ขยะแห่งตระกูลเคานต์ Trash of the Count’s Family - ตอนที่ 226.2
บทที่ 226 ไม่ต้องกังวล 7 (2)
– มนุษย์! เจ้ากําลังคิดอะไรอยู่? เจ้ากําลังคิดที่จะทําลายทุกอย่างจริงๆสินะ!
คาร์ลยังคงไม่สนใจราอนก่อนจะก้าวเข้าสู่วงเวทย์เคลื่อนย้ายมวลสารทันที เชวฮัน แมรี่ ทาช่าและฮิลส์แมนคาร์ลสามารถมองเห็นใบหน้าของพวกเขาได้อย่างชัดเจนก่อนจะค่อยๆหลับตาลงในที่สุด
อุปกรณ์เคลื่อนย้ายมวลสารเริ่มสั่นสะเทือนในขณะที่คนอื่นที่เหลือต่างพากันยืนนิ่งๆพร้อมกับทําสีหน้าแปลกที่ไม่สามารถอธิบายเป็นคําพูดได้
คาร์ลค่อยๆลืมตาขึ้น เขาเดินทางกลับมาถึงอาณาจักรโรมันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
“ท่านพี่!”
“พี่คาร์ลเจ้าคะ!”
อาณาเขตเฮนิตัส แนวหน้าแห่งการสู้รบประจําภาคตะวันออกเฉียงเหนือของอาณาจักรโรมัน นี่คือสถานที่ที่คาร์ลกลับมาถึงเมื่อเขาลืมตาขึ้น
เขาเดินทางกลับบ้านเพียงลําพัง ในขณะที่คนในครอบครัวของเขาก็ออกมาต้อนรับกันอย่างพร้อมเพรียง
“ข้ากลับมาแล้ว”
มนุษย์! ข้าก็กลับมาเช่นกัน! เรากลับถึงบ้านแล้ว!
แน่นอนว่าราอนก็เดินทางกลับมาพร้อมกับเขา
เคานต์เดอรัชปรี่เข้าหาคาร์ลที่กําลังก้าวออกจากอุปกรณ์เวทย์เคลื่อนย้ายมวลสาร เขามองไปที่ใบหน้าและลําตัวของบุตรชายก่อนจะตบไปที่ไหล่ของคาร์ลเบาๆ
“ยินดีต้อนรับกลับบ้านนะลูก”
เคานต์เดอรัชไม่ได้พูดอะไรต่อ เช่นเดียวกับเคานต์เตสวิโอแลนที่พยักหน้ารับการโค้งทักทายจากคาร์ลและเอ่ยขึ้น
“ข้าให้คนเตรียมอาหารที่ลูกชอบไว้แล้ว..รีบไปทานอาหารกันก่อนเถอะ”
หลังจากพูดจบเธอก็รีบเดินนําทันที เคานต์เดอรัชก็ก้าวตามเธอไปอย่างรวดเร็ว คาร์ลรู้สึกผ่อนคลายขึ้นเมื่อเริ่มสาวเท้าตามไป เหล่าน้องๆของเขาทั้งบาเซ็นและลิลลี่ก็รีบเดินมาประกบเขาเช่นกัน
“พี่คาร์ล”
“ข้าไม่ได้ซื้อของฝากกลับมาให้พวกเจ้าเลย”
คาร์ลตอบกลับก่อนจะใช้ปลายคางขี่ไปข้างหน้าเพื่อบอกว่าพวกเขาควรรีบกันในตอนนี้ บาเซ็นลังเลอยู่ครู่หนึ่งเมื่อเห็นการกระทําของคาร์ลแต่ก็ตัดสินใจเอ่ยขึ้นในที่สุด
“…ข้าได้ยินมาว่าที่เมืองหลวงจะมีการจัดขบวนพาเหรดเพื่อฉลองความสําเร็จให้กับผู้ที่ไปสร้างผลงานที่อาณาจักรคาโร..แล้วทําไมท่านพี่ถึงกลับมาก่อนคนเดียวหรือขอรับ?”
สมาชิกทุกคนที่พากันกลับจากอาณาจักรคาโรยกเว้นเพียงคาร์ลคนเดียวต่างพากันมุ่งหน้าไปยังเมืองหลวงของอาณาจักรโรมัน ซึ่งทางฝั่งอาณาจักรโรมันได้จัดขบวนพาเหรดเพื่อต้อนรับพวกเขาโดยเฉพาะ
บาเซ็นคิดว่าพี่ชายของตนคือคนที่สมควรได้รับการยกย่องมากที่สุด อย่างไรก็ตามพี่ชายของเขากลับปฏิเสธที่จะไปยืนอยู่จุดนั้นและเดินทางกลับมาบ้านเพียงคนเดียว
พ่อแม่ของเขาไม่ได้เอ่ยถามพี่คาร์ลเกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่บาเซ็นและลิลลี่ต่างพากันสงสัย พี่คาร์ลเป็นความ ภาคภูมิใจของพวกเขาทําให้พวกเขาอยากรู้ว่าทําไมคาร์ลถึงพยายามหลีกเลี่ยงเส้นทางที่จะนําพาเขาเข้าสู่ชีวิตที่รุ่งโรจน์เช่นนี้ด้วย
บาเซ็นจ้องไปที่คาร์ลที่กําลังอธิบายในสิ่งที่เขาคิดว่ามันไม่สมเหตุสมผลเลยสักนิด
“อะไรแบบนั้นไม่เหมาะกับข้าหรอกนะ ตราบใดที่เราชนะ ข้าก็พอใจแล้ว ข้าไม่ต้องการอะไรที่มากไปกว่านี้อีก”
คาร์ลต้องเผชิญหน้ากับสายตาที่น่ากลัวของคนที่โบกมือให้กับเขาหากเขาต้องเข้าร่วมกับขบวนพาเหรด เขารู้สึกโล่งใจที่ตัวเองสามารถหนีจากสิ่งนั้นมาได้
ถึงแม้ไม่มีเขาร่วมขบวนไปด้วยแต่เชวฮัน แมรี่และทาช่าจะเป็นจุดสนใจของทุกคน นั่นคือเป้าหมายหลักของเขา อีกอย่างเขาไม่จําเป็นต้องกังวลแม้ว่าตัวเองจะไม่ได้อยู่ใกล้ๆกับพวกเขา
“ฮิลส์แมน ทาช่าและองค์ชายอัลเบิร์กจะคอยดูแลพวกเขาได้เป็นอย่างดี”
การรวมตัวกันของรองหัวหน้าองครักษ์ฮิลส์แมน ดาร์กเอลฟ์ทาช่าผู้มีความรู้ในด้านการเมืองของอาณาจักร และองค์ชายรัชทายาทอัลเบิร์กผู้ถนัดในการจัดการเรื่องต่างๆ มันเป็นการรวมตัวที่เต็มไปด้วยความน่าเชื่อถือ หากมีทั้งสามคนนี้คอยกํากับอยู่ไม่ห่าง เขาก็ไม่ต้องคอยกังวลกับนักแสดงยอดแย่เช่นเชวฮันหรือคนที่ไร้เดียงสา เช่นแมรี่
“เชวฮันกับแมรี่ก็น่าจะทําได้ดี”
เขาคาดว่าทั้งสองคนจะรู้ว่าตัวเองควรทําเช่นไรกับสถานการณ์เช่นนี้เมื่อพากันตกปากรับคําเขาทันทีที่เขาออกปากกับพวกเขา โดยเฉพาะเชวฮันนั้นดูเหมือนจะเชื่อฟังทุกอย่างที่เขาบอกไป
“อ่า..เชวฮัน เจ้าไม่ต้องสนใจกับพวกขุนนางที่จะเข้ามาพูดคุยกับเจ้า องค์ชายรัชทายาทจะเป็นคนจัดการทุกอย่างให้เจ้าเอง”
“ขอรับ ท่านคาร์ลไม่ต้องกังวล”
คาร์ลเห็นรอยยิ้มใสซื่อบนใบหน้าของเชวฮันจึงสาวเท้าเดินต่อไปอย่างไร้กังวล เป็นจังหวะที่เสียงของราอนดังเข้ามาให้ได้ยินพอดี
“เชวฮัน ทําไมเจ้ายิ้มแบบนั้นล่ะ?”
“หืม? ทําไมราอนถึงทักเชวฮันแบบนั้น?”
คาร์ลหันหลังกลับไปมองเมื่อได้ยินราอนพูดประโยคดังกล่าว มันเป็นประโยคที่ราอนชอบทักเขาเมื่อเขาวางแผนหลอกลวงใครสักคน ใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มใสซื่อของเชวฮันยังคงเด่นชัดอยู่ในสายตาของคาร์ล เช่นเดิม เขายังมองเห็นแมรี่ที่ยืนอยู่ข้างๆเชวฮันพร้อมกับกําหมัดแน่นอีกด้วย
ฮ่าฮ่าฮ่า!ไม่ต้องกังวลไปหรอกนายน้อยคาร์ล..ทั้งเช่วฮันและแมรี่จะทําหน้าที่ของตัวเองได้เป็นอย่างดี พวกเขาทั้งคู่แข็งแกร่งกว่าที่ท่านคิดเอาไว้มากนัก
…ความแข็งแกร่งของสองคนนี้ฉันก็รู้อยู่แล้วนี่นา?
“ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าๆๆ!”
คาร์ลเริ่มขมวดคิ้วมุ่นเพราะไม่เข้าใจว่าทําไมทาช่าถึงได้หัวเราะเสียงดังขนาดนี้ จากนั้นเขาก็เดินไปหาผู้ร่วมขบวนการคนสุดท้าย เขาตบไปที่ไหล่ของฮิลส์แมนเบาๆพร้อมกับกําชับเสียงแข็ง
“…ส่วนเจ้า อย่าเที่ยวไปพูดจาไร้สาระเกี่ยวกับนายน้อยโล่เงินอีกเป็นอันขาด เรื่องที่ไม่สมควรก็ห้ามทําเข้าใจหรือไม่?”
“ฮ่าฮ่าฮ่าๆๆๆ!! เข้าใจแล้วขอรับ! กระผมเข้าใจแล้วขอรับนายน้อยคาร์ล!”
เสียงหัวเราะของฮิลส์แมนแว่วเข้ามาในความคิดของคาร์ลเมื่อเขาสาวเท้าไปยังห้องอาหาร เขาพึมพําออกมาเบาๆ
“อ่า..การได้อยู่บ้านแบบนี้ช่างสงบสุขยิ่งนัก”
เป็นเพราะทุกครั้งที่เขาออกจากบ้านมักจะได้ทํางานหนักเสมอ
น้องๆของคาร์ลที่ได้ยินสิ่งที่เขาพึมพําออกมาเมื่อครู่ต่างหันมามองหน้ากันและเม้มปากแน่น แผ่นหลังกว้างของพี่คาร์ลในวันนี้ทําไมถึงได้ดูเล็กลงขนาดนี้กันนะ?
คาร์ลไม่รู้ถึงสิ่งที่น้องๆของตนคิดเมื่อเขาจดจ่อกับอาหารที่อยู่ตรงหน้า อย่างไรก็ตามเคาน์เตสวิโอแลนยังคงเอ่ยถามเขาซ้ําแล้วซ้ําเล่า
“คาร์ล..อาณาจักรคาโรเลี้ยงดูปูเสื่อลูกดีหรือไม่?”
“ขอรับ..พวกเขาจัดอาหารดีๆให้ลูกทานอยู่ตลอด” “คาร์ล ตอนที่ลูกอยู่ที่นั่นนอนหลับสบายดีหรือเปล่า?”อื้มมม…ลูกนอนหลับเป็นปกติขอรับ”อ่า..ว่าแต่ไม่มีใครมาดูถูกลูกใช่มั้ย?”ไม่มีเหตุผลให้พวกเขาต้องทํา เช่นนั้นหรอกขอรับจะมีก็แต่..วิหารพระเจ้าแห่งแสงตะวันที่ดูถูกลูก”…อย่างนั้นหรือ“คาร์ลตอบคําถามออกไปตรงๆอย่างไม่คิดปิดบังจากนั้นก็หยิบไส้กรอกเข้าปากอีกครั้งและยิ้มพอใจกับรสชาติที่แสนอร่อยที่เป็นสูตร เฉพาะของพ่อครัวประจําตระกูลเฮนิตัส”
ในทางกลับกันเคานต์เดอรัชสบสายตาเย็นชาเข้ากับภรรยาของตน จากนั้นก็หันไปมองลูกชายของเขาที่ยิ้มอย่างมีความสุขเพราะรสชาติที่แสนอร่อยของอาหารง่ายๆเช่นไส้กรอกและน้ําเย็นหนึ่งแก้ว
“เย้! เรากลับมาถึงบ้านเราแล้ว! นานมากเลยที่เราไม่ได้กลับมาที่นี่!“ราอนเหาะผ่านหน้าคาร์ลไปด้วยความตื่นเต้นและมุ่งหน้าไปยังคฤหาสน์ใต้ดินซึ่งเคยเป็นที่อยู่ของพลังแห่งศิลามาก่อน”เฮอะ! ดูท่าเจ้าเด็กน้อยจะโตแต่ตัวเท่านั้น”อูฮาเบ็นบ่นออกมาอย่างไม่จริงจังนักก่อนจะก้าวไปเดินข้างๆคาร์ลด้วยท่าทางสบายๆ ตอนนี้พวกเขามาถึงคฤหาสน์ใต้ดินในป่าแห่งความมืดแล้ว คาร์ลกลับมาที่นี่เป็นครั้งแรกหลังจากห่างหายไปเป็นระยะเวลานาน คาร์ลมองไปที่ฝาแฝดผมบลอนด์และเคจที่กําลังพูดคุยกับราอนอยู่ จากนั้นก็หันกลับมามองอูฮาเบ็น” มีอะไรรึเปล่า?”อูฮาเบ็นรู้สึกถึงสายตาที่คาร์ลใช้จองเขาจึงได้เอ่ยถามออกไป” ดูเหมือนเจ้าลูกครึ่งมังกรของอาร์มจะเข้าใจผิดว่าข้าเป็นลูกครึ่งมังกรเช่นเดียวกับเขาทําไมหมอนั่นถึงเข้าใจผิดไปไกลขนาดนั้นได้นะ? คาร์ลยังคงทึ่งกับความคิดอันแปลกประหลาดของคนบ้าแบบนั้น ทําไมบนโลกนี้ถึงมีคนคิดอะไรแปลกๆแบบนี้ไปได้ มันจึงเป็นสาเหตุให้คาร์ลนําเรื่องนี้มาปรึกษากับอฮาเป็นและคอยดูปฏิกิริยาตอบรับของเขาอย่างใจจดใจจ่อ”…เจ้านะ?”ดูเหมือนอูฮาเบ็นจะพยายามกลั้นหัวเราะเอาไว้ คาร์ลเริ่มรู้สึกไม่ดีเมื่อเห็นท่าทางของมังกรวัยชราที่ พยายามกลั้นหัวเราะอย่างหนัก จากนั้นอูฮาเบ็นก็เดินต่อและตอบกลับคาร์ลอย่างไม่ตั้งใจนัก”เจ้าจะเป็นลูกครึ่งมังกรได้อย่างไรในเมื่อเจ้ามีของชิ้นนั้นอยู่กับตัว “ของชิ้นนั้น?
พอได้ยินแบบนี้ทําให้คาร์ลถึงกับชะงัก มีมงกุฎอยู่ในกระเป๋าเวทย์ของเขา แน่นอนว่ามันคือมงกุฎดื่มเลือด มังกร
จากนั้นประโยคกลั้วหัวเราะของอฮาเป็นก็ดังให้คาร์ลได้ยิน”เจ้านี่มันโชคร้ายจริงๆ เจ้ามักนําสิ่งที่ไร้ประโยชน์กลับมาด้วยเสมอ“คาร์ลถึงกับพูดไม่ออกและรู้สึกนึ่งในเวลาเดียวกัน เขาทิ้งที่อูฮาเบ็นรู้สึกถึงออร่าของมงกุฎที่ราอนไม่สามารถรู้สึกถึงมันได้ สมแล้วที่อูฮาเบ็นเป็นมังกรวัยชราที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมาหลายปี
มันทําให้เขารู้สึกโล่งใจเมื่อมายืนอยู่ตรงหน้าเสาหินที่สั่นคลอนเป็นระยะๆนี้ นักบวชเคจที่เขาไม่ได้เห็นหน้ามาเป็นเวลานานก็เริ่มเอ่ยขึ้น”โซ่ที่เคยรัดเสาหินเอาไว้เหลืออยู่ประมาณ 1 ใน 5 ของโซ่เดิมเท่านั้น ท่านคงใช้พลังของพระเจ้าแห่งความตายผนึกเอาไว้ชั่วคราวสินะ”อย่างน้อยเขาก็ควรใช้พลังตัวเองให้เป็นประโยชน์บ้างล่ะน่า“คาร์ลละสายตาออกจากเคจผู้ที่ทําให้สถานการณ์อันตึงเครียดผ่อนคลายลง เขามองกลับไปที่เสาหินอีกครั้ง มันเป็นเส้นทางที่เจ้าของพลังศิลาปิดผนึกเอาไว้ มันน่าจะมีอายุราวๆ 100,000ปีและจะไม่มีใครทําลายมันได้นอกจากคนในปกครองของเจ้าของพลังศิลา
“ฉันรู้ว่าสิ่งที่เขาพูดมันฟังดูบ้าเกินไป..แต่ก็นั่นล่ะฉันก็ไม่เชื่อใจเขาสักเท่าไหร่”
“อยู่มานานกว่า 100,000ปีและจะไม่มีวันพังลงง่ายๆบ้านแกนะสิ!”
มันดูเหมือนจะพังลงได้ตลอดเวลาแล้วแท้ๆ
เอี้ยด!เอี้ยด!เอียด!
เสียงโซ่ที่เสียดสีไปกับเสาหินดังขึ้นเป็นระยะๆพร้อมกับเสาที่ส่ายไปมาคล้ายกับจะโค่นลง เขามองเห็นแสงที่สาดออกมาในทุกๆครั้งที่เสาหินมีการขยับตัว
มันเป็นแสงสีม่วงที่ดูน่าพิศวงยิ่งนัก
ดูท่าแล้วคาร์ลอาจจะต้องเสี่ยงทําบางอย่างเพื่อจัดการกับเรื่องนี้ เขาหันไปมองอูฮาเบ็นที่กําลังเอ่ยปากพูด” ดูเหมือนอีกฝั่งหนึ่งจะพังก็เลยทําให้มันมีปฏิกิริยาเช่นนี้อีกฝั่ง? ทวีปตะวันออก? “ใช่แล้ว..ต้องมีคนจากทวีปตะวันออกเข้าไปยุ่งกับมันแน่ๆ “แววตาของคาร์ลครึมลง ใครกันที่ไปแตะเสาหินนี้? ต้องเป็นคนที่มีพละกําลังมากพอจนทําให้เสาหินเกิดปฏิกิริยาแบบนี้ได้”
“หรือจะเป็นพวกอาร์ม?”
คาร์ลหันไปถามอูฮาเบ็นที่ดูจะพึ่งพาได้มากที่สุดเพราะแม้แต่มงกุฎที่เขาเก็บเอาไว้อฮาเป็นก็ยังรู้สึกถึงมันได้”ท่านอูฮาเบ็น เราควรจะทําอย่างไรดี? “อูฮาเบ็นตอบกลับทันทีราวกับว่าไม่มีอะไรให้ต้องลังเล”เจ้าจะต้องทําอะไรด้วยหรือ? ไม่ต้องไปกังวลกับมันนักหรอก”สีหน้าของอูฮาเบ็นดูน่าเชื่อถือยิ่งนักเมื่อเขาบอกให้คาร์ลไม่ต้องกังวลกับเรื่องนี้ คาร์ลคิดว่าตัวเองคงมีโอกาสได้เห็นถึงการแก้ปัญหาของมังกรวัยชราผู้มีประสบการณ์มาหลายร้อยปี เขากําลังคาดหวังกับสิ่งที่อูฮาเบ็นจะลงมือทํา”
อูฮาเบ็นเริ่มแต้มยิ้มจางๆและเอ่ยออกมาด้วยน้ําเสียงเหี้ยม”เราสามารถทําลายมันได้ก่อน”ว้าว! ท่านปู่! เรามาทําลายมันกันเถอะ!”
ความรู้สึกที่ว่าอูฮาเบ็นน่าเชื่อถือและพึ่งพาได้หายวับไปจากคาร์ลอย่างรวดเร็ว