้วนคาดไม่ถึง
ในขณะที่พวกเขากำลังชื่นชมพระชายาอยู่นั้น กลับได้ยินเสียงร้องน่าสังเวชออกมาจากเรือนอุสุม
สีหน้าของเยี่ยจิ่งหานเคร่งขรึม ทันทีที่เขาโบกมือขวา ทุกคนต่างพากันไปยังหน้าประตูเรือนอุสุม
“ปัง……”
เขาเปิดประตูใหญ่ของเรือนอุสุมออกและเดินไปตรงหน้าของกู้ชูหน่วน
แต่กลับเห็นกู้ชูหน่วนขดตัวอยู่บนเตียงด้วยความเจ็บปวด มือของนางปิดหน้าท้องแน่น ใบหน้าที่ละเอียดอ่อนและสวยงามของนางบิดเบี้ยว ราวกับกำลังอดทนกับความเจ็บปวดที่ยิ่งใหญ่
เสี่ยวจิ่วเอ๋อร์กำลังกินอยู่บนโต๊ะ เมื่อเขาเห็นว่ามันกำลังมองเขาอยู่ มันก็ส่ายหัวอย่างไร้เดียงสา เพื่อแสดงให้เห็นว่ามันไม่ได้เป็นคนทำ
เมื่อมองไปที่หัวเตียง กลับมีแกนผนึกหิมะหลากสีหมื่นปีจำนวนหนึ่งวางอยู่ หนึ่งในนั้นถูกกัดไปกว่าครึ่ง
และพลังวิญญาณที่แข็งแกร่งเมื่อสักครู่นั้นก็ถูกปลดปล่อยออกมาจากผลึกแกนหิมะนั่นเอง
สมควรตาย ผู้หญิงซื่อบื้อ คงเป็นเพราะต้องการเพิ่มระดับความสามารถก็เลยกินแกนผนึกหิมะเข้าไปล่ะสิ
เยี่ยจิ่งหานกอดนางเอาไว้ และส่งกระแสกำลังภายในของเขาให้กับนาง เพื่อช่วยบรรเทาอาการที่ไม่สงบภายในร่างกายของนาง
เส้นลมปราณแท้ในร่างกายของกู้ชูหน่วนกระจัดกระจาย แต่ละเส้นล้วนแข็งแกร่งและเหนือกว่า เยี่ยจิ่งหานทำได้เพียงสูบเส้นลมปราณแท้ที่แข็งแกร่งกว่าเพื่อกดทับเอาไว้
ไม่ง่ายเลยที่จะกดทับเอาไว้ได้ จากนั้น……
ร่างกายของกู้ชูหน่วนมีเส้นลมปราณแท้ ที่ราวกับมีพลังการดูดปกติ แต่กำลังดูดเส้นลมปราณแท้ของเขาอย่างกระหาย และแทบต้องการดูดให้เส้นลมปราณแท้ของเขาหมดจากตัว
เขาต้องการที่จะหยุด แต่กลับถูกทำให้ติดแนบแน่น
หากฝืนหยุดลงตอนนี้ก็จะเป็นการทำร้ายนาง
เยี่ยจิ่งหานจึงทำได้เพียงนั่งมองพลังภายในของตัวเองค่อยๆ ถูกสูบออกไปทีละนิดๆ
ชิงเฟิงและเจี้ยงเสวี่ยที่อยู่หน้าประตูตกใจมาก “นายท่าน……”
“ถอยออกไปและปิดประตูไว้ หากไม่มีคำสั่งของข้า ใครก็ห้ามเข้ามา”
“แต่ว่า……”
“ถอยออกไป”
คำพูดของเยี่ยจิ่งหานเป็นคำสั่งที่ไม่อาจปฏิเสธได้ ชิงเฟิงและเจี้ยงเสวี่ยทำได้เพียงถอยออกไป แต่จิตใจของพวกเขากลับคิดไม่ตกและกระวนกระวายใจ
การต่อสู้ครั้งใหญ่กับเผ่าเพลิงฟ้าครั้งที่แล้ว นายท่านได้รับบาดเจ็บสาหัส เนื่องจากการโจมตีจากพิษและตอนนี้ก็ยังไม่ฟื้นคืนกลับเป็นปกติ
และตอนนี้กำลังภายในก็ถูกพระชายาดูดออกไปเยอะเช่นนี้
หากไม่มีกำลังภายใน เช่นนั้นแล้วนายท่านจะควบคุมบาดแผลจากพิษได้อย่างไร?
และจะจัดการกับเผ่าเพลิงฟ้าได้อย่างไร?
ชิงเฟิงและเจี้ยงเสวี่ยต่างร้อนรนกระวนกระวาย
เสี่ยวจิ่วเอ๋อร์กลับกะพริบตาและส่ายหัวไปมา ราวกับรู้สึกสับสนมึนงง และไม่เข้าใจว่าเหตุใดจู่ๆ กู้ชูหน่วนก็กลับเปลี่ยนไปเป็นอ่อนแอเช่นนี้ แถมยังต้องอาศัยการดูดกำลังภายในจากเขา จึงจะสามารถควบคุมพลังวิญญาณของแกนผลึกหิมะหมื่นปีนั่นได้