ข้าก็แค่กลั่นลมปราณ 3,000 ปี - บทที่ 1 บรรพบุรุษขั้นกลั่นลมปราณ
บทที่ 1 บรรพบุรุษขั้นกลั่นลมปราณ
ณ มุมหนึ่งในดินแดนอันกว้างใหญ่ของรัฐโบราณแห่งอาณาจักรมนุษย์ มีสำนักกระบี่ชิงหมิงซึ่งเป็นหนึ่งในสำนักที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกตั้งถิ่นฐานอยู่ ผู้คนทั่วแผ่นดินต่างทราบถึงชื่อเสียงของสำนักแห่งนี้ดี มันคือสำนักที่ให้กำเนิดยอดฝีมือทุก ๆ ร้อยปี และเมื่อสามพันปีที่แล้วได้มีหนึ่งในพวกเขาสามารถทะลวงโซ่ตรวนแห่งธรรมชาติจนกลายเป็นเซียนได้สำเร็จ!
บางทีอาจจะเป็นเพราะการนำทางของเซียนผู้นี้ แม้ว่าสำนักจะประสบภัยพิบัติหลายครั้งในช่วงหลายพันปีที่ผ่านมา แต่มันก็ยังยืนหยัดอยู่ได้เรื่อยไป
ปีนี้เป็นปีแห่งการคัดเลือกศิษย์เข้าสำนักกระบี่ชิงหมิงของทุก ๆ ยี่สิบปี ผู้คนจากรัฐและแคว้นน้อยใหญ่ต่างมารวมตัวกันที่ใต้เขาชิงหมิงเพื่อหวังจะได้เป็นเซียน
แต่คืนนั้นกลับเกิดภัยพิบัติขึ้นในสำนักกระบี่ชิงหมิงก่อนที่พวกเขาจะรู้ตัว
ยามดึกสงัดท่ามกลางภูเขาชิงหมิงที่สูงตระหง่าน ศิษย์รุ่นที่สองของสำนักกระบี่ชิงหมิงสองคนได้หาวด้วยความเบื่อหน่าย พวกเขากำลังสนทนากันเรื่องผู้หญิงในสำนัก จากนั้นชั่วครู่ทั้งสองก็ได้เปลี่ยนไปสนทนาเรื่องศิษย์ใหม่ที่กำลังจะเข้าสำนัก และหวังว่าจะมีสักคนมาตกหลุมรักตัวเองบ้าง
แต่ขณะที่พวกเขากำลังสนทนากันอยู่นั้น กลุ่มเมฆทมิฬได้เคลื่อนเข้ามาปกคลุมเหนือสำนักกระบี่ชิงหมิงอย่างเงียบๆ ขณะที่ดวงจันทร์ส่องสว่างไปทั่วฟ้า
สิ่งแรกที่พวกเขาสัมผัสได้ก็คือแรงกดดันอันมหาศาล มันรุนแรงจนพวกเขาแทบจะหายใจไม่ออก ศิษย์ทั้งสองของสำนักกระบี่ชิงหมิงเริ่มรู้สึกแปลกประหลาดและไม่สบายใจขึ้นมาทันที
หลังจากนั้นไม่นาน กลุ่มเมฆทมิฬได้ลอยไปยังแนวป้องกันของสำนักกระบี่ชิงหมิงโดยไม่มีการเตือนล่วงหน้า จากนั้นก็ตามมาด้วยเสียงที่ก้องกังวานราวเสียงฟ้าคลุ้มคลั่ง
“เฒ่าชิงหมิง! ข้ามาที่นี่เพื่อแก้แค้น!”
หลังจากที่เสียงอันดังสนั่นสิ้นสุดลง ประกายสายฟ้าได้ปรากฏขึ้นท่ามกลางกลุ่มเมฆสีดำและเคลื่อนตัวผ่าลงไปยังเขตอาคมป้องกัน สิ่งนี้ทำให้เขตอาคมถึงกับสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง
“ไปรายงานเจ้าสำนัก!”
บรรดาศิษย์ที่รักษาการณ์อยู่ต่างทรงตัวไม่ได้และล้มกันเป็นระนาว หนึ่งในศิษย์รุ่นที่สองพยายามลุกขึ้นและตะโกนออกมาทันทีก่อนจะพุ่งไปยังบริเวณประตูของภูเขา ถัดจากนั้นไม่ไกลมีระฆังขนาดใหญ่ตั้งอยู่ เขาไม่รอช้าที่จะโคจรพลังไปยังกำปั้นและกระแทกระฆังตรงหน้าเพื่อส่งเสียงเตือน
อาคมวิเศษที่สลักอยู่บนระฆังตอบรับการสั่นทันที มันสะท้อนเสียงให้ดังไปทั่วภูเขาจนผู้คนสามารถได้ยิน ศิษย์รุ่นที่สองรีบออกคำสั่งให้บรรดาศิษย์ใหม่อพยพอย่างรวดเร็ว เพียงไม่นาน กลุ่มผู้อาวุโสและศิษย์ของสำนักกระบี่ชิงหมิงก็ขี่กระบี่ของตนพุ่งขึ้นฟ้า ชั่วขณะหนึ่ง ลำแสงจากกระบี่ที่บินว่อนไปมาบนอากาศดูสวยงามยิ่งนัก
แต่ดูเหมือนแขกที่ไม่ได้รับเชิญจะไม่มีความอดทนพอที่จะรอเจ้าสำนักและศิษย์สำนักกระบี่ชิงหมิงมารวมตัวกัน เมื่อเห็นว่าสายฟ้าไม่อาจทะลวงเกราะอาคมคุ้มกันได้ เมฆทมิฬจึงเปลี่ยนรูปเป็นกรงเล็บสัตว์ร้ายขนาดใหญ่เข้าโจมตีเกราะอาคมคุ้มกันอีกครั้ง หลังจากสิ้นสุดเสียงปะทะ เขตอาคมที่ปกป้องสำนักมานับพันปีก็ระเบิดออกราวกับฟองสบู่
จากนั้นมันจึงได้ถอนกรงเล็บออกและเข้าโจมตีประตูของภูเขาชิงหมิงต่อ
ทันใดนั้นเอง ได้มีแสงกระบี่สีฟ้าพุ่งตรงออกมาจากกลางอากาศ มันกลายเป็นลำแสงโฉบไปยังกรงเล็บทมิฬก่อนหน้านี้ทันที
ร่างร่างหนึ่งได้ปรากฏตามออกมาหลังจากการโจมตีนี้ เขาสวมเสื้อคลุมสีขาว ใบหน้านั้นหล่อเหลือร้าย เวลานี้เจ้าตัวกำลังยืนอยู่กลางอากาศและมองไปยังกลุ่มเมฆทมิฬ
“เจ้าเป็นตัวอะไร?”
“ช่างโง่เขลานัก! ไม่เคยได้ยินชื่อเสียงของเจ้าอสูรอัสนีผู้นี้หรือ!”
กลุ่มเมฆทมิฬยังคงม้วนตัวไปมาเพื่อแสดงให้เห็นว่ากำลังโกรธ
“เฮอะ ช่างมันเถอะ วันนี้ข้ามาเพื่อตามหาไอ้เฒ่าชิงหมิง บอกมันว่าข้าจะชำระหนี้แค้น จงไปเรียกมันมา!”
“ผู้อาวุโสชิงหมิงบรรลุขั้นเซียนสำเร็จเมื่อสามพันปีก่อนแล้ว”
เจวี๋ยอวิ๋นจื่อ ผู้เป็นเจ้าสำนักกระบี่แห่งนี้ขมวดคิ้วพร้อมกล่าว “ถ้าเจ้าต้องการจะพบเขา เช่นนั้นก็จงไปยังโลกเซียน อย่าได้มารบกวนสำนักกระบี่ชิงหมิงของข้า!”
“หึ ๆ ฮ่า ๆๆๆๆ”
เสียงหัวเราะดังออกมาจากกลุ่มเมฆทมิฬ
“น่าขัน! ไร้สาระสิ้นดี! ไอ้เฒ่าชิงหมิงสามารถบรรลุเซียนได้งั้นหรือ? เจ้าก็เป็นศิษย์ของมันสินะ เช่นนั้นข้าจะทำลายสำนักนี้ก่อน แล้วค่อยไปยังโลกเซียนเพื่อแก้แค้น!”
กลุ่มเมฆทมิฬสลายหายไปกลางอากาศ จากนั้นมันก็ได้กลายร่างเป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ขนาดมหึมาโดยส่วนศีรษะหน้าตาเหมือนหมาป่า ลำตัวเป็นม้า มีหางรูปตะขอยาวสามเส้น และยังมีเสียงฟ้าร้องอู้อี้อยู่รอบตัวของมัน
เห็นได้ชัดเจนว่ามันคือเจ้าอสูรอัสนีที่ถูกบันทึกไว้ในหนังสือโบราณ และมันเคยถูกผนึกโดยบรรพบุรุษเมื่อสามพันปีก่อน…
เมื่อเห็นร่างจริงของมัน เจวี๋ยอวิ๋นจื่อถึงกับขมวดคิ้วอีกรอบ
เจ้าอสูรอัสนีตัวนี้มีสายโลหิตของสัตว์เซียนอยู่ เดิมทีมันมีพละกำลังเท่ากับมนุษย์ที่บ่มเพาะพลังช่วงแรก หลังจากเข้าสู่วิถีมาร พละกำลังของมันก็เพิ่มขึ้นถึงสามเท่าจนเกือบจะทัดเทียมได้กับขั้นเซียนของมนุษย์ ถึงแม้เจ้าสำนักจะอยู่ระดับสูงสุดของขั้นผสานร่างและมีความมั่นใจอย่างมาก แต่เขาก็ทราบดีว่าไม่ใช่คู่ต่อสู้ของอสูรอัสนีตัวนี้ อีกอย่างผู้อาวุโสระดับสูงของสำนักก็อยู่ในขั้นตอนสำคัญของการบ่มเพาะพลัง หากเข้าไปรบกวน ผู้อาวุโสที่ว่าอาจจะบาดเจ็บสาหัสได้
เมื่อนึกสิ่งนี้เจวี๋ยอวิ๋นจื่อก็เริ่มใช้สัมผัสศักดิ์สิทธิ์เชื่อมต่อกับจิตของศิษย์คนหนึ่งทันที
“ไปยังยอดเขาชีซิงและขอให้อาจารย์ลุงมาช่วย!”
ศิษย์ชุดแดงผู้นั้นกำลังขี่กระบี่อยู่ด้านหลังรับคำสั่งทันที จากนั้นเขาก็หันหลังมุ่งตรงออกไปตามคำสั่งของเจ้าสำนัก
เมื่อเห็นศิษย์นำคำสั่งออกไปแล้ว เจวี๋ยอวิ๋นจื่อก็รู้สึกโล่งอก จากนั้นเขาได้ยกนิ้วขึ้นโคจรพลังรอบด้านจนกลายเป็นสีรุ้ง
“ต้องการทำลายสำนักกระบี่ชิงหมิงงั้นหรือ? เช่นนั้นก็ต้องข้ามศพข้าเจวี๋ยอวิ๋นจื่อให้ได้ก่อนเท่านั้น เจ้าอสูรอัสนี!”
เวลานี้เจ้าสำนักกระบี่ชิงหมิงได้เข้าไปถ่วงเวลาเจ้าอสูรอัสนีไว้ ขณะเดียวกัน ศิษย์ชุดแดงก็ได้มาถึงยังยอดเขาชีซิงอย่างรวดเร็ว
ด้วยความเร่งรีบ เขาจึงไม่มีเวลาแสดงความเคารพตามมารยาท และรีบพุ่งขึ้นไปตามเส้นทางก่อนจะหยุดที่ลานเล็ก ๆ ใกล้กับยอดเขา
หลังจากทะยานลงพื้น เขาได้คุกเข่าลงทันทีพร้อมกับรวบรวมพลังเพื่อตะโกน
“สำนักกระบี่ชิงหมิงถูกโจมตี เจ้าสำนักได้ส่งข้าน้อยมาเพื่อขอความช่วยเหลือจากท่าน!”
เสียงตะโกนนั้นดังไปทั่วยอดเขา เพียงไม่นานประตูตรงหน้าก็ค่อย ๆ เปิดออก และตามมาด้วยเสียงที่ฟังดูเกียจคร้าน
“รู้แล้ว ๆ”
เสียงฝีเท้าดังขึ้นก่อนที่ร่างของชายผู้หนึ่งจะปรากฏตรงหน้าศิษย์ชุดแดง ศิษย์ชุดแดงไม่สามารถระงับความอยากรู้อยากเห็นได้จึงเงยหน้าขึ้นมอง เขาเห็นชายหนุ่มรูปงามยืนอยู่ตรงหน้า ชายหนุ่มผู้นั้นมีผิวที่ดูเรียบเนียนเหมือนเด็กทารก แต่กลับมีผมและคิ้วเป็นสีดอกเลาราวกับชายอายุร้อยปี
ใบหน้าของเขาดูเกียจคร้านและไม่ได้สวมชุดของสำนักกระบี่ชิงหมิง แต่ใส่แค่ชุดคลุมกว้างด้านนอกและชุดบาง ๆ รัดข้างใน รองเท้าของเขามีลวดลายรูปเมฆ และยังห้อยกระบี่ยาวอยู่ที่เอว เขาดูไม่ค่อยเหมือนคนที่เก่งกาจมากนัก
สิ่งที่ทำให้ศิษย์ชุดแดงตกตะลึงก็คือขั้นพลังของ ‘อาจารย์ลุง’ ในตำนานคนนี้
‘กลั่นลมปราณ เขาอยู่เพียงแค่ขั้นกลั่นลมปราณเท่านั้น!’
ศิษย์ชุดแดงถึงกับชะงัก
นี่เป็นขั้นที่ผู้คนธรรมดาทั่วไปสามารถเข้าถึงได้ ด้วยความแข็งแกร่งของเจ้าอสูรอัสนี อย่าว่าแต่ขั้นกลั่นลมปราณเลย แม้แต่ยอดฝีมือขั้นขอบเขตปฐมวิญญาณก็ยังเป็นได้แค่อาหารของมัน
“จบสิ้นแล้ว วันนี้ในปีหน้าจะเป็นวันครบรอบวันตายของสำนักกระบี่ชิงหมิง…”
ศิษย์ชุดแดงทำได้เพียงบ่นพึมพำ
“ตอนนี้เจวี๋ยอวิ๋นจื่ออยู่ที่ไหน?”
ชายหนุ่มผมขาวเดินเข้าไปถามศิษย์ชุดแดง
“เฮ้อ ความตายมันเป็นเช่นนี้เอง ทุกสิ่งในโลกนี้ล้วนต้องพบจุดจบ…”
แต่เห็นได้ชัดว่าศิษย์ชุดแดงมัวแต่ตื่นตระหนก และบ่นพึมพำออกมาเป็นคำพิลึกพิลั่น
“หืม? เจ้ากำลังพร่ำเพ้อสิ่งใด? ไปเห็นปีศาจมาหรือ?”
‘อาจารย์ลุง’ ที่อยู่ขั้นกลั่นลมปราณได้เดินมาถามตรงหน้าศิษย์ชุดแดง
“ข้าขอถามอะไรเจ้าได้หรือไม่? เจวี๋ยอวิ๋นจื่ออยู่ที่ไหน? อยู่ที่ยอดเขาหลักหรือเปล่า?”
“ทางนั้น ๆ” ศิษย์ชุดแดงชี้นิ้วไปทางประตูทางเข้าสำนัก “เจ้าสำนักกำลังสู้ร่วมกับคนอื่น ๆ ที่ประตูทางเข้า”
“อ้อ ข้าเข้าใจแล้ว”
‘อาจารย์ลุง’ ผู้มีผมและคิ้วเป็นสีดอกเลาพยักหน้า จากนั้นเขาก็ได้ย่อตัวลงเล็กน้อย ทันใดนั้นศิษย์ชุดแดงก็สัมผัสได้ถึงลมปราณมหาศาลที่กำลังเพิ่มขึ้น
หลังจากเสียงดังสนั่น ยอดเขาชีซิงถึงกับสั่นสะเทือน พื้นดินใต้ฝ่าเท้าของเขาแตกเป็นเสี่ยง ๆ เป็นผลให้ศิษย์ชุดแดงต้องนั่งลงบนพื้นเพราะทรงตัวไม่ได้ ขณะเดียวกัน ร่างของอาจารย์ลุงก็ได้บินขึ้นบนท้องฟ้ามุ่งไปยังประตูสำนัก
ณ ประตูสำนักกระบี่ชิงหมิง บรรดาลูกศิษย์กำลังเงยหน้ามองเจ้าสำนักสู้กับผู้มาเยือนในกลุ่มเมฆ
บนท้องฟ้าปรากฏทั้งแสงจากคมกระบี่ ประกายสายฟ้า และกลุ่มควันอย่างไม่มีที่สิ้นสุด พลังจากการปะทะของพวกเขาระเบิดออกมาจนสามารถทำลายภูเขาเล็ก ๆ ได้
“อ๊าก!”
เพียงไม่นานหลังจากทั้งสองต่อสู้กันก็ได้เกิดเสียงร้องดังออกมาจากก้อนเมฆทมิฬ
ร่างสีขาวตกลงมาจากก้อนเมฆ และกระแทกเข้ากับระฆังที่หน้าประตูภูเขาอย่างรุนแรง
เมื่อฝุ่นควันจางหายไป ใบหน้าของเจวี๋ยอวิ๋นจื่อก็ปรากฏ ที่ปากมีเลือดซึม ตอนนี้เขาพยายามพยุงตัวเองด้วยกระบี่ ก่อนจะค่อย ๆ มองขึ้นไปบนฟ้าด้วยท่าทีเคร่งขรึม
“ฮ่า ๆๆ แม้จะผ่านไปเป็นพันปี ผู้สืบทอดของตาเฒ่าชิงหมิงก็มีฝีมือเพียงแค่นี้!”
เจ้าอสูรอัสนีทะยานขึ้นไปบนฟ้าและมองดูเจวี๋ยอวิ๋นจื่อด้วยความภาคภูมิใจ
“เจ้าแพ้แล้ว! จงอยู่กับมันไปจนตายเสีย ข้าจะทำลายประตูสำนักลงในวันนี้เอง!”
มันเงยหน้าขึ้นฟ้า จากนั้นเขาบนหัวของมันได้ส่งเสียงฟ้าร้องราวกับสื่อสารกับเมฆทมิฬบนท้องฟ้า สิ่งนี้ทำให้เกิดบรรยากาศอันน่าสะพรึงทันที
แต่ทันใดนั้นได้มีร่างหนึ่งปรากฏขึ้นกลางอากาศ และเตะไปยังเจ้าอสูรอัสนี
ตู้ม!
เจ้าอสูรอัสนีถูกเตะโดยไม่ทันตั้งตัว มันปลิวไปกระแทกกับเนินเขาเล็ก ๆ ด้านนอกภูเขาชิงหมิง
“นั่นใคร?!”
มันคำรามด้วยความโกรธและพุ่งออกมาจากฝุ่นควันรอบด้านเพื่อดูว่าใครเป็นคนลงมือ ชายผู้นั้นมีผมและคิ้วเป็นสีดอกเลาซึ่งกำลังยืนอยู่หน้าเจวี๋ยอวิ๋นจื่อ
“ข้าชื่อไป๋ชิวหราน”
ชายหนุ่มยิ้มอย่างอ่อนโยนและพูดว่า “วันนี้ ในนามลูกศิษย์ของเซียนชิงหมิง ข้าจะขอสู้กับเจ้าเอง”
เจ้าอสูรอัสนีจ้องเขาอยู่ชั่วครู่ก่อนจะหัวเราะออกมา
“ฮ่า ๆๆๆ! แกกำลังพูดเรื่องอะไร? นี่เป็นเรื่องตลกที่สุดที่ข้าเคยได้ยินมาในชีวิต!”
เจ้าอสูรอัสนีใช้เท้ากีบหน้าชี้ไปยังไป๋ชิวหราน ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยน้ำตา น้ำมูก และน้ำลายจากการหัวเราะ
“มนุษย์ที่อยู่ขั้นกลั่นลมปราณอ้างว่าเป็นศิษย์ของเฒ่าชิงหมิง! ฮ่า ๆ ความโอหังของเจ้าช่างเหนือจินตนาการยิ่งนัก!”
เสียงหัวเราะค่อย ๆ สงบลง จากนั้นเจ้าอสูรอัสนีจึงได้เอ่ยขึ้นอีกครั้ง “ไสหัวไป ข้ายอมให้เจ้ามีชีวิตต่อได้”
“คงจะไม่ได้หรอก”
ถึงแม้ไป๋ชิวหรานจะยิ้ม แต่หน้าผากของเขากลับมีเส้นเลือดปูดโปน
“เจ้ามีความคิดเห็นอย่างไรกับขั้นกลั่นลมปราณงั้นหรือ?”
“ความเห็น?”
เจ้าอสูรอัสนีไม่คิดจะตอบคำถามน่าเบื่อนี้ เมื่อเห็นว่าไป๋ชิวหรานไม่ยอมปล่อย มันจึงอ้าปากขึ้นเพื่อปล่อยลำแสงสายฟ้าหวังจะสังหารทั้งไป๋ชิวหรานและเจวี๋ยอวิ๋นจื่อ
เป้าหมายหลักในการโจมตีนี้คือเจวี๋ยอวิ๋นจื่อ ส่วนมดปลวกที่อยู่ขั้นกลั่นลมปราณนั้นแค่จามมันก็สังหารได้แล้ว จึงไม่มีคุณสมบัติพอให้มันสนใจ
“เจ้าสำนัก!”
เมื่อเห็นลำแสงสายฟ้ากำลังถูกปล่อยออกมา ศิษย์ชุดแดงที่เพิ่งบินมาจากด้านหลังถึงกับตะโกนออกมาด้วยความตกใจ แต่เจวี๋ยอวิ๋นจื่อกลับสงบ เพราะเขาเห็นไป๋ชิวหรานชักกระบี่ออกมาแล้ว
ลมปราณที่กำลังเดือดพล่านกระจายออกมาราวกับทะเล จากนั้นเขาได้จุดเปลวเพลิงขึ้นที่กระบี่จนสว่างจ้า มันคือวิชาการต่อสู้พื้นฐานที่ใช้กันมากที่สุดในการเริ่มบ่มเพาะพลัง
“ท่าฟัน…เพลิงโลหิต!”
เปลวเพลิงพุ่งขึ้นฟ้าแยกเมฆทมิฬออกเป็นสองส่วน จากนั้นมันก็ผ่าครึ่งร่างของเจ้าอสูรอัสนีอย่างง่ายดายพร้อมภูเขาด้านหลัง
แสงสีแดงค่อย ๆ ดับลงและกลายเป็นกระบี่เหล็ก จากนั้นเขาจึงได้พูดขึ้นอย่างเย็นชา
“อย่ามาดูถูกขั้นกลั่นลมปราณ ข้าน่ะแข็งแกร่งมากนะ!”