ขอให้จักรวาลนี้ ยังคงมีแต่ความสงบสุขต่อไปด้วยเถิด - ตอนที่ 3
แม้ว…!! ตู้ม…!!
ภายในห้องโถงอันกว้างใหญ่ที่เต็มไปด้วยกองสมบัติ ได้มีชายหนุ่มกับเด็กสาวตัวเล็กกำลังพยายามวิ่งหนีฝูงแมวอ้วนหลายสิบตัวที่กำลังยิงลำแสงสีรุ้งออกมาเป็นระยะๆ
“อ้าก!! ทำไมไอ้แมวเวรพวกนี้ถึงได้มาไล่ตามฉันละเนี่ย!? ศัตรูของพวกแกคือยัยหัวทองที่สู้อยู่ข้างบนไม่ใช่หรือไงฟ่ะ!!”
“ให้ตายสิ… เจ้านี่มันน่าสมเพชจริงๆ เป็นถึงผู้กล้าในตำนานแท้ๆ แต่กลับมากลัวกะอีกแค่ร่างแยกของ [วอยด์ดิสาซเตอร์] ที่มีพลังแค่ 1 ใน 10 ของร่างต้นแบบนี้…”
“ไอ้แบบนั้นมันยิ่งทำให้ดูน่ากลัวกว่าเดิมอีกไม่ใช่เหรอ!? ตัวแค่นั้นแต่พลังตั้ง 1 ใน 10 เนี่ยนะ? ใครไม่วิ่งหนีก็บ้าแล้วโว้ย!!”
“อ่า~ ชั่งน่าสมเพชเหลือเกิน… ดูเหมือนว่ารอบนี้จักรวาลจะถึงคราวต้องล่มสลายจริงๆ แล้วสินะ กระซิก ๆ” เด็กสาวทำท่าทางเหมือนจะร้องไห้ด้วยท่าทีกึ่งเล่นกึ่งจริง
“ทั้งที่เป็นเวลาหน้าสิ่วหน้าขวานแบบนี้!! ไอ้ท่าทีดูตอแหลนั้นมันอะไรกันฟะ!? แล้วอีกอย่างเธอจะมาวิ่งหนีตามฉันทำไมเนี่ย? เป็นถึงโคตรศาสตราวุธในตำนานไม่ใช่หรือยังไง!? ทำไมไม่ใช่พลังตูมตามอะไรสักอย่างจัดการไอ้พวกนั้นละฟะ!!”
“ก็เพราะมันมีผู้กล้างี่เง่าบางคนดันมาทำเรื่องง่ายให้เป็นเรื่องยากยังไงละ!! ข้าถึงต้องมาลำบากไม่สามารถใช้พลังอะไรได้เลยแบบนี้!!”
“โคตรไร้ประโยชน์เลยโว้ย!!!”
“แต่ว่าถ้าหากเจ้าพูดตกลงยอมรับข้าพร้อมกับหน้าที่ในการกอบกู้จักรวาลละก็ ข้าจะสามารถใช้สิทธิพิเศษดึงพลังส่วนหนึ่งของ [ดิ อาร์ค (The Ark) ] มาช่วยให้ผู้กล้าที่ทั้งอ่อนแอและน่าสมเพชอย่างเจ้าสามารถเอาตัวรอดจากสถานการณ์ตรงนี้ได้เลยนะ ไม่คิดว่ามันเป็นของเสนอที่ฟังดูดีบ้างเหรอ?”
“ใครมันจะไปบ้ายอมรับของเสนอที่แถมหน้าที่ยุ่งยากพันนั้นติดมาด้วยฟ่ะ!!”
แม้ว…!! วู้ม… ตู้ม…!!
ลำแสงสีรุ้งหลายสิบเส้นหลอมรวมกันเป็นเส้นเดียวพร้อมกับยิงออกมาเป็นทางยาวหลอมละลายพื้นเป็นเส้นตรงตัดผ่านระหว่างพวกเขาทั้งคู่ก่อนที่จะเกิดระเบิดเป็นหลุมขนาดใหญ่ดักหน้าพวกเขา ด้วยความที่พวกเขาทั้งคู่วิ่งหนีกันอย่างสุดแรงการที่อยู่ๆ มีหลุมขนาดใหญ่มาขวางทางไว้ทำให้เกิดหักเลี้ยวเป็นเรื่องที่ทำได้ยากส่งผลให้ทั้งสองหกล้มลงกองกับพื้นในทันที
ด้วยความที่ตัวเขาเองก็มีพื้นฐานทางด้านร่างกายที่ค่อนข้างสูงเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว มันเลยทำให้เขาสามารถลุกขึ้นมาวิ่งต่อได้ในเวลาไม่นาน แต่ในขณะที่กำลังวิ่งอยู่นั้นเขาก็สังเกตได้ว่าเด็กสาวที่วิ่งมากับเขาไม่ได้ตามมาด้วย เมื่อหันกลับไปมองก็พบว่าเธอยังคงนอนล้มอยู่ที่เดิมไม่ได้ลุกไปไหน พร้อมกับมีไอ้พวกแมวอ้วนหลายสิบตัวกำลังชาร์จพลังและเตรียมยิงใส่เธอ
“โธ่เว้ย!!”
เขารีบวิ่งกลับไปหาเธอพร้อมกับกระโดดเข้าไปคว้าตัวเธอหลบการโจมตีของเจ้าพวกแมวนรกได้อย่างเฉียดฉิว จากนั้นเขาก็ยกเธอขึ้นมาอุ้มไว้ด้านหน้าและรีบสับเท้าวิ่งหนีต่อในทันที
“ให้ตายสิ… ทำไมเมื่อกี้เธอถึงไม่ยอมลุกขึ้นมาหนีต่อกันละ!? หรือว่าเพราะฉันไม่ยอมเป็นผู้กล้าให้ ก็เลยรู้สึกหมดอาลัยตายอยากจนไม่อยากจะมีชีวิตต่อแล้วรึไง!!”
“หึ~! กะอีแค่ลำแสงอ่อนๆ แบบนั้นนะ มันแทบจะทำอะไรร่างกายข้าไม่ได้เลยด้วยซ้ำ ส่วนที่ข้าไม่ได้ลุกขึ้นหนีต่อ ก็เพราะข้าแค่อยากจะลองทดสอบเจ้าดูเท่านั้นละ ว่าเจ้ามีความ เหมาะสมจะเป็นผู้กล้าจริงๆ ไหม…”
พอชายหนุ่มได้ยินแบบนั้นเขาก็ปล่อยเธอโยนลงพื้นในทันทีและวิ่งหนีต่อโดยไม่คิดจะหันหลังกลับไปมองดูสภาพของเธอด้วยซ้ำ
“อยู่ดีๆ ก็มาโยนข้าทิ้งแบบนี้!! เจ้าคิดจะทำอะไรของเจ้านะ!?”
“ก็แค่อยากจะทดสอบดูนะ ว่าจะเก่งจริงเท่าปากว่าไหมน่ะ?”
“อ่า!! เจ้านี้มัน!! คนอย่างเจ้านี้มัน!!”
“แล้วเธอมั่นใจแค่ไหน ไอ้เรื่องที่ว่าสามารถทำให้พวกเรารอดจากสถานการณ์ตอนนี้ไปได้นะ?”
“อยู่ดีๆ ก็พูดอย่างงั้นออกมา เจ้าหมายความว่ายังไง?”
“ก็ไอ้เรื่องที่เธอบอกว่า ถ้าฉันยอมรับหน้าที่บ้าๆ นั้น แล้วเธอจะใช้สิทธิพิเศษใช้พลังของ ดิ อะเมซิ่ง อะไรสักอย่างนั้น มาช่วยให้พวกเรารอดไปจากที่นี่ได้ไงละยัยแก่”
“ [ดิ อาร์ค] ย่ะ ไม่ใช่ ดิ อะเมซิ่ง!! หัดมีความเคารพต่อขุมพลังแห่งจักรวาลอันยิ่งใหญ่บ้างสิยะ ไอ้เจ้าผู้กล้าปัญญาอ่อน!!”
“แค่จำผิดนิดหน่อยไม่ต้องด่ากันขนาดนั้นก็ได้โว้ย!! แล้วก็ตอบให้มันตรงคำถามหน่อยสิฟะ!!”
“ผู้กล้าอย่างเจ้านี้มัน… ชิ!! เอาเถอะ… เรื่องนั้นมันแน่นอนอยู่แล้ว ถ้าหากเจ้าพูดยอมรับหน้าที่กอบกู้จักรวาลเมื่อไร ข้าก็จะได้พลังทั้งหมดกลับมาพร้อมกับพลังอีกจำนวนหนึ่งที่ ดิ อาร์ค จะมอบให้ไว้ใช้ในกรณีฉุกเฉินซึ่งก็คือในเวลาแบบนี้นี่ละ”
“แล้วไอ้พลังที่ว่าเนี่ยมันมากขนาดไหนกัน?”
“หากเป็นแค่พลังตั้งต้นของข้า มันก็คงจะทำได้แค่พาเจ้ากับข้าหนีออกไปจากที่นี่เท่านั้น แต่ถ้าหากเจ้ายอมให้ข้านำพลังสัก 8 ใน 10 ของพลังที่ [ดิ อาร์ค] มอบให้มาใช้งานละก็ มันก็มากพอที่จะทำให้ข้าสามารถจัดการร่างแยกทั้งหมดของ [วอยด์ดิสาซเตอร์] ได้ในพริบตา พร้อมทั้งยังมีพลังเหลือไปจัดการร่างหลักได้อย่างสบายๆ เลยละ”
“โอเค!! ถ้างั้นเอาแค่พลังตั้งต้นแล้วพวกเราหนีออกไปจากที่เส็งเคร็งนี่กันเลยดีกว่า!!”
“เดี๋ยวสิช้าก่อน!! นี่เจ้าคิดจะหนีเอาตัวรอดคนเดียวโดยปล่อยให้แม่นางคนนั้นต่อสู้กับเจ้า [วอยด์ดิสาซเตอร์] เพียงลำพังงั้นเหรอ!? หญิงสาวผู้งดงามคนนั้นกำลังต่อสู้กับมันเพื่อปกป้องเจ้าเชียวนะ นี่เจ้าไม่รู้สึกเห็นใจไยดีต่อนางที่เป็นพรรคพวกของเจ้าบ้างเลยหรือไง!?”
“นี้เธอใช้สมองส่วนไหนคิดฟะ!! ถึงได้คิดว่ายังหัวทองโรคจิตวิปริตชอบกะซวกไส้ชาวบ้านนั้นเป็นเพื่อนฉันเนี่ย!?”
“งั้นเหรอ นางเป็นคนเช่นนั้นเองหรอกเหรอ…”
เด็กสาวเพ่งตามองไปยังหญิงสาวผมทองที่กำลังต่อสู้กับวอยด์ดิสาซเตอร์อย่างดุเดือด พร้อมทำหน้าครุ่นคิดอยู่สักพักก่อนที่ทำท่าที่เหมือนกับตัดสินใจอะไรบางอย่างได้ และถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่
“เฮ้อ~ เอาเถอะ ถ้ามันเป็นแบบนั้นก็ช่วยไม่ ถึงข้าจะเสียดายความแข็งแกร่งของนางก็เถอะ แต่เพราะพอลองชั่งน้ำหนักดูแล้ว ก็ไม่คุ้มอยู่ดีล่ะนะถ้าคิดจะเอาคนเช่นนั้นมาเป็นพรรคพวก”
แม้ว…!! แม้ว…!! แม้ว…!! แม้ว…!! แม้ว…!!
ลำแสงสีรุ้งหลายสิบเส้นถูกยิงมาที่พวกเขาทั้งคู่อย่างมั่วซั่วและไร้ซึ่งความแม่นยำ แต่ด้วยจำนวนของลำแสงที่ดูมากกว่าตอนแรกอย่างมากทำให้เขาต้องหันกลับไปดูให้แน่ใจว่าทำไมถึงเป็นแบบนั้น
แต่ในทันทีที่เขาหันกลับไปมองเขาก็ต้องตกใจจนเกือบจะสติแตก เมื่อเขาพบว่าไอ้พวกแมวนรกพวกนั้นมันกำลังแบ่งตัวเพิ่มจำนวนตัวมันขึ้นมาเรื่อยๆ แถมบางตัวยังเริ่มจะกลายร่างเป็นแบบเดียวกับตัวพ่อมันแล้วด้วย
“อ้าก!! ไม่ไหว!! ไม่ไหว!! ไม่ไหว!! รีบๆ ทำอะไรสักอย่างทีสิยัยแก่โลลิ ไอ้แมวเวรพวกนั้นมันเริ่มกลายร่างเป็นตัวบ้าอะไรก็ไม่รู้แล้วนะโว้ย!!”
“ให้ตายสิ เป็นผู้กล้าที่ปากเสียเสมอต้นเสมอปลายจริงๆ นะเจ้าเนี่ย เอานี่จับมือข้าไว้เร็วเข้า”เด็กสาวยืนมือเล็กๆ มาหาเขา ตัวชายหนุ่มที่เห็นแบบนั้นจึงได้รีบคว้ามือเธอไว้อย่างรวดเร็ว
“แล้วต้องทำยังไงต่อละทีนี้!?”
“ผู้กล้าเอ๋ย~ ตัวข้านั้นขอถาม?”
น้ำเสียงที่เด็กสาวเปล่งเสียงออกมาดังกึกก้องไปทั่วอาณาบริเวณ พร้อมกับบรรยากาศโดยรอบที่เริ่มมีละอองแสงระยิบระยับปรากฏขึ้นรอบตัวพวกเขาทั้งคู่
“อะไรกันนะ? ไอ้ละอองแสงพวกนี้”
“ตัวเจ้านั้นพร้อมจะเสียสละตนเองและยอมรับภาระหน้าที่อันยิ่งใหญ่ในการปราบจอมมารเพื่อให้จักรวาลยังคงดำรงไว้ซึ่งความสงบสุขหรือไม่?”
“อืม… ขอแค่ยอมรับหน้าที่แต่ไม่เสียสละตัวเองได้ไหม?”
“แค่พูดยอมรับเฉยๆ มันจะตายหรือไงยะ!? ไอ้ผู้กล้าปัญญาอ่อน!!”
เมื่อเด็กสาวได้ยินสิ่งที่ชายหนุ่มพูดออกมาเธอก็ถึงกับปรี๊ดแตกจนออกแรงบีบไปที่มือของชายหนุ่มจนเขาถึงกับร้องโอดครวญออกมา
“จะ…เจ็บโว้ย!! มือฉัน!! มือฉัน!! เข้าใจแล้ว! เข้าใจแล้ว!! ยอมรับครับ! ยอมรับแล้วครับ!!”
“ก็แค่นี้ล่ะ เอาละเสร็จเรียบร้อยแล้ว”
“โอ๊ย… เจ็บชะมัด… เดี๋ยวสิ!? แค่นี้เนี่ยนะ? ทั้งที่ดูเล่นใหญ่ซะขนาดนั้น แต่ไหงไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลยฟ่ะ!”
“อย่าอยู่ห่างจากข้าแล้วกันนะ ท่านผู้กล้า…”
เมื่อเด็กสาวพูดจบร่างกายของเธอก็เริ่มส่องสว่างจนแสบตาขึ้นเหมือนกับตอนแรกที่พวกเขาได้พบกัน แต่ไม่นานนักแสงสว่างก็ค่อยๆ เริ่มจางหายไปพร้อมกับการปรากฏร่างของมังกรจักรกลสีขาวขนาดใหญ่กำลังโบกสะบัดปีกอันใหญ่ทั้ง 6 ข้างบินอยู่ใกล้ๆ เขา
“นะ… นี่มันเกิดบ้าอะไรขึ้นอีกว่ะเนี่ย!!”
เจ้ามังกรจักรกลได้มองลงมาที่ชายหนุ่มพร้อมกับใช้มืออันใหญ่โตมาจับตัวเขาไว้
“อย่าเผลอไปกัดลิ้นตัวเองเข้าล่ะ”
“ดะ… เดี๋ยว!!”
โดยไม่ทันให้อีกฝ่ายได้ตั้งตัวเจ้ามังกรจักรกลได้อ้าปากขึ้น พร้อมกับยกร่างของชายหนุ่มขึ้นมาและโยนตัวเขาเข้าไปในปากอย่างรวดเร็ว
จากนั้นเจ้ามังกรก็ได้เริ่มกางปีกทั้ง 6 ข้างออกมาอีกครั้ง แสงสว่างเริ่มมารวมตัวกันที่ปีกเหล่านั้นจนตัวปีกไปเริ่มเปล่งแสงสว่างออกมา เมื่อนั้นเองตัวของมังกรก็ได้พุ่งทะยานนำตัวเองออกมาสู่ห้วงอวกาศอันมืดมิดภายในเวลาชั่วอึดใจ
***
“อ้าก!! โดนกินแล้ว ตายแน่กู ตายแน่… เอ๋? ที่นี่มัน… ที่ไหน?”
เมื่อลืมตาขึ้นมาตัวเขาก็พบว่าตัวเขานั้นอยู่ในห้องสีขาวเขาไม่รู้จัก เมื่อเขามองไปโดยรอบเขาก็พบเขากับเด็กสาวผมสีชมพูกำลังยืนหลับตากุมมือของตัวเองไว้อยู่ด้านหน้าเขา
“เอ่อคือ…”
“ช่วยรอสักครู่นะผู้กล้า ตอนนี้ข้ากำลังใช้สมาธิอยู่”
“อะ… อืม… เข้าใจแล้ว”
ตัวเขาที่ได้ยินเธอพูดดังนั้นจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องรอเฉยๆ หลังจากผ่านไปได้สักพักในระหว่างที่กำลังนั่งรอนั้นเองตัวเขาที่เริ่มจะตั้งสติจากเรื่องน่าหวาดเสียวก่อนได้ จึงได้ลุกขึ้นมาแล้วเดินสำรวจไปรอบๆ ห้อง
“โอ้โห~! ที่นี่กว้างชะมัด… นี้เราอยู่ในท้องของมังกรจริงๆ เหรอเนี่ย?”
แน่นอนว่าถึงจะบอกว่าเดินสำรวจก็ตาม แต่ภายในห้องนี้มันก็ไม่อะไรให้เขาสำรวจมากนั้น ไม่สิถ้าให้พูดตรงๆ ต้องบอกว่ามันเป็นพื้นที่สีขาวที่ว่างเปล่าไม่มีอะไรเลยต่างหาก
“เฮ้อ… น่าเบื่อชะมัด ให้ตายสิ… นอกจากความกว้างแล้วที่นี่มันไม่มีอะไรเลยจริงๆ นะเนี่ย เอาเถอะก็ไม่ได้หวังหรอกนะว่าในท้องมังกรมันจะมี— หืม? รู้สึกเหมือนไปชนอะไร… เอ๋!!”
เมื่อเขาหันไปดูเขาก็ต้องรู้สึกตกใจเป็นอย่างมาก เพราะอยู่ดีๆ มันก็มีเก้าอี้ปรากฏขึ้นมาจากความว่างเปล่า พร้อมกับสภาพแวดล้อมโดยรอบที่เริ่มเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว จากพื้นที่โล่งได้กลายเป็นสถานที่ที่เหมือนกับห้องควบคุมของยานอวกาศแบบเดียวกับที่เคยได้เห็นตามหนังเอเลี่ยน
“ฟู่~ ในที่สุดก็เชื่อมต่อกับ [แอสทรัล (Astral) ] เสร็จสักที เอาละ…” เด็กสาวตรงหน้าได้กางแขนออกพร้อมกับหมุนตัวมาหาเขาด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มสบายๆ
“ยินดีต้อนรับสู่—-”
ตู้ม…!!
ในขณะที่เด็กสาวกำลังจะเอ่ยปากจู่ๆ ก็มีเสียงระเบิดดังขึ้นพร้อมกับเกิดแรงสั่นสะเทือนขึ้นอย่างรุนแรงจนทำให้พวกเขาทั้งคู่ล้มลงไปนอนกับพื้น พร้อมกับปรากฏจอฉายภาพของฝูงวอยด์ดิสาซเตอร์หลายร้อยตัวกำลังระดมยิงลำแสงสีรุ้งมาที่ยานของพวกเขา แถมพวกมันบางตัวยังเริ่มกลายร่างและพุ่งเข้ามาแทะผิวยาน จนเริ่มเกิดรอยแตกไปทีละนิดแล้วด้วย
“นะ… นี่มันเกิดบ้าอะไรขึ้นอีกเนี่ย!? ไม่ใช่ว่าพวกเราหนีจากไอ้แมวบ้าพวกนั้นพ้นงั้นเหรอ?”
“ชิ!! ตอนแรกตัวข้าก็นึกว่ามันจะเป็นแค่ วอยด์ดิสาซเตอร์ เกิดใหม่ธรรมดาๆ แต่ที่แท้ก็เป็น [รูก (Rook) ] ของรอบนี้เองอย่างงั้นเหรอ…”
“แอสทรัล? วอยด์ดิสาซเตอร์? รูก? นี้เธอมัวแต่พล่ามบ้าอะไรมาตั้งแต่เมื่อกี้แล้วฟ่ะ!!”
เด็กสาวที่นอนล้มอยู่ได้ลุกยืนขึ้นพร้อมกับยื่นมือเล็กๆ เข้ามาหาเขา
“เอ๋?”
“จะมา ‘เอ๋?’ ทำไมเล่า!? รีบๆ จับมือข้าเร็วเข้า รึว่าไม่อยากรอด?”
ตัวเขาที่ได้ยินแบบนั้นจึงได้ยืนมือไปจับมือของเธอทั้งที่ตัวเองยังคงล้มอยู่
“ผู้กล้าเอ๋ย~ ณ บัดนี้ ช่วงเวลาแห่งตายได้เริ่มคืบคลานเข้ามา ตัวเจ้านั้นยินยอมจะให้ข้าใช้พลังทั้งหมดที่ [ดิ อาร์ค] ผู้ยิ่งใหญ่ ได้มอบให้เพื่อให้เจ้าสามารถรอดพ้นจากชะตากรรมอันโหดร้ายนี่หรือไม่?”
“ยอมรับ! ฉันขอยอมรับ!! จะเอาเท่าไรก็เอาไปเลย!! เร็วเข้า!!”
“เงื่อนไขครบถ้วน จะเริ่ม การปลดปล่อย ใน 3… 2… 1…” เด็กสาวอ้าแขนออกพร้อมกับค่อยๆ ขยับมือทั้งสองข้างมาประกบกันอย่างรวดเร็ว
“โซล่า ฟอร์เรเร” (Solar Florere = สุริยันต์บานสะพรั่ง)
เมื่อเด็กสาวตรงหน้าพูดจบตัวของยานอวกาศรูปทรงมังกรจักลก็ได้เริ่มขยับเป็นท่าเดียวกับเธอพร้อมกับปรากฏก้อนพลังงานสีขาวบริสุทธิ์ระหว่างฝ่ามือของมัน
ในจังหวะที่ฝ่ามือทั้งสองของมังกรได้ประกบกัน ก้อนพลังงานสีขาวก็ได้แตกออกส่งคลื่นพลังงานแพร่กระจายไปรอบตัว จนสามารถเปลี่ยนห้วงอวกาศอันมืดมิดให้เต็มไปความแสงสว่างได้ในพริบตา
ทันทีที่คลื่นแสงได้เคลื่อนผ่านร่างของวอยด์ดิสาซเตอร์จำนวนนับไม่ถ้วนที่อยู่โดนรอบ พวกมันทั้งหมดก็ได้แตกสลายกลายเป็นผลึกคริสตัลสีแดงจำนวนมหาศาลลอยเท้งเต้งอยู่กลางอวกาศ
ตัวเขาที่ได้เห็นท่าไม้ตายอะไรสักอย่างที่ยัยเด็กโลลิปล่อยยมาผ่านจอที่อยู่รอบๆ ตัว ก็ได้แต่รู้สึกอึ้งจนปากค้างให้กับความสุดยอดของมัน
“ฟู่~! เอาละ… ทีนี้ก็คงไม่มีอะไรมารบกวนพวกเราได้แล้วละนะ ผู้กล้า… อืม? จะว่าไปพวกเรายังไม่ได้แนะนำตัวกันเลยสินะ” เด็กสาวเดินเข้ามาหาเขาที่นั่งที่พื้นพร้อมกับยื่นมือมาหาเขาอีกครั้ง
“ตัวข้ามีนามว่า อิโซลาร์ ผู้พิทักษ์แห่งรุ่งอรุณ อิโซลาร์ แล้วเจ้าละมีนามว่าอะไรผู้กล้า?”
เขาที่เห็นแบบนั้นก็ยิ้มออกมาเล็กน้อย ก่อนที่จะค่อยๆ ยื่นมือออกไปจับมือของเธอพร้อมกับลุกยืนขึ้น
“เอ่อ… ฉันชื่อ ศิวะ นวรัตน์ ทำงานเป็นพ่อครัวอยู่ที่ร้านอาหารนานาชาติ สเตล่า แต่ว่านะพูดก็พูดเถอะ ไอ้เรื่องที่ต้องไปปราบจอมมารเนี่ย… มันน่าจะมีคนที่แข็งแกร่งกว่าฉันอยู่อีกไม่ใช่เหรอ? ถ้าให้พูดก็คือ… แบบ… ให้คนอื่นที่เหมาะสมกว่าไปทำแทนไม่ดีกว่าเหรอ?”
“เรื่องนั้นมันทำได้ที่ไหนกันละย่ะ!! ในจักรวาลนี้นะคนที่จะสามารถจัดการจอมมารได้มีแค่เจ้าเท่านั้น แล้วก็สายตาของข้านะมองคนไม่เคยพลาดเหรอนะ เจ้านะถ้าไม่นับเรื่องที่เป็นคนปากเสียกับเป็นพวกโรคจิตไม่ใส่เสื้อผ้าแล้ว ตัวเจ้านะมีศักยภาพทั้งทางกายและจิตใจที่เหมาะสมกับการเป็นผู้กล้าทุกประการเลยละ”
“ให้ตายเถอะ… จะชมหรือด่าก็เอาสักอย่างสิ เฮ้อ~ ยังไงก็ฝากตัวด้วย…”
“หึหึหึ~ และก็ตามที่ข้าเคยพูดไป ถึงตัวเจ้าจะมีความเหมาะสมกับการเป็นผู้กล้าทุกประการก็ตาม ด้วยพลังที่เจ้ามีทั้งหมดในตอนนี้มันยังไม่พอที่จะไปโค่นจอมมารได้หรอกนะ แต่ว่าอย่าเป็นห่วงเรื่องนั้นไปเลย… เพราะตัวข้าอิโซลาร์ผู้นี้จะเป็นคนขัดเกลาตัวเจ้าให้กลายเป็นผู้กล้าที่แท้จริงเอง เตรียมตัวเตรียมใจไว้ได้เลยเจ้าหนูศิวะ หึหึหึ…”
ตัวเขาที่เห็นเด็กสาวตรงหน้ากำลังหัวเราะด้วยรอยยิ้มที่ดูมีเลศนัยก็ได้แต่หัวเราะแห้งๆ ออกมา เพราะในที่สุดเขาก็รู้สึกตัวแล้วว่าตัวเขานั้นคงไม่อาจจะหนีจากหน้าที่แสนยุ่งยากที่เผลอไปรับมาได้อย่างแน่นอน
*****