ขอให้จักรวาลนี้ ยังคงมีแต่ความสงบสุขต่อไปด้วยเถิด - ตอนที่ 12
ณ ภายในห้องทำงานที่อยู่ด้านบนสุดของตึกสีขาวสูงเสียดฟ้าที่ใจกลางโคโลนี่ ได้มีหญิงสาวผมสีดำยาวผู้มีดาวตาสีทองพร้อมกับใบหน้าเงางาม ชนิดที่ไม่ว่าผู้ใดได้เห็นเธอในครั้งแรกก็ต่างต้องตกอยู่ในภวังค์กำลังก้มหน้าคุกเข่ากราบอยู่บริเวณหน้าประตูทางเข้าห้องทำงานของเธอด้วยสีหน้าที่ดูเคร่งเครียดเป็นอย่างมาก
เสียงจากลิฟต์ที่กำลังเคลื่อนตัวขึ้นมาใกล้ขึ้นเรื่อยๆ นั้นทำให้ตัวเธอเริ่มเกร็งร่างกายมากยิ่งขึ้นจนร่างกายของเธอเริ่มสั่นเครือขึ้นมาเล็กน้อย
จนในที่สุดเมื่อเสียงจากลิฟต์ได้หยุดลง ในขณะที่ประตูของห้องกำลังเปิดพร้อมกับชายหนุ่มผมขาวในชุดสูทสีขาวบริสุทธิ์เดินเข้ามาด้วยสีหน้าที่ยิ้มแย้ม
“อรุณสวัสดิ์ครับไลบรา—”
“ท่านเทนโดเจ้าคะ!!”
ในจังหวะที่ชายหนุ่มผมขาวกำลังจะกล่าวทักทายอยู่นั้นเอง จู่ๆ หญิงสาวผมดำที่ก้มกราบอยู่กับพื้นก็กระโจนเข้ามาเกาะลำตัวของชายหนุ่มพร้อมกับเอาหน้าถูไปถูมาบริเวณท้องของเขา
“เอ่อคือ… ไลบราครับ? เรื่องที่ผมขอให้—”
“ชะ…ช่วยรอสักครู่ได้ไหมเจ้าคะ ตอนนี้ดิฉันกำลังอยู่ในช่วงชาร์จพลังใจอยู่เจ้าค่ะ หากไม่เป็นการรบกวนคุณท่านจนเกินไปดิฉันจะขออยู่แบบนี้สักพักนะเจ้าคะ”
“ถะ…ถึงไลบราจะพูดแบบนั้นก็เถอะครับ!!? แต่อยู่ๆ มา…”
“คุณท่านรู้รึเปล่าเจ้าคะ? ว่างานที่คุณท่านมอบหมายให้ดิฉันไปก้มหน้าก้มตารับใช้คนแบบนั้นอยู่ตลอด 5 ปี มันทำให้ดิฉันรู้สึกแย่ขนาดไหน!? ฉะนั้นแล้วสิ่งนี้ก็คือค่าตอบแทนที่คุณท่านต้องชดเชยให้กับความทุกข์ทรมานของดิฉันยังไงละเจ้าค่ะ! เพราะอย่างนั้นแล้วได้โปรดให้ดิฉันได้กอดคุณท่านแบบนี้ไปอีกสักพักด้วยเถอะเจ้าค่ะ!!”
“คะ…ครับ”
“อ้อนคุณท่านสำเร็จแล้วละเจ้าค่ะ!! อ่า~ กลิ่นของคุณท่านที่ไม่ได้สัมผัสมานาน~”
แล้วพวกเขาทั้งคู่ก็ยืนกอดกันในท่าแบบนั้นอยู่สักพัก จนเวลาผ่านไปไม่นานฝ่ายหญิงที่รู้สึกพอใจแล้วจึงค่อยๆ ถอนใบหน้าของเธอออกมาจากหน้าท้องของชายหนุ่มด้วยรอยยิ้มพร้อมกับแววตาที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความสุข ก่อนไม่นานเธอที่จะกลับไปทำหน้านิ่งๆ เหมือนกับไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้น
“อะแฮ่ม!! อรุณสวัสดิ์เจ้าค่ะท่านเทนโด ยินดีต้อนรับสู่โคโลนี่ลำดับที่ 7 ไลบราเจ้าค่ะ เมื่อสักครู่ดิฉันต้องขอประทานโทษที่แสดงกิริยาที่มิดีมิงามแบบนั้นออกไปจริงๆ นะเจ้าคะ”
“ช่างมันเถอะครับ ยังไงมันก็เป็นความผิดของผมแต่แรกอยู่แล้วที่สั่งภารกิจแบบนั้นออกไปโดยไม่ได้คำนึงถึงความรู้สึกของเธอเลยสักนิด แถมยังทำให้ผู้คนที่ไม่เกี่ยวข้องต้องมาติดร่างแหไป ผมต้องขอโทษจริงๆ นะไลบรา”
ชายหนุ่มพูดขอโทษด้วยท่าทีที่รู้สึกผิด พร้อมกับก้มหัวขอโทษหญิงสาวที่อยู่ตรงหน้าอย่างรวดเร็ว
“ยะ…อย่าทำแบบนั้นเลยเจ้าค่ะท่านเทนโด สิ่งที่ท่านเทนโดทำลงไปน่ะไม่ได้มีความผิดอะไรหรอกนะเจ้าค่ะ เอ่อคือว่า… อ่ะ! ใช่แล้วจริงด้วย!”
หญิงสาวมองไปยังชายหนุ่มที่กำลังก้มหัวขอโทษอยู่ตรงหน้าเธอด้วยความร้อนรนจนทำเริ่มทำอะไรไม่ถูก ก่อนที่ไม่นานเธอจะเริ่มตั้งสติแล้วเดินไปหยิบแว่นตาที่วางอยู่ที่โต๊ะขึ้นมาสวม พร้อมกับหอบแผ่นกระดาษเอกสารจำนวนหนึ่งมาวางไว้ที่โต๊ะรับแขกที่อยู่ใกล้ๆ
“ก่อนอื่น… เรามาฟังสรุปรายงานภารกิจกันก่อนดีไหมเจ้าค่ะ?”
“นั้นสินะ ถ้างั้นก็รบกวนด้วยนะครับไลบรา”
“เข้าใจแล้วเจ้าค่ะ ถ้างั้นก็เริ่มด้วย…”
จากนั้นพวกเขาทั้งคู่นั่งดูผลสรุปรายงานกันอยู่สักพักใหญ่ๆ โดยที่ตัวชายหนุ่มนั้นได้แต่นั่งฟังอยู่เงียบๆ พร้อมกับหยิบกระดาษหลายแผ่นขึ้นมาเทียบข้อมูลเป็นระยะๆ
“แน่นอนว่าความเสียหายที่เกิดขึ้นในด้านเศรษฐกิจของโคโลนี่ที่ถูกปล่อยให้พังพินาศมาตลอด 5 ปีตั้งแต่ช่วง [เฟิร์สเฟส] นั้น ทางดิฉันได้เตรียมการในการฟื้นฟูไว้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ทำให้สามารถลงมือแก้ไขได้ในทันทีหลังจากจบ [ไฟนอลเฟส] ส่วนปัญหาเรื่องของบุคคลทั่วไปที่โดนลากมาติดร่างแหจำนวนมากในช่วง [เซคคั่นเฟส] นั้น ดิฉันได้ทำการจัดเตรียมชดเชยค่าเสียหายที่เกิดขึ้นไว้เป็นที่เรียบร้อยแล้วก็จริง แต่ว่า…”
“พวกนักข่าวกับนักเคลื่อนไหวที่โดนลากมาเอี่ยวด้วยสินะ”
“เจ้าค่ะ… นั้นเป็นรายชื่อผู้เสียหายที่ทางดิฉันคิดว่าอาจจะมีปัญหาตามมาในภายหลัง ซึ่งในส่วนตรงนี้ดิฉันอยากจะขอให้คุณท่านช่วยจัดการออกหน้าแทนให้ดิฉันหน่อยจะได้หรือเปล่าเจ้าค่ะ?”
ชายหนุ่มเอื้อมมือไปหยิบเอกสารที่เป็นรู้เล่มขึ้นมาเปิดดูผ่านๆ ก่อนที่จะวางมันลงไว้ที่เดิม
“เข้าใจแล้วครับ เรื่องของกลุ่มคนพวกนี้เดี๋ยวผมจะหาทางจัดการให้เองครับ”
“ช่วยได้เยอะเลยละเจ้าค่ะ ถ้าเช่นนั้นดิฉันของจบการรายงาน—”
“แล้วเรื่องที่ผมขอให้ช่วยตามหามีข้อมูลใหม่หรืออะไรเพิ่มเติมหรือเปล่าครับไลบรา?”
“เอ๊ะ!? อะ…. เอ่อ… คะ…คือว่า… กะ…เกี่ยวกับเรื่องนั้น…”
ในจังหวะที่หญิงสาวกำลังจะพูดปิดการรายงานอยู่นั้นเอง ตัวชายหนุ่มก็พูดดักขึ้นมาด้วยสีหน้าที่ดูจริงจังเป็นอย่างมากจนทำเองเธอเริ่มทำตัวไม่ถูก
“ไม่มีข้อมูลอะไรเพิ่มเติมเลยสินะ… เอาเถอะ… ก็ไม่ค่อยแปลกใจเท่าไร ดูเหมือนว่าการที่ผมเอาโคโลนี่แห่งนี้มาเป็นเหยื่อล่อเจ้าพวกนั้นจะเป็นการแลกเปลี่ยนที่มีผลเสียมากกว่าที่คิดเลยสินะ”
“สำหรับความสงบสุขระยะยาวแล้ว ดิฉันว่ามันเป็นเรื่องช่วยไม่ได้เจ้าค่ะ เพราะการที่พวกเราคิดจะถอนรากถอนโคนเจ้าพวกนั้น ไม่ว่ายังไงก็ย่อมต้องมีการเสียสละบางสิ่งบางอย่างเป็นธรรมดาอยู่แล้วเจ้าค่ะ…”
“การเสียสละอย่างงั้นเหรอ…”
ชายหนุ่มพูดขึ้นมาลอยๆ ก่อนที่จากเอนตัวไปกับเบาะเก้าอีกพร้อมกับทำหน้าครุ่นคิดอะไรบางอย่าง
“ถึงมันจะเป็นแบบนั้นจริงๆ ก็ตาม แต่มันก็เป็นคำที่ไม่ว่าได้ยินสักกี่ครั้งยังก็รู้สึกไม่ค่อยดีทุกครั้งเลยนะ ไอ้การที่ต้องเสียสละอะไรสักอย่างไปเนี่ย…”
“ดิฉันก็คิดเช่นนั้นเหมือนกันเจ้าค่ะ… ว่าแต่… แม้แต่เหล่าผู้พิทักษ์คนอื่นๆ เองก็ไม่มีใครพบข้อมูลอะไรเพิ่มเติมเลยเหรอเจ้าคะ?”
“อืม… ถึงแม้จะมีพวกข่าวลือแปลกๆ หลุดมาบ้างก็ตาม แต่พอลองไปตรวจสอบดูสุดท้ายก็ไม่มีความเกี่ยวข้องกันเลยสักนิด”
“เป็นเช่นนั้นเอง ลำบากแย่เลยสินะเจ้าคะ…”
“แต่ก็นะ… สุดท้ายแล้วต่อให้เรื่องที่ได้ยินมามันจะไม่มีความเกี่ยวข้องกันเลยก็ตาม แต่ถ้าไม่ไปพิสูจน์ดูด้วยตาของตัวเองมันก็ไม่ได้เหมือนกัน จะว่าไปแล้วผมของถามอะไรหน่อยได้ไหมครับไลบรา”
“เอ๊ะ!!? เอ่อคือ… ระ…หรือว่าเมื่อกี้ฉันอธิบายอะไรที่ทำให้คุณท่านไม่เข้าใจงั้นเหรอเจ้าคะ?”
“ไม่ใช่เรื่องนั้นเหรอ แต่เรื่องที่ฉันจะถามเธอจริงๆ ก็คือ… ไหงเธอถึงยังใช้กระดาษพวกนี้อยู่อีกละเนี่ย? สมัยนี้แล้วการที่ยังมาใช้—”
“หึหึหึ… ท่านเทนโดเนี่ย ไม่เข้าใจถึงสุดยอดความโรแมนซ์ของกลิ่นน้ำหมึกที่ลอยออกมาจากหน้ากระดาษเลยสินะเจ้าคะ มันหอมมากเลยนะเจ้าคะ ถ้าไม่รังเกียจจะลองดูสัก—”
“ขอผ่านแล้วกันครับ แล้วก็รีบไปจัดการงานของพวกเราให้มันเสร็จๆ ไปกันเถอะครับ”
“จริงด้วยสินะเจ้าคะ นี่มันก็ใกล้จะถึงเวลาเริ่มงานงานต้อนรับแขกของเจ้าพวกนั้นแล้วด้วยสิ… ถ้าเช่นนั้นพวกเราเองก็รีบไปเตรียมตัวกันเถอะเจ้าค่ะ”
“นั้นสินะ… ถ้าอย่างงั้นเรามาเริ่ม [ไฟนอลเฟส] กันเลยเถอะ”
***
ในอีกด้านหนึ่ง ศิวะที่พึ่งได้ยินคำขอโคตรอันตรายของสองพี่คู่นี้นั้น ตัวเขาก็ถึงต้องกุมขมับกับความคิดสุดโต่งของพี่น้องคู่นี้
แถมตอนนี้ตัวเขาเองก็กำลังฟังเด็กสาวคนน้องอธิบายข้อมูลที่จำเป็นและแผนการที่จะต้องใช้ในปฏิบัติการปล้นงานประมูลในรอบนี้ ซึ่งแน่นอนว่าเรื่องที่เธอกำลังอธิบายให้เขาฟังนั้นมันแทบจะไม่เข้าหัวเขาด้วยซ้ำ มันก็แน่ละอยู่ๆ ก็มาพูดขอร้องแบบนั้น เป็นใครมันก็ต้องรู้สึกว่ามันดูทะแม่งๆ กันทั้งนั้นล่ะ
“เอ่อ… คุณศิวะ ฟังอยู่หรือเปล่าคะ?”
“นี่ศิวะ~ อย่ามัวแต่นั่งเหม่อลอยแบบนั้นสิ… ย่ะ!!”
“อ้าก!!? เจ็บ! เจ็บ!! เจ็บ!!!”
เด็กสาวคนพี่เอื้อมมืไปที่แก้มของชายหนุ่มพร้อมกับออกแรงบิดแก้มของเขาอย่างรุนแรงจนเขาสะดุ้ง
“อยู่ๆ ทำบ้าอะไรของเธอฟะยังเด็กหงอน!!”
“ตอนนี้เนียร์น้องฉันกำลังพยายามอธิบายแผนการอยู่นะ นายนั้นละมัวแต่เหม่ออะไรของนายอยู่กันแน่!? แล้วก็อย่ามาเรียกฉันว่ายัยเด็กหงอนนะ!!”
“อะ…อย่าพึ่งมาแตกคอกันตอนนี้สิคะพี่ค่ะ คุณศิวะเองก็ด้วยฉันรู้ค่ะว่ามันยากที่จะเข้าใจเรื่องที่ฉันพูดทั้งหมด ตะ…แต่ว่าอย่างน้อยก็ช่วยรับฟังกันหน่อยสิคะ ขอร้องละคะ”
เด็กสาวคนน้องวิ่งเข้ามาห้ามทั้งคู่อย่างรวดเร็วพร้อมกับมองไปยังศิวะด้วยแววตาที่มีน้ำตาไหลออกมาเล็กน้อย จนทำเอาชายหนุ่มรู้สึกผิดที่เขามัวแต่คิดอะไรแบบนั้น
ถึงแม้สิ่งที่เด็กพวกนี้กำลังทำอยู่มันจะดูไม่ดีและโคตรจะอันตรายก็ตาม แต่ว่ามันก็เป็นสิ่งที่มีชีวิตคุณแม่ของพวกเธอเป็นเดิมพัน เพราะงั้นตัวเขาเองก็ควรจะจริงจังให้มันมากกว่านี้เพราะยังไงเรื่องนี้มันก็เกี่ยวพันกับชีวิตของคนคนหนึ่งแล้วไม่ควรทำเป็นเล่นแบบนี้
“ขอโทษนะเนียร์ เมียร์ พอดีฉันยัง… หืม? รูปกับตราสัญลักษณ์นั้นมัน…”
ในจังหวะที่เขากำลังจะขอโทษเด็กทั้งคู่ตรงหน้า หางตาขอเข้าก็เหลือบไปเห็นรูปภาพของผู้หญิงที่ตัวเขาไม่มีวันลืมลงพร้อมกับตราสัญลักษณ์ที่โคตรจะคุ้นตาแบบสุดๆ
“เอ่อคือ… เป็นอะไรหรือเปล่าคะคุณศิวะ?”
“นี่เนียร์ ช่วยเล่าเรื่องของผู้หญิงหัวทองคนนั้นกับตราสัญลักษณ์นั่นให้ฟังอีกรอบได้ไหม? ขอแบบย่อๆ นะ”
“จู่ๆ ก็ทำหน้าจริงจังออกมาแบบนั้น… อะไรของหมอนี้เนี่ย? น่าขนลุกอะ…”
เขาพูดออกมาด้วยน้ำเสียงและแววตาที่ดูจริงจังกว่าปกติ จนเด็กสาวคนพี่เริ่มรู้สึกแปลกๆ
“คะ…ค่ะ!”
เนียร์หยิบแท็บเล็ดขึ้นมาพร้อมกับใช้มือของเธอแตะไปที่มันอยู่สองสามครั้งจนมีหน้าจอโฮโลแกรมขนาดใหญ่ปรากฏขึ้นพร้อมกับรูปของยัยหัวทองที่ถึงตัวเขาพยายามอยากจะลืมๆ มันไปซะแต่ก็ไม่มีทางลืมได้ลง
“อวาริเชีย ไอริส โฟลาริส ลูกคนที่ 5 จาก 7 คน ขององค์จักรพรรดิ อีธาน ไอริส โพลาริส แห่งจักรวรรดิไอริส และดูเหมือนว่าเธอจะเป็นผู้เสียหายในรอบนี้นะคะ”
“ห๊ะ? ดะ…เดี๋ยวนะ ผู้เสียหายเนี่ยนะ? คนอย่างยัยนั้นเนี่ยนะผู้เสียหาย!? ไม่ใช่ว่าที่จริงแล้ว อีนั้นเป็นตัวผู้ก่อความเสียหายซะเองหรอกเหรอ!?
“อยู่ๆ ก็พูดอะไรแปลกๆ ออกมาแบบนั้น นี่นายรู้จักเป็นการส่วนตัวกับอวาริเชีย ไอริส โฟลาริสด้วยเหรอศิวะ?”
เมียร์มองมาที่หน้าของชายหนุ่มที่กำลังทำสีหน้าตกใจแบบสุดด้วยความสงสัย
“จะ…บอกว่าไงดีละ คือแบบเมื่อไม่กี่วันก่อนฉันพึ่งเกือบจะโดนแม่นี่ฆ่านะสิ”
“กะ…เกือบโดนฆ่าเนี่ยนะ!? นี่นายไปก่อวีรกรรมอะไรไว้ล่ะนั้น ไม่สิๆ เอาจริงๆ นี่นายหนีรอดจากเงื้อมมือแม่นั้นมาได้ยังไงเนี่ย!?”
“เอาจริงๆ จนถึงตอนนี้ฉันก็ยังไม่ค่อยเข้าใจเหมือนกันว่าตูรอดออกมาได้ยังไง!! แต่ถ้าให้พูดรู้สึกว่าในตอนที่ฉันกำลังจะโดนยัยหัวทองนั้นกะซวกไส้เล่น ดูเหมือนว่ายัยนั้นจะโดนตัวประหลาดบุกบ้านน่ะสิ ถึงฉันจะโชคดีรอดจากยัยนั้นมาได้ครบ32ก็เถอะ แต่บอกตามตรงว่าตอนนั้นแม่งสยองสุดๆ”
“เห~ นายเนี่ยโชคดีระดับสุดยอดไปเลยนะ ทั้งที่อยู่ในสถานการณ์โคตรอันตรายแบบนั้นแท้ แต่ยังอุตส่าห์รอดออกมาได้อีกนะ ไม่แน่บางทีนายอาจจะใช้ดวงของทั้งชีวิตหมดไปแล้วก็ได้นะศิวะ”
“มันอาจจะจริงอย่างที่เธอว่าก็ได้นะ…”
“อะไรล่ะนั้นไอ้ท่าทีที่อยู่ๆ ก็ยอมรับออกมาง่ายๆ แบบนั้น น่าขนลุกชะมัด…”
“ยะ…อย่าไปพูดว่าคุณศิวะแบบนั้นสิคะพี่! เอ่อคือ… ถ้างั้นฉันจะอธิบายต่อเลยนะคะ”
เนียร์พูดดุพี่สาวของเธอเล็กน้อยพร้อมกับนำภาพมากมายขึ้นมาแสดงในหน้าจอโฮโลแกรม โดยที่สายตาของเขาได้จับจ้องไปยังภาพตราสัญลักษณ์นั้นเป็นพิเศษเพราะว่ามันเป็นสัญลักษณ์เดียวที่เขาเคยเห็นบนยานอวกาศที่ลักพาตัวเขามา
“แต่เดิมแล้วน้ำอมฤตนั้นเป็นสิ่งที่ถูกสร้างโดยตัวขององค์จักรพรรค์อีธานเองเพื่อใช้กันเองในราชวงศ์เท่านั้นและด้วยการที่ไม่มีใครรู้วิธีสร้างมันขึ้นมานอกจากตัวขององค์จักรพรรค์เอง ทำให้มันเป็นของที่หาได้ยากมากก็จริง แต่นานๆ ทีก็จะมีหลุดมาในตลาดมืดประมาณปีละ1-2หยดนะคะ”
“เดี๋ยวนะ… ไม่ใช่1-2ขวด แต่เป็น 1-2 หยดเนี่ยนะ!? แล้วแบบนั้นมันจะพอรักษาแม่ของพวกเธอเหรอนั้น?”
“ถ้าเป็นตามปกติและก็ใช่ค่ะ แต่ว่าจากที่คุณศิวะเล่าว่า โอโร (Oro) ของอวาริเชียโดนบุกโจมตีโดยฝูงวอยด์ดิสาซเตอร์บุกโจมตีนั้น แท้จริงแล้วมันเป็นแผนการขององค์กรที่แฝงตัวชักใยอยู่ในเงามืดทั่วทั้งจักรวาลซึ่งก็คือ อินิกม่า (Enigma) เป็นผู้จัดฉากการบุกปล้นครั้งนี้ค่ะ แน่นอนว่าด้วยความที่อวาริเขียเป็นลูกขององค์จักรพรรค์ ทำให้ตัวเธอเองมีน้ำอมฤตอยู่เป็นจำนวนมากและด้วยเหตุการณ์การบุกปล้นโอโรของอวาริเชียโดยอินิกม่านั้น ทำให้โอโรของเธอถูกทำลายและทรัพย์สมบัติกว่า90%ของเธอหายสาบสูญซึ่งแน่นอนว่านั้นเป็นแค่เรื่องฉากหน้า เพราะในความเป็นจริงทรัพย์สมบัติที่ว่านั้นถูกขโมยและกำลังถูกนำซื้อขายในงานประมูลครั้งใหญ่ที่ถูกจัดโดยทางอินิกม่าคะ”
“วู้ฮู้!! ฮ่าๆ นี่ละทำกับชาวบ้านเขาไว้เยอะ! สมน้ำหน้าอีOอก!!! อ๊ะ…”
ชายหนุ่มลุกยืนขึ้นพร้อมกับส่งเสียงตะโกนออกมาอย่างดีอกดีใจ จนสองพี่น้องที่นั่งอยู่ได้แต่งุนงงกับท่าทีที่แปลกๆ ของคนตรงหน้าพวกเธอ
“ทะ…โทษที… เอ่อ… เล่าต่อเลยก็ได้นะเนียร์ อุ๊ป… หึหึ…”
ตัวเขาที่เห็นแบบนั้นจึงค่อยๆ นั่งลงตามเดิมพร้อมกับโดยพยายามเก็บอาการเอาไว้ แต่ถึงกระนั้นเรื่องที่เขาพึ่งได้ยินมามันก็ทำให้เขาเผลอขำจนยิ้มออกมาอย่างช่วยไม่ได้
ก็นะ… จะไม่ให้ขำได้ยังไงเพราะตัวเขาเองดันโดนไอ้องค์กรแปลกๆ ที่ชื่ออินิกม่านั้นลักพาตัวมาขายเป็นทาส ถามยังโดนยัยหัวทองโรคจิตอวาริเชียอะไรนั้นซื้อไป แต่ว่าสุดท้ายไอ้คนขายกลับมาตลบหลังคนซื้อด้วยการก่อเหตุปล่อยมันใส่บ้านยัยนั่นแบบนั้น บอกตามตรงว่าโคตรจะสะใจเลยโว้ย!!
แต่พูดก็พูดเถอะยังไงซะเรื่องของไอ้องค์กรที่ชื่อว่าอินิกม่านั้น ตัวเขาเองก็มีเรื่องที่ต้องไปสะสางกับไอ้พวกสารเลวที่บังอาจจับตัวเขามาขายให้อีหัวทองนั้น โดยเฉพาะกับไอ้มังกรเส็งเคร็งตัวนั้นถ้าเขาเจอหน้ามันอีกรอบละก็ คราวนี้พ่อจะเล่นให้ยับเลยคอยดู ส่วนจะหาตัวมันเจอไหมนั้นก็อีกเรื่องเพราะยังไงซะตอนนี้ การช่วยแม่ของเด็กพวกนี้ต้องมาก่อนเป็นอันดับแรก
“จะว่าไปแล้ว… พวกเราจะบุกเข้าไปขโมยน้ำอมฤตจากพวกอินิกม่าได้ยังไงละเนียร์? ถ้าจำไม่ผิดพวกเธอเคยพยายามบุกไปขโมยมันมาแล้วรอบหนึ่งแต่ไม่สำเร็จจนโดนไล่ล่ามาไม่ใช่เหรอ แล้วแบบนี้ไม่ใช่ว่าทางนั้นเองก็คงจะเพิ่มการป้องกันให้หนาแน่นขึ้นกว่าเดิมอีกเหรอ”
“อะไรของนายเนี่ยศิวะ… จู่ๆ ไหงถึงพูดอะไรที่ดูฉลาดๆ แบบนั้นออกมาได้… ขนลุกอะ…”
“มันตั้งแต่เมื่อกี้แล้วนะยัยเด็กหงอน… พูดแบบนั้นคิดจะกวนตีนกันหรือไงฟะ!?”
“กะ…กวนตีน? อะไรล่ะนั้น? ศิวะเนี่ยบางทีก็ชอบพูดคำแปลกๆ ที่คนอื่นเขาไม่เข้าใจอยู่เรื่อยเลยเนอะ”
“อ๊าก! นี่สินะความแตกต่างทางวัฒนธรรม! ฆวยเหอะ!!”
““ฆวย?” ”
“พวกเธอไม่พูดตามก็ได้เฟ้ย!! แฮ่กๆ ว่าแต่… เรื่องแผนละว่ายังไงเนียร์”
“อ่า…ค่ะ ถ้าเป็นเรื่องนั้นละก็— เอ่อคือ… ขอเวลาสักครู่นะคะ…”
เนียร์ก้มหน้ามองไปยังแทบเล็ตและลงมือทำอะไรบางอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่เธอจะค่อยๆ ยิ้มออกมาพร้อมทำท่าทีดีอกดีใจอย่างเงียบๆ จนศิวะกับเมียร์จ้องมองมาที่เนียร์ด้วยความสงสัยเล็กน้อย ก่อนที่ไม่นานตัวเธอจะรู้สึกถึงสายตาที่จ้องมองมา เธอจึงได้รีบปรับอารมณ์และกลับไปทำหน้านิ่งๆ ตามเดิม
“อะแฮ่ม… ถ้าพร้อมกันแล้ว งั้นทางนี้จะขอเริ่มอธิบายแผนการเลยนะคะ”
“อา…อืม แผนว่าไงพูดมาเลยฉันรอฟังอยู่”
“ค่ะ จากครั้งที่แล้วที่หนูกับพี่ได้บุกไปขโมยน้ำอมฤตในช่วงที่อยู่ระหว่างการขนส่งและเกิดเรื่องจนขโมยมันไม่สำเร็จ จึงทำให้ทางอินิกม่ามีมาตรการการป้องกันที่รัดกุมขึ้นกว่าเดิมเป็นหลายเท่าตัวอย่างที่คุณศิวะได้พูดไว้จริงๆ และด้วยเหตุนั้นทำให้การบุกในรอบนี้พวกเราไม่สามารถบุกทางด้านหลังของทางนั้นได้ เลยทำให้รอบนี้พวกเราจะบุกจากทางด้านหน้าแท้ค่ะ ส่วนวิธีการก็—”
“เข้าใจแล้ว! สรุปคือจะบุกตรงๆ แล้วถล่มมันให้ราบ หลังจากนั้นก็ขโมยของออกมาเลยสินะ อืมๆ เป็นแผนที่เข้าใจง่ายสุดๆ”
“นี่นายจะบ้าหรือยังไงยะ!!?”
เมียร์พูดตะโกนออกมาพร้อมกับใช้สันมือสับไปที่กลางหัวของชายหนุ่ม แน่นอนว่าด้วยแรงแค่นั้นตัวเขาไม่ได้รู้สึกเจ็บอะไรอยู่แล้ว
“นี่เธอจะมาสับหัวฉันทำเพื่อ? แล้วเมื่อกี้ที่น้องเธอบอกว่าจะเราจะบุกจากทางด้านหน้า มันก็หมายถึงให้บุกถล่มไปตรงๆ เลยไม่ใช่เหรอ! หรือฉันพูดผิด!?”
“มันจะเป็นแบบนั้น… ได้… ยัง… เอ่อ… อืม… คะ…คงไม่ใช่อย่างที่หมอนี้พูดจริงๆ ใช่ไหมเนียร์?”
เมียร์พูดน้ำเสียงสั่นๆ พร้อมกับค่อยหันหน้าไปถามน้องสาวของเธอ
“มันจะไปใช่ได้ยังไงละคะพี่! คุณศิวะเองก็เหมือนกัน! ก่อนจะพูดขัดอะไรช่วยฟังที่คนอื่นพูดให้จบก่อนได้ไหมคะ!! แฮ่กๆ”
เนียร์พยายามจะพูดตะโกนอย่างสุดเสียงใส่คนทั้งคู่ที่อยู่ตรงหน้าเธอ จนเกิดอาการเหนื่อยหอบเพราะตะเบ็งเสียงมากเกินไป
““ขะ…ขอโทษครับ!/ค่ะ!” ”
ทั้งสองคนพูดขอโทษเนียร์ในทันทีก่อนที่จะรีบกลับไปนั่งเงียบๆ ที่เก้าอี้อย่างรวดเร็ว
“เฮ้อ… ถ้างั้นขออธิบายต่อเลยนะคะ อย่างที่รู้กันว่าตอนนี้ทางอินิกม่าได้เสริมการป้องกันให้หนาแน่นขึ้นทำให้การจะบุกเข้าไปนั้นทำได้ยากกว่าเดิมมากๆ ซึ่งในจุดนี้สิ่งที่จะช่วยให้พวกเราเข้าไปขโมยของง่ายขึ้นกว่าเดิมก็คือการเข้าร่วมงานราตรีของพวกแขก VIP ที่จะถูกจัดขึ้นในคาสิโนในเขตที่ 7 ของโคโลนี่ซึ่งมีอินิกม่าเป็นเจ้าภาพค่ะ”
“เอ่อคือ… มีคำถามครับ”
“เชิญว่ามาได้เลยค่ะคุณศิวะ”
“ไอ้เรื่องการไปเข้าร่วมงานราตรีในคาสิโนเนี่ยฉันพอจะเข้าใจอยู่ แต่ว่ามันเป็นงานของพวกVIPไม่ใช่เหรอ แล้วพวกเราจะเข้าไปร่วมงานหรูๆ แบบนั้นได้ยังไงละ?”
“ถ้าเป็นเรื่องนั้นละก็หนูพึ่งจัดการปลอมแปลงใส่รายชื่อของพวกเราในฐานะแขกเสร็จไปเมื่อสักครู่แล้วละคะ ฉะนั้นเรื่องการเข้าร่วมงานจึงไม่น่าจะมีปัญหาอะไรและด้วยเหตุนี้เดี๋ยวพวกเราจะต้องรีบออกไปซื้อของเตรียมตัวสำหรับงานในคืนนี้กันคะ”
“อืม… จะว่าไปเราไม่ได้ซื้อของพวกนั้นเตรียมไว้เลยสินะ ถ้างั้นเดี๋ยวพี่ขอไปเตรียมตัวก่อนนะเนียร์”
เมียร์ลุกออกจากเก้าอี้พร้อมกับรีบเดินเข้าไปในห้องของแม่เธอในทันที
“ไปซื้อของงั้นเหรอ… อ๋อเข้าใจละ! พวกอุปกรณ์สำหรับการโจรกรรมเหมือนที่เคยเห็นในหนังแนวนั้นสินะ!!”
เนียร์เดินเข้ามาหาชายหนุ่มพร้อมกับสะกิดไหล่เขาเบาๆ
“เอ่อ…คือว่าไม่ใช่แบบนั้นหรอกค่ะคุณศิวะ”
“เอ๊ะ!? ดะ…เดี๋ยวนะ ถ้าเราไม่ได้จะไปซื้ออุปกรณ์ แล้วพวกเราจะไปซื้ออะไรกันละ?”
“จะบ้าหรือเปล่าเนี่ยนี่นายคิดจะเดินตรงๆ เข้าไปในงานด้วยชุดโทรมๆ แบบนั้นหรือยังไงกัน ถ้าทำแบบนั้นมีหวังโดนไล่ออกมากันพอดี นายลืมไปแล้วเหรอพวกเรายังไม่มีชุดใส่สำหรับเข้างานเลยนะศิวะ”
เมียร์ชะโงกหน้าออกมาจากห้องพร้อมกับตะโกนออกมาด้วยพยายามไม่ตะเบ็งเสียงมาก
“อ๊ะ!? จะว่าไปก็จริงแฮะ…”
*****