ขอให้จักรวาลนี้ ยังคงมีแต่ความสงบสุขต่อไปด้วยเถิด - ตอนที่ 4
กราบสวัสดีคุณพ่อคุณแม่ที่เคารพ ไม่ทราบว่าทั้งสองคนสบายดีกันหรือเปล่าครับ? ส่วนผมนั้นพึ่งเอาตัวรอดจากการโดนผู้หญิงผมทองสุดสวยเสียของแถมยังเป็นโรคจิตชอบจับคนมากะซวกไส้เล่นคนหนึ่งมาได้ครับ อ่อแล้วก็ยังโดนเอเลี่ยนแมวที่ยิงบีมสายรุ้งแถมยังบินได้ไล่ฆ่าด้วย แต่ถึงจะฟังดูอันตรายไปสักหน่อย… อืม… ไม่ละยังไงมันก็อันตรายชัดๆ แถมเอาจริงๆ ตัวผมเองยังรู้สึกเหลือเชื่อสุดๆ เลยละที่ตัวเองยังมีชีวิตอยู่แบบนี้ ก็อย่างที่ว่าไปโดยรวมแล้วผมยังสบายดีครับ
นี่ก็เป็นเวลาเกือบ 5 ปีแล้ว นับจากวันที่ผมได้กระทืบคุณพ่อและหนีออกจากบ้านมา ในตอนนี้นี้ตัวผมได้ทำให้ความเพ้อฝันในวัยเด็กให้เป็นจริงได้แล้วครับ… โดนแลกมากับการต้องรับหน้าที่อันยิ่งใหญ่ ด้วยการต้องกลายเป็นผู้กล้าและออกเดินทางไปกอบกู้จักรวาล โดยการปราบจอมมาร เหมือนกับในอนิเมะต่างโลกหรือพวกเกมแนว JRPG ทำนองนั้นน่ะครับ
บอกตามตรงเลยครับว่าตั้งแต่ที่ได้เกิดเป็นลูกเจ้าของค่ายมวยมา มีแค่ครั้งนี้ละครับที่ผมรู้สึกขอบคุณพ่อจริงๆ ที่ช่วยฝึกผมจนกลายเป็นคนที่แข็งแกร่งพอที่จะสืบทอดค่ายมวยนวรัตน์ได้ ถึงสุดท้ายผมจะเป็นคนเอาวิชาที่พ่อสอนมากระทืบพ่อก็เถอะ แต่เรื่องนั้นผมไม่ขอโทษหรอกนะ เพราะพ่อเองก็เป็นคนเอากล้องดูดาวกับคอลเลกชันหนังสือดาราศาสตร์ของผมไปเผาทิ้ง เพราะผมแค่พูดออกไปว่าผมไม่อยากสืบทอดสำนักแต่อยากเป็นนักบินอวกาศ แน่นอนว่าถึงจะผ่านมา 5 ปีแล้วก็ตาม แต่ผมก็ยังคงโกรธที่พ่อทำอย่างงั้นอยู่ดี แต่ว่าตอนนี้ผมยกโทษให้ครับพ่อ…
แล้วก็แม่ครับผมไม่เคยรู้สึกเสียใจเลยสักครั้งที่ได้เกิดมาเป็นลูกของแม่ ตลอดเวลากว่า 23 ปีที่ผมใช้ชีวิตมา หลายสิ่งหลายอย่างที่แม่เคยสอนผมไว้ มันได้ช่วยตัวผมไว้หลายครั้งเลยละครับ แม้แต่ตอนที่ผมหนีออกจากบ้าน วิชาทำอาหารที่แม่เคยสอนผมไว้ มันก็ยังช่วยให้ผมสามารถทำงานหาเงินไว้เอาตัวรอดในสังคมได้เป็นอย่างดีเลยละครับ ขอบคุณจริงๆ นะครับแม่
สุดท้ายแล้ว ณ ปลายสุดของการเดินทางนี้ เรื่องราวทุกอย่างมันจะจบลงอย่างสวยงามหรือจบลงด้วยความหายนะ เรื่องนั้นแม้แต่ตัวผมเองก็คงไม่อาจทราบได้ แต่ไม่ว่ายังไงผมก็จะพยายามผ่านมันไปให้ได้ครับ เพื่อที่ผมจะได้มีชีวิตรอดกลับไปหาพ่อกับแม่ให้ได้ครับ…
“ขอพูดตามตรงเลยนะเจ้าหนูศิวะ… หลังจากที่ข้าได้หมกตัวตรวจสอบหลายๆ อย่างในฐานข้อมูลของ [แอสทรัล] จนเสร็จเรียบร้อยแล้ว ข้าก็พบข้อมูลสำคัญเรื่องหนึ่งเข้า เอ่อคือ… ดูเหมือนว่าจอมมารที่พวกเราต้องไปปราบในรอบนี้นะ… ได้สิ้นชีพไปตั้งแต่เมื่อ 1000 ปีก่อนแล้วละ… ถ้าให้ผู้ตามตรงก็คือ ตอนนี้พวกเราทั้งคู่น่ะ… ได้กลายเป็นพวกว่างงานไปซะแล้วละ”
พ่อครับ แม่ครับ ดูเหมือนว่าการเดินทางกู้จักรวาลของผมจะได้จบลงแล้วละครับ… อ่า~ เรื่องนี้นี่มันโคตรไร้สาระแถมทำเอาเสียเวลาสุดๆ เลยละครับ…
***
“ก็อย่างที่ข้าพูดไปเมื่อกี้… การเดินทางของพวกเราได้จบลงแล้วละ ให้ตายสิ… เจ้านี้มันเป็นผู้กล้าที่โชคดีจริงๆ เลยนะ…”
“เดี๋ยวก่อนสิโว้ย!! แล้วไอ้ที่เธออุตส่าห์พยายามยัดเยียดอยากจะให้ฉันเป็นผู้กล้าให้ได้อยู่นานสองนานเนี่ยเพื่ออะไรฟะ!? ทั้งที่ฉันอุตส่าห์เตรียมใจยอมรับชะตากรรมต้องไปเสี่ยงชีวิตไปปราบจอมมาร เพื่อกอบกู้จักรวาลได้แล้วแท้ๆ แต่อยู่ๆ ก็มาบอกว่า ‘จอมมารตายไปนานแล้ว’ เนี่ยนะ? เอาการเตรียมใจตลอด 2 ชั่วโมงของฉันคืนมาเลยนะโว้ย!!”
“อย่าว่าแต่เจ้าเลย… แม้ตัวข้าเองก็ยังทำใจยอมรับมันไม่ได้เหมือนกัน!! ถึงข้าจะรู้สึกดีใจก็เถอะที่จักรวาลปลอดภัย แต่ว่าตามปกติมันควรจะเป็นหน้าที่ของข้ากับผู้กล้าสิ!! อ่า… อาลูนาร์ พอรู้ว่ารอบนี้พวกเราพี่น้องจะไม่ได้เจอกัน หัวใจข้ามันก็รู้สึกทำใจยอมรับไม่ไหวจริงๆ”
เมื่อทั้งสองพูดตะโกนระบายความในใจเสร็จ พวกเขาทั้งคู่ก็ลงไปนั่งกอดเข่าพร้อมกับนั่งเงยหน้ามองเพดานด้วยความรู้สึกที่ว่างเปล่า
“เฮ้อ~ กลับบ้านดีกว่า… นี่ยัยแก่โลลิช่วยไปขับยานอวกาศพาฉันไปส่งที่บ้านหน่อยได้ไหม?”
“แล้วบ้านเจ้าอยู่ไหนละ? บอกชื่อดาวมาละกันเดี๋ยวข้าจะไปส่ง”
“ดาวเคราะห์ชื่อว่าโลก อยู่ในกาแล็กซีทางช้างเผือกน่ะ”
“งั้นรอสักครู่นะ… ข้าขอเวลาหาตำแหน่งบ้านเจ้าจากฐานข้อมูลของ [แอสทรัล] ก่อนแล้วกัน…” เด็กสาวตอบรับคำของของเขาอย่างว่าง่ายด้วยแววตาที่ดูหมดอาลัยตายอยาก ตัวเขาที่เห็นแบบนั้นก็รู้สึกแปลกใจกับท่าทีที่ดูว่าง่ายผิดปกติของเธอ
“เอ่อคือ… ยัย… ไม่สิ… นี่อิโซลาร์… หลังจากที่เธอไปส่งฉันเสร็จแล้ว แล้วตัวเธอจะเอายังไงต่อเหรอ?” เขาถามเธอออกไปด้วยสีหน้าที่ดูเป็นห่วงเธอเล็กน้อย
“อืม… เอาเป็นว่าแล้วแต่เจ้าละกัน”
“อืม… งั้นเหรอ… เอ๋? คือยังไงที่ว่าแล้วแต่เจ้าเนี่ย”
“มันก็ขึ้นอยู่กับเจ้าแล้วละว่าเจ้าอยากทำอะไร เพราะหน้าที่สุดท้ายของข้าก็คือการสนับสนุนผู้กล้าหลังจากที่กอบกู้จักรวาลสำเร็จแล้วยังไงละ หรือถ้าให้สรุปง่ายๆ ก็คือ เจ้าสามารถเอาข้าที่เป็นถึงสุดยอดศาสตราวุธแห่งจักรวาลไปใช้ทำอะไรตามใจเจ้าได้เลยยังไงละ แน่นอนว่าข้าต้องเห็นชอบด้วยนะว่าเจ้าจะเอาข้าไปใช้เรื่องอะไร เพราะถ้าเป็นเรื่องชั่วๆ ละก็ข้าไม่ยอมอย่างแน่นอน”
“แบบนั้นเข้าไม่เรียกว่าใช้ได้ตามใจแล้วโว้ย!! แล้วอีกอย่างแบบนี้เธอยอมรับเรื่องแบบนี้ได้ด้วยเหรอ!?”
“อืม… นั้นสินะเพราะตั้งแต่กอบกู้จักรวาลมา มีแค่ครั้งนี้ละที่แปลกที่สุด แถมข้าเองก็ไม่รู้ด้วยว่าควรจะทำยังไงด้วย ก็เลยคิดว่าเอาตามปกติอาจจะดีกว่าก็ได้น่ะ! มั้งนะ?”
“ฟังดูมักง่ายชะมัด…”
“ฮ่าๆ ก็ตามนั้นละ!! อ่อแล้วก็… ข้ามีเรื่องที่อยากจะถามเจ้าหน่อยได้ไหม?”
“อะไรละ?”
“คือข้าไม่เข้าใจน่ะ ว่าทำไมตอนนั้นเจ้าถึงปฏิเสธการเป็นผู้กล้าขนาดนั้น… อีกอย่างตอนที่ได้เจอกับเจ้า สภาพของเจ้าดูสะบักสะบอมมากเลยนะ มันเกิดอะไรขึ้นเหรอ?”
“อืม~ ถ้าให้เล่าก็คงต้องเริ่มจาก…”
จากนั้นศิวะก็ได้เล่าเรื่องทุกอย่างที่เกิดขึ้นกับตัวเขาให้อิโซลาร์ฟังอยู่สักพัก โดยเริ่มตั้งแต่ตอนที่เขาถูกลักพาตัวไปขายจนถึงตอนที่ได้มาเจอกับเธอ
***
“งั้นเหรอ… เรื่องมันเป็นมาแบบนั้นเองสินะ ถ้าอย่างงั้นมันก็สมเหตุสมผลแล้วละ ที่ในตอนนี้เจ้าปฏิเสธการเป็นผู้กล้า… ฮึกๆ”
“ก็นะ… แบบว่าตอนนั้นคิดแค่อย่างเดียวว่าจะทำยังไงให้ตัวเองหนีรอดได้น่ะ…”
“เจ้าต้องโดนลักพาตัวจากบ้านเกิดแล้วยังถูกทำให้กลายเป็นทาส แถมยังเกือบจะถูกหญิงสาวคนนั้นฆ่า แล้วยังโชคร้ายมาเจอการกำเนิดใหม่ของ [รูค] พอดีอีก เส้นทางที่จักรวาลชักนำเจ้ามาผู้กล้านี่มันชั่งรันทดกว่าผู้กล้าทุกคนที่ข้าเคยเจอมาเลยนะ… กระซิกๆ” เมื่ออิโซลาร์ได้ฟังเรื่องทั้งหมดเธอพูดด้วยน้ำเสียงนิ่งๆ พร้อมกับเริ่มค่อยๆ ร้องไห้ออกมา
“งะ… งั้นเหรอ… แต่พอได้ลองนึกย้อนกลับไป ก็แทบไม่อยากจะเชื่อเลยนะว่าตัวเองจะรอดออกมาได้ครบ 32 แบบนี้ บอกตามตรงถ้าตอนนั้นเธอไม่โผล่มาฉันคงตายไปแล้ว ยังก็ขอบคุณนะ อิโซลา—”
“แง้~!! มานี่มะศิวะหลานรัก มาให้ข้าได้กอดเจ้าหน่อย โอ๋~ๆ เจ้าคงจะกลัวมากสินะ ไม่ร้องนะเด็กดีๆ” เธอพุ่งตัวเข้ามากอดเขาพร้อมกับใช้มือเล็กของเธอลูบหัวเขาด้วยความสงสาร
“ไม่ร้องหรอกโว้ย!! แล้วอีกอย่างเรื่องไอ้ปลอกคอบ้านี่เธอถอดมันได้—”
“ฮึกๆ ขะ…ข้าปลดมันออกให้แล้ว สบายใจได้เลยหลานข้า…” อิโซลาร์พูดด้วยน้ำเสียงสะอึกสะอื้นพร้อมกับหยิบปลอกคอขึ้นมาแสดงให้เขาเห็น
“ระ… เร็วชะมัด! เอาออกไปตั้งแต่เมื่อไร?”
“โอ๋~ๆ ไม่เจ็บนะ~ เด็กดีๆ”
“แล้วนี่คิดจะลูบหัวฉันไปอีกนานแค่ไหนเนี่ย โดนลูบหัวแบบนี้มันน่าอึดอัดใจนะเว้ย!!”
“ขออีกนิด… อ่า~ รู้สึกเหมือนได้กลับไปมีหลานอีกครั้งเลยนะ…”
“ให้ตายสิพวกคนแก่เนี่ย… ไม่ว่าจะที่ไหนก็นิสัยเป็นแบบนี้เหมือนกันหมดเลยหรือไงนะ…”
จากนั้นเขาก็ถูกอิโซลาร์ยืนลูบหัวอยู่อย่างงั้นสักพัก ถึงเขาจะไม่ค่อยพอใจที่อยู่ๆ ก็โดนลูบก็ตาม แต่เขาเองก็ต้องยอมรับเลยว่ายัยนี้ลูบหัวคนเก่งฉิบหาย บอกตามตรงเลยว่าโคตรฟิน แถมยังทำเอาเพลินจนเกือบจะหลับเลย ฝีมือช่ำชองสมกับที่กล้าประกาศว่าตัวเองอายุเป็นล้านปีจริงๆ
“เฮ้อ… ให้ตายสิ ถ้ามามัวแต่ลูบหัวฉันอยู่แบบนี้ ชาติไหนฉันถึงจะได้กลับบ้านเนี่ย…”
“เรื่องนั้นเจ้าไม่ต้องเป็นห่วงไปหรอกหลานข้า~ ข้าให้แอสทรัลหาดาวของเจ้าให้แล้ว คาดว่าอีกไม่นานก็น่าจะเจอแล้วละ โอ๊ะ~!! จริงด้วยสินะ”
พอพูดจบเธอเลิกลูบหัวเขาพร้อมกับเดินไปที่บริเวณประตูทางออกห้อง ที่ตัวเขาเองก็ไม่รู้ว่ามันมีอยู่ตรงนั้นตั้งแต่เมื่อไร
“ในระหว่างนี้ยังไงพวกเราก็ต้องใช้เวลาเดินทางกันอีกสักพัก ตามข้ามาสิ… เดี๋ยวข้าจะแนะนำสิ่งต่างๆ ที่อยู่ภายในยานลำนี้ให้เอง” เธอพูดแบบนั้นออกมาพร้อมกับเดินออกจากห้องไปในทันที
“เดี๋ยว!! ชิ! เดินไปเร็วชะมัด…”
ตัวเขาที่เห็นแบบนั้นก็รีบลุกขึ้นและเดินตามเธอไปอย่างรวดเร็วพร้อมกับรู้สึกเซ็งหน่อยๆ
หลังจากที่เดินออกจากห้องมาภาพแรกที่เขาได้เห็นเลยก็คือห้องโถงวงกลมขนาดใหญ่ที่มีตกแต่งดูดีมีเอกลักษณ์พร้อมกับเพดานที่เป็นโดมกระจกใสจนสามารถมองทะลุออกไปเห็นบรรยากาศอันสวยงามของห้วงอวกาศสุดตระการตา แถมเมื่อเขาเริ่มมองไปโดยรอบเพื่อชมความสวยของห้องเขาก็พบว่าเริ่มมีประตูหลายๆ บานค่อยก่อตัวขึ้นจากความว่างเปล่า
“โอ้~ สวยสุดๆ เลยเหอะที่นี่ นี่เราอยู่กันในท้องมังกรกันจริงๆ เหรอเนี่ย?”
“ฮ่าๆ แทนที่จะเรียกว่าอยู่ในท้องของข้า ที่จริงควรจะบอกว่าอยู่ในห้วงมิติพิเศษที่ข้าสร้างขึ้นน่าจะถูกกว่านะ ศิวะหลานรัก”
“เอ๋~ อืม… เป็นแนวไซไฟแท้ๆ แต่แฟนตาซีจนน่าแปลกใจแฮะ แล้วก็เลิกเรียกฉันว่า ‘ศิวะหลานรัก’ ได้แล้ว เรียกศิวะเฉยๆ ก็พอได้ไหม คือแบบพอโดนคนที่ดูเด็กกว่าตัวเองมาเรียกเข้าแล้วมันรู้สึกแปลกๆ ยังไงก็ไม่รู้”
“แหม่ๆ มีเขินเป็นซะด้วย ตอนแรกนึกว่าจะเป็นเด็กใจกล้าหน้าด้านกว่านี้ซะอีก ไงอยู่ๆ ก็กลายเป็นเด็กน่ารักน่าชังแบบนี้ได้ละเนี่ย”
“นะ… หนวกหูเฟ้ย!! ตามปกติฉันก็เป็นคนที่—หืม!?” ในระหว่างที่เขากำลังพูดอยู่อิโซลาร์ก็โยนบางอย่างมาให้เขา “อะไรเนี่ยผ้าห่ม!? ไม่สิชุดเสื้อคลุมงั้นเหรอ…”
“ข้ารู้ว่ามันอาจจะขัดกับวัฒนธรรมของดาวเจ้า แต่ว่าที่นี่เองก็มีกฎที่เจ้าเองก็ต้องเคารพด้วยเหมือนกัน เอาละที่นี่ก็รีบๆ ใส่เสื้อผ้าได้แล้ว”
“ไม่พูดก็ใส่อยู่แล้วโว้ย!! อีกอย่างบ้านฉันไม่ใช่ดาวไร้อารยธรรมที่คนไม่รู้จักใส่เสื้อผ้าแบบที่เธอคิดสักหน่อย!!”
“อ้าวงั้นเหรอ… ตอนแรกข้าเห็นเจ้านั่งล่อนจ้อนไม่ยอมคิดจะหาเสื้อผ้าใส่อยู่ตั้งเกือบ 3 ชั่วโมง ก็เลยนึกว่ามันเป็นแบบนั้นซะอีก”
“ใครมันจะไปตรัสรู้ว่าที่นี่มีเสื้อให้ใส่ฟะ!! ถ้ามีก็ควรจะเอาออกมาให้แต่แรกแล้วไหม!?”
“อืม… นั้นก็จริงแฮะ เอาเป็นว่าข้าขอโทษแล้วกันนะศิวะ ที่นี่ก็รีบใส่เสื้อให้เสร็จ แล้วรีบตามข้ามาได้แล้ว เดี๋ยวข้าจะพาไปดูห้องพักของเจ้า—- หืม? โอ๊ะ~ ดูเหมือนว่าแอสทรัลจะเจอ… บ้าน… ของ… เจ้า…”
“โอ้เจอแล้วงั้นเหรอ แล้วอยู่ไกลมากไหม?” เขาพูดหันหลังให้เธอพร้อมกับค่อยๆ ใส่เสื้อผ้าไปด้วย
“อะ… อืม เจอแล้วละ… แต่ว่า… มันไกลสุดๆ ไปเลย…ล่ะ…” เธอพูดออกมาอย่างตะกุกตะกักพร้อมกับกำลังเอามือกุมหัวตัวเองด้วยความตกตะลึง
“งั้นเหรอ… อืม… มันก็ช่วยละมั้ง ก็นี่มันในอวกาศนี้เนอะ แต่ว่าถ้าหยุดงานนานๆ แบบนี้มีหวังเจ้คานาเลียได้บ่นยับแน่… เลย…”
“นี่ศิวะ… คือว่า…”
“อ้าก!! ฉิบหายละสิ… ลืมเรื่องงานวันเกิดของน้องชายเจ้ไปซะสนิทเลยจะทำยังไงดี!? ถ้ากลับไปทั้งๆ แบบนี้ละก็… อ่า… แทบไม่อยากจะคิดเลยว่าจะต้องเจออะไรบ้าง…” เขาลงไปนั่งกุมหัวพร้อมกับพยายามเค้นสมองเพื่อหาข้อแก้ตัวที่ดูจะฟังขึ้นไปขอโทษอีกฝ่าย
“เจ้าอาจไม่ได้กลับบ้านแล้วละ!!” อิโซลาร์ตะโกนออกมาเสียงดังจนเกิดเสียงสะท้อนอยู่ภายในห้องโถง
“เอ่อ… คือ… เมื่อกี้ว่าไงนะ?”
“ขะ… ข้าขอโทษ… แต่ก็อย่างที่ข้าบอกไป” เธอมองหน้าเขาพร้อมกับกลืนน้ำลาย “ดูเหมือนว่าเจ้าคงไม่อาจกลับไปยังดาวบ้านเกิดได้อีกแล้วละ…”
*****