กู้ชูหน่วนสตรีอัปลักษณ์ - บทที่ 950
กู้ชูหน่วนสตรีอัปลักษณ์ บทที่ 950
“ใช่แล้ว ข้าเจอดวงวิญญาณดวงที่สี่แล้ว และยังขาดอีกสามดวง เช่นนั้นเจ้าก็สามารถชุบชีวิตคนรักของเจ้าให้มีชีวิตกลับคืนมาได้อีกครั้ง ดีใจหรือไม่?”
เยี่ยจิ่งหานรู้สึกดีใจและมีความสุขอย่างมาก ทำให้เขาหายใจเร็วขึ้นมาก และความไร้เหตุผลของกู้ชูหน่วนเมื่อสักครู่ก็ได้มลายหายไปเป็นปลิดทิ้ง แววตาที่เต็มไปด้วยความสุขและความดีใจจับจ้องไปที่หน้าผากของนางโดยไม่ละสายตา ราวกับว่าเขากำลังจดจ่อตั้งตารอวันนั้นที่กำลังจะมาถึง
“มีเบาะแสของดวงวิญญาณที่เหลืออีกสามดวงหรือไม่?” เยี่ยจิ่งหานซักถามเป็นกังวล
“ไม่มี ได้เจอดวงเดียวก็ถือว่าโชคดีมากแล้ว และภายในระยะเวลาอันสั้นเช่นนี้ จะไปหาเจอได้อย่างไรอีกสามดวงที่เหลือ”
“เพียงแค่เจ้าสามารถรับรู้ได้ถึงพลังของดวงวิญญาณ เช่นนั้นก็สามารถหาเจอได้อย่างรวดเร็ว เจ้าหาดวงวิญญาณดวงที่สี่เจอได้อย่างไร?”
“ที่บ้านของตระกูลไป๋หลี่”
ตระกูลไป๋หลี่?
เขาอาศัยอยู่ในตระกูลไป๋หลี่อยู่นานเช่นนั้น แต่กลับไม่รู้สึกว่ามีดวงวิญญาณของอาหน่วนอยู่ในบ้านของตระกูลไป๋หลี่เลยสักนิด
“อยู่ภายในเขตหวงห้ามของตระกูลไป๋หลี่ แน่นอนว่าเจ้าไม่มีทางหาเจออย่างแน่นอน หากไม่ใช่เป็นเพราะข้าไปได้ทันเวลา เกรงว่าดวงวิญญาณของคนรักของเจ้าคงถูกสกัดไปนานแล้ว และกลายเป็นเพียงแท่นหินรองเท้าเพื่อให้คนอื่นเหยียบย่ำไปแล้ว”
“อะไรนะ……”
แววตาที่มีความสุขของเยี่ยจิ่งหานเยือกเย็นลงทันที และดูเหมือนเต็มไปด้วยรัศมีอาฆาตสังหาร
“มีคนมากมายบนโลกใบนี้ที่รู้วิชาชั่วร้าย ไม่ได้มีเพียงข้าคนเดียวเท่านั้นที่รู้วิชามหาเวทย์ดูดพลัง ตระกูลไป๋หลี่ก็รู้ อีกอย่างวิธีการของพวกเขาก็ชั่วร้ายและรุนแรงกว่าข้ามาก ถึงขั้นสามารถกำจัดมนุษย์ทั้งโลกได้”
“หากตระกูลไป๋หลี่คิดแตะต้องอาหน่วนละก็ พวกเขาต้องเตรียมพร้อมสำหรับการที่จะถูกฆ่าล้างเผ่าพันธุ์”
กู้ชูหน่วนนอนลงบนเก้าอี้นวมยาวและหัวเราะออกมา “เจ้าไม่มีโอกาสนั้นแล้ว ตระกูลไป๋หลี่ได้ถูกกำจัดทำลายไปทั้งตระกูลแล้ว”
“เจ้าเป็นคนลงมืออย่างนั้นหรือ?”
เยี่ยจิ่งหานหันไปมองกู้ชูหน่วน ราวกับกำลังสร้างความแน่ใจ
“ทำไมหรือ ไม่เชื่ออย่างนั้นหรือ?”
“หากเป็นคนอื่นข้าอาจจะไม่เชื่อ แต่บนหน้าผากของเจ้ามีดวงวิญญาณของอาหน่วนของข้าอยู่ ทำให้ข้าเชื่อใจได้ว่าเรื่องที่อาหน่วนคิดอยากจะทำแล้วนั้น ไม่มีทางที่จะทำไม่สำเร็จ”
เมื่อพูดถึงอาหน่วน ใบหน้าของเยี่ยจิ่งหานก็เต็มไปด้วยความภาคภูมิใจ
กู้ชูหน่วนกลอกตาขาวใส่อย่างไม่สบอารมณ์
“อาหน่วนที่ไหนกัน คนที่ทำลายตระกูลไป๋หลี่คือข้าต่างหาก ไม่ใช่นาง นางเป็นเพียงแค่ดวงวิญญาณไม่สมประกอบก็เท่านั้น”
“นั่นเป็นเพราะนางแอบช่วยเจ้า หากไม่มีนาง เจ้าก็เป็นได้เพียงสิ่งไร้ประโยชน์ในดินแดนวิญญาณเยือกแข็งแห่งนั้นเท่านั้น”
“เยี่ยจิ่งหาน ข้ารู้สึกว่าเจ้าช่างไร้จิตสำนึกเสียเหลือเกิน เจ้าไม่คิดหน่อยหรือว่าใครเป็นคนช่วยดึงเจ้ากลับขึ้นมาจากนรก”
“ทักษะด้านการแพทย์ของเจ้า ก็ได้มาจากอาหน่วนของข้า”
กู้ชูหน่วนทำอะไรไม่ถูก “ทักษะการแพทย์ของข้าได้มาจากอาหน่วนของเจ้าตั้งแต่เมื่อไรกัน”
เยี่ยจิ่งหานเย้ยหยันอย่างเย็นชา “ตอนที่ดวงวิญญาณของอาหน่วนของข้ายังไม่เข้าไปอยู่ในร่างกายของเจ้า เจ้ารู้ทักษะด้านการรักษาอย่างนั้นหรือ? เจ้ารู้ทักษะการต่อสู้อย่างนั้นหรือ? เจ้าจะกลายเป็นเจ้าของสัตว์ร้ายที่มีสมญานามว่าผู้ควบคุมอสุรกายนับหมื่นอย่างนั้นหรือ?”
“ฮึ……ทั้งหมดที่ข้ามีล้วนเป็นเพราะนางมอบให้ข้าอย่างนั้นหรือ?”
“แน่นอนอยู่แล้ว”
“ในเมื่อนางเก่งกาจเช่นนั้น เหตุใดนางถึงคนอื่นทำร้ายอย่างนั้นหรือ?”
ท่าทีที่ดูภาคภูมิใจของเยี่ยจิ่งหานเลือนหายไปทันที และจ้องมองนางด้วยสายตาที่เยือกเย็น จากนั้นกล่าวออกไปอย่างดุดัน “บนโลกใบนี้ใครจะสามารถทำร้ายนางได้ และใครหรือที่จะฆ่านางได้ เป็นเพราะนางสังเวยชีวิตของตัวเองต่างหากล่ะ”
“เหตุใดนางถึงสังเวยชีวิตตัวเองอย่างนั้นหรือ? เช่นนั้นก็แสดงว่านางไม่ได้เพียบพร้อมเก่งกาจไปเสียทุกอย่าง หากนางเก่งกาจเพียบพร้อมจริง เหตุใดนางถึงต้องสละชีวิตของตัวเองเพื่อช่วยชีวิตทุกคนในเผ่าอวี้ด้วยล่ะ”
เยี่ยจิ่งหานตะโกนออกไป “มู่หน่วน”
“ก็ได้ๆ ข้าไม่พูดอะไรถึงนางก็ได้ พอใจหรือไม่ หากเจ้ายังใช้สายตาที่เหมือนกับจะฆ่าข้าเช่นนี้อีก ระวังข้าจะถูกเจ้าฆ่าตายโดยไม่รู้ตัว หากเป็นเช่นนั้นเจ้าไม่มีทางหาดวงวิญญาณที่เหลือทั้งสามดวงเจออย่างแน่นอน”
“หาเจออย่างแน่นอน”
“ฝันไปเถอะ คำนี้เหมือนที่เสี่ยวหูเตี๋ยได้เคยพูดไว้ แต่พวกเจ้าหาเจอแล้วอย่างนั้นหรือ? แม้แต่ดวงเดียวก็หาไม่เจอล่ะสิ”
“เจ้าทำลายล้างตระกูลไป๋หลี่ เป็นไปไม่ได้ที่เหวินเส่าอี๋จะไม่รู้ เรื่องที่เจ้าได้ครอบครองดวงวิญญาณของอาหน่วน คาดว่าเขาก็คงรู้แล้วเช่นกัน เขาไม่ได้แย่งชิงดวงวิญญาณที่อยู่หน้าผากของเจ้าไป หรือเป็นเพราะเขาก็สั่งให้เจ้ารวบรวมดวงวิญญาณของอาหน่วนให้ครบอย่างนั้นหรือ?”
“ใช่แล้ว แต่ข้าไม่มีทางให้เขาเด็ดขาด ดวงวิญญาณที่ข้ารวบรวมได้ทั้งหมด ข้าจะมอบให้เจ้าแต่เพียงผู้เดียว เพราะอย่างไรเสียข้าก็ได้ตอบตกลงเจ้าเอาไว้แล้ว ต่อให้ต้องแลกมาด้วยชีวิตของข้า เช่นนั้นข้าก็จะช่วยเจ้าได้ครอบครองดวงวิญญาณให้ได้”
คำพูดนี้ได้ผลเป็นอย่างมาก
ทว่าเยี่ยจิ่งหานยังคงพ่นลมถอนหายใจอย่างเย็นชา
“ทำเป็นพูดจาประจบประแจง ใครจะรู้ว่าสิ่งที่เจ้าพูดมาเป็นเรื่องจริงหรือคำโกหก”
“กับคนอื่นข้าพูดโกหกออกไป แต่กับเจ้าข้าพูดความจริง”
กู้ชูหน่วนขยับเข้าไปใกล้เขา และจ้องมองเขาอย่างเสน่หา
เดิมทีเยี่ยจิ่งหานต้องการดุนางให้ขยับออกไปไกลๆ ทว่าเมื่อเห็นแววตาคู่นั้นที่คุ้นเคย ทำให้เขากลับพูดอะไรไม่ออกและในหัวก็ปรากฏแต่ภาพของกู้ชูหน่วนที่กำลังยิ้มแย้ม
เมื่อนานมาแล้ว นางก็ใช้แววตาที่ลึกซึ้งเช่นนี้จับจ้องมาที่เขาเช่นกัน
เยี่ยจิ่งหานคิดถึงแววตาเช่นนี้ เขายื่นมือออกไปอยากจะลูบคลำ แต่เมื่อขยับ กุญแจมือที่เย็นยะเยือกบนข้อมือก็ทำให้เขาตื่นจากภวังค์ทันที
และเมื่อมองออกไปอีกครั้ง ตรงหน้ากลับเป็นมู่หน่วน ไม่ใช่กู้ชูหน่วนเลยสักนิด
เยี่ยจิ่งหานหันหน้าไปทางอื่นและไม่หันกลับไปมองแววตาคู่นั้นที่ทั้งคุ้นเคยและแปลกหน้า จากนั้นกล่าวอย่างเย็นชา “ห้ามมองข้าด้วยสายตาเช่นนั้นอีก”
“ก็ได้ เช่นนั้นเจ้าช่วยให้ข้าเพิ่มระดับวรยุทธ์ถึงระดับห้าก่อน”
เยี่ยจิ่งหานรับรู้ได้ถึงลมหายใจที่หนักแน่นของนาง
แม้ว่าจะได้รับบาดเจ็บ ทว่าวรยุทธ์ของนางได้เพิ่มไปถึงระดับสี่ขั้นกลางอีก อีกทั้งยังมั่นคงอย่างมาก
ภายในระยะเวลาอันสั้นเช่นนี้แต่กลับเพิ่มระดับวรยุทธ์ไปถึงขั้นสี่ระดับกลางได้ และไม่มีทีท่าของพลังปราณอันบ้าคลั่งเลยสักนิด?
“มียอดฝีมือช่วยเจ้าอย่างนั้นหรือ?”
กู้ชูหน่วนแตะปลายจมูก “เช่นนั้นกระมัง”
ท่าทางการแตะปลายจมูกของนางเหมือนกับกู้ชูหน่วนอย่างแยกไม่ออก แม้แต่การพูดและท่าทีของนางก็เหมือนอย่างมาก
หากไม่รู้ว่าเพียงเพราะดวงวิญญาณของกู้ชูหน่วนอยู่ในร่างของนาง เยี่ยจิ่งหานคงคิดว่านางคงเป็นกู้ชูหน่วนแน่ๆ
“แม้ว่าวรยุทธ์ระดับสี่ขั้นกลางของเจ้าจะมั่นคงแข็งแกร่งแล้ว แต่ก็ไม่ควรเสี่ยงอีก การเพิ่มระดับวรยุทธ์นั้นไม่เคยมีใครเพิ่มขึ้นได้อย่างรวดเร็วเช่นนั้น”
“ในอดีตไม่เคยมี แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าในอนาคตจะมีไม่ได้”
เยี่ยจิ่งหานไม่พูดอะไร
กู้ชูหน่วนนั่งอยู่ที่เตียงของเขาในท่ากอดอก และกล่าวออกมาอย่างเกียจคร้าน “อีกสองสามวันก็จะถึงงานอภิเษกสมรสของเจ้าและจักรพรรดินีแล้ว หากเจ้าต้องการแต่งงานกับนาง ข้าก็ไม่ว่าอะไร”
“คนบ้า”
“ข้ามันบ้า ข้าบ้าคลั่งตั้งแต่ตอนที่คนในตระกูลมู่ถูกฆ่าล้างตระกูล และคนที่เคยได้เข้าร่วมในการฆ่าล้างครั้งนั้น ข้าไม่มีทางปล่อยเอาไว้แน่”
เมื่อได้ยินเรื่องที่ตระกูลมู่ถูกฆ่าล้างตระกูล เยี่ยจิ่งหานก็เงียบขรึมลงชั่วขณะ
แม้ว่าเขาจะไม่ได้มีส่วนร่วมในการไปฆ่าล้างตระกูลมู่ ทว่าหากไม่ใช่เป็นเพราะเขาและเหวินเส่าอี๋ปล่อยข่าวบางอย่างออกไป แต่ละสำนักและตระกูลต่างๆ ก็คงไม่ลงมือกับตระกูลมู่ และคงไม่เกิดการฆ่าล้างตระกูลมู่ขึ้น
จะว่าไปแล้ว เขาและเหวินเส่าอี๋ก็ล้วนแต่เป็นฆาตกรในทางอ้อม
“ตระกูลไป๋หลี่ถูกเจ้าฆ่าตายไปหมดแล้วไม่ใช่หรือ? เจ้าได้ล้างแค้นไปหมดแล้ว”
“นอกจากตระกูลไป๋หลี่แล้ว ตระกูลและสำนักอื่นๆ ล่ะ พวกเขาไม่มีส่วนร่วมเลยอย่างนั้นหรือ?”
เยี่ยจิ่งหานนึกอะไรขึ้นได้ “เจ้าต้องการกำจัดทุกสำนักและทุกตระกูลอย่างนั้นหรือ?”
กู้ชูหน่วนมองออกไปนอกหน้าต่างด้วยสีหน้าเย็นชา ราวกับกำลังพูดถึงเรื่องปกติ ทว่าเมื่อพูดออกมา กลับทำให้คนฟังรู้สึกตกตะลึง
“ข้าไม่โหดเหี้ยมเช่นนั้น กรรมเกิดจากเหตุ มีเหตุจึงมีผลตามมา ข้าไม่มีทางไปทำร้ายคนที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง และคนที่มีส่วนร่วม ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม ข้าจะทำให้พวกเขาต้องเสียใจกับการกระทำในวันนั้นของพวกเขา”
เยี่ยจิ่งหานกำสองมือแน่น และครุ่นคิดอยู่นานว่าจะสารภาพออกไปดีหรือไม่ ว่าวันนั้นเขาเป็นคนปล่อยข่าวออกไป จึงทำให้แต่ละสำนักและตระกูลพากันไปหานาง และไปที่บ้านตระกูลมู่
ทว่าเขากลับคิดไม่ถึงว่าตระกูลมู่จะถูกฆ่าตายทั้งหมดด้วยเรื่องนี้
และยังไม่ทันคิดได้ว่าจะสารภาพออกไปหรือไม่ กู้ชูหน่วนก็พูดขึ้นมาก่อน “เหลือเวลาอีกสองสามวันก็จะถึงวันแต่งงานแล้ว เจ้าคิดดีแล้วหรือไม่? แม้ว่าข้าจะไม่มีความมั่นใจเต็มร้อย แต่อย่างน้อยก็ได้ลองสักครั้ง ไม่แน่อาจจะพอมีหนทางให้เจ้าไม่ต้องแต่งงานกับจักรพรรดินีก็เป็นได้”
“เวลาเพียงสองสามวัน ต่อให้เป็นเทพเทวดาก็ไม่มีทางไปถึงระดับห้าได้”
แม้ว่าเขาจะถือเป็นยอดฝีมือที่มีพรสวรรค์ ทว่าจากวรยุทธ์ระดับสี่ขั้นกลางเพิ่มไปถึงระดับห้า เขาก็ต้องใช้เวลาอยู่หลายปีเช่นกัน
เวลาเพียงสองสามวัน จะทำสำเร็จได้อย่างไรกัน
“เจ้ามีวิชาต้องห้ามเยอะไม่ใช่หรือ?”
“ไม่มี”
เยี่ยจิ่งหานกล่าวออกไปอย่างไม่สบอารมณ์ “ต่อให้ไม่มีเจ้า นางก็ไม่มีทางแตะต้องข้าได้ อย่าได้คิดเรื่องเหล่านี้อีกเลย”
กู้ชูหน่วนลูบคางและมองดูเขาที่ถูกมัด จากนั้นพยักหน้าอย่างเคร่งขรึม “เป็นถึงเทพแห่งสงคราม ข้าเชื่อว่าเจ้าทำได้ เพียงแค่โซ่เหล็กพันปีจะไปรั้งเจ้าไว้ได้อย่างไร อีกอย่างอาการบาดเจ็บของเจ้าก็เกือบจะหายดีแล้ว”