ข้าก็แค่กลั่นลมปราณ 3,000 ปี - บทที่ 100 ปรมาจารย์ตัวจริง
บทที่ 100 ปรมาจารย์ตัวจริง
เมื่อมองขึ้นไปยังรูปแบบค่ายกลที่ปรากฏอยู่บนท้องฟ้า หลีจิ่นเหยาได้แต่กะพริบตาปริบ ๆ ก่อนจะหันหน้าไปกล่าวกับไป๋ชิวหราน
“แผนภาพค่ายกลนี้ไม่สามารถจดจำได้ด้วยความทรงจำเพียงอย่างเดียว… บรรพชนสำนักกระบี่ชิงหมิงโปรดแก้ไขปัญหานี้ด้วย”
ไป๋ชิวหรานกำลังจดจ่ออยู่กับการใช้ฝ่ามือบดขยี้อสูรร้ายตัวใหญ่ จากนั้นจึงหันไปอธิบายขั้นตอนให้หลีจิ่นเหยาฟัง
“เราต้องหาที่ตั้งของค่ายกลที่แท้จริงเหล่านี้ให้พบเสียก่อน แล้วถังรั่วเวยจะมาถึงที่นี่พร้อมกับเครื่องมือสำรวจทำแผนที่ เราถึงจะเริ่มสำรวจทำแผนที่ของค่ายกลแห่งนี้ เพื่อวิเคราะห์ขั้นตอนการผลิตหินวิญญาณชั้นเลิศได้”
ใช่แล้ว เหตุผลที่ไป๋ชิวหรานเข้าไปในด่านทดสอบดังกล่าว แต่กลับไม่ยอมผ่านออกไป จุดประสงค์เพื่อรอให้ใครสักคนหาวิธีบันทึกกลไกของค่ายกล ที่สามารถผลิตหินวิญญาณได้เป็นจำนวนมาก แล้วนำกลับมาเพื่อศึกษาวิจัยให้ถ่องแท้
อันที่จริงชายหนุ่มพอตระหนักรู้ว่าเบื้องหลังห้องโถงใหญ่ อาจมีเซียนปฐพีรอคอยอยู่ ซึ่งทันทีที่เขาเดินไปหยุดอยู่หน้าประตูนอกห้องโถงเป็นครั้งแรก กระแสจิตพลันสัมผัสได้ถึงกระแสจิตอันเข้มข้นของใครอีกคนหนึ่ง ซึ่งอยู่อีกฝั่งด้านในของห้องโถง ยิ่งเข้าใกล้ประตูมากเพียงใด กระแสจิตนั้นยิ่งแปรปรวน ประหนึ่งทะยานขึ้นสู่จุดสูงสุดแล้วดิ่งลงสู่ที่ต่ำ
ชายผู้แต่งกายประหลาดภายในห้องโถงอาจไม่คาดคิดมาก่อนว่า กระแสจิตของเขามีความแข็งแกร่ง… ถึงขั้นที่สามารถเจาะทะลุผ่านเข้าไปภายในห้องโถงที่มีเวทมนตร์ป้องกัน ดังนั้นอีกฝ่ายจึงนั่งคอยผู้มาเยือนด้วยความสง่างาม
เมื่อเขาชำระล้างถ้ำเซียนแห่งนี้จนหมดจด และสังหารศัตรูที่อาจเป็นอันตรายจนหมดสิ้นแล้ว ชายหนุ่มจึงได้ส่งคนกลับมาทำการศึกษาสำรวจมันได้ในภายหลัง แต่ไม่มีใครล่วงรู้ว่าศัตรูเหล่านั้นถูกสร้างขึ้นด้วยนัยยะอันใด หากไม่มีความรอบรู้มากพอ จนเผลอทำลายค่ายกลจนเสียหาย พื้นที่ภายในถ้ำเซียนทั้งหมดย่อมสูญสลายตามไปด้วย
ไม่ต้องรอให้ถึงขั้นนั้น ต่อให้เป็นไป๋ชิวหรานที่จะสร้างผลกระทบครั้งหรือสองครั้งในระหว่างการต่อสู้… นั่นก็ถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างเสี่ยงพอสมควร
ค่ายกลที่สามารถผลิตหินวิญญาณ กับค่ายกลที่สามารถรวบรวมจิตวิญญาณมีความสำคัญไม่เท่ากัน และแม้ว่าความเร็วในการก่อตัวขึ้นมาใหม่ของค่ายกลดังกล่าวจะค่อนข้างช้า แต่หากสามารถนำออกไปยังโลกภายนอก สิ่งนี้จะเทียบเท่ากับขุมทรัพย์!
โดยพื้นฐานแล้ว หินวิญญาณเป็นเครื่องมือเสริมเพื่อช่วยเหลือผู้ฝึกตนในการฝึกฝนเคล็ดวิชา เป็นแหล่งพลังงานที่ใช้ในการก่อสร้างกลไก หรืองานสร้างสรรค์อื่น ๆ ซึ่งพวกมันล้วนเป็นวัตถุดิบสำคัญที่ค่อนข้างสิ้นเปลืองไม่น้อย เวลานี้โลกแห่งการฝึกตนใช้หินวิญญาณแทนสกุลเงินพื้นฐานที่ใช้ในการแลกเปลี่ยน เนื่องจากจำนวนประชากรในโลกแห่งการฝึกตนยังมีน้อย ทำให้ปริมาณสำรองของหินวิญญาณที่สามารถขุดค้นได้ …ยังคงมีเพียงพอ
อย่างไรก็ตาม ไม่มีผู้ใดรับประกันได้ ว่าหลังจากกาลเวลาผ่านไป ในอนาคตโลกแห่งการฝึกตนจะยังมีหินวิญญาณที่เพียงพอสำหรับการใช้อุปโภคบริโภคหรือไม่
ด้วยการปรับปรุงด้านกำลังการผลิต โลกแห่งการฝึกตนจึงยังดำรงอยู่ได้โดยไร้ปัญหาดังกล่าว แต่ก่อนจะเกิดสงครามระหว่างเผ่าปีศาจและเผ่ามนุษย์ขึ้น กลไกที่ได้รับจากโลกเซียน… เพื่อที่จะสร้างเสริมให้โลกแห่งการฝึกตนมีความเจริญรุ่งเรืองยิ่งขึ้น นั่นจึงเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้อย่างแน่นอน
ไป๋ชิวหรานพาหลีจิ่นเหยารุดหน้าไปตลอดทาง เขาเป็นผู้ตั้งรับและต่อสู้กับเหล่าอสูรร้ายที่พบระหว่างทาง ส่วนหลีจิ่นเหยารับหน้าที่ในการค้นหาตำแหน่งที่ซ่อนอยู่ของค่ายกล หลังจากทั้งสองใช้ความพยายามอย่างมากและใช้เวลาไปเกือบทั้งวันในการฝ่าฟัน ท้ายที่สุดก็ประสบความสำเร็จในการค้นหาตำแหน่งของค่ายกลทั้งหมดภายในด่านทดสอบแห่งนี้
ไม่เพียงกลไกการสร้างหินวิญญาณชั้นเลิศขึ้นใหม่ แม้แต่กลไกในการสร้างสัตว์อสูรร้าย หรือกลไกที่ก่อให้เกิดพายุฝนฟ้าคะนอง ทั้งหมดถูกรวมเข้าด้วยกันอย่างหนาแน่น กลายเป็นรูปแบบค่ายกลที่ซับซ้อนเป็นอย่างยิ่ง ด้วยเวลาที่จำกัดทำให้พวกเขาทำได้เพียงคัดลอกพวกมันทั้งหมดไว้โดยคร่าว ๆ หลังจากนั้นค่อยนำกลับไปวิเคราะห์ผลลัพธ์ให้ถี่ถ้วน
หลังจากพบตำแหน่งค่ายกลทั้งหมดแล้ว ทั้งสองย้อนกลับไปยังบริเวณหน้าผาตามทางเดินเดิมที่เข้ามา
ทันทีที่พวกเขาก้าวออกไปจากหมอกหนา พบว่ามีผู้คนเดินตรงเข้ามาสมทบเพิ่มอีกประมาณสองถึงสามราย
“การทดสอบเบื้องหน้าถือเป็นด่านสุดท้ายแล้ว พวกเราควรตั้งใจให้มาก”
ร่างของชิงตานอิ๋งโผล่ออกมาจากเมฆหมอกหนาทึบ นางกำลังหันไปพูดคุยเป็นเชิงให้กำลังใจกับใครบางคนที่เดินติดตามมาด้านหลัง ทันใดนั้นหันหน้ากลับมา และพบเข้ากับไป๋ชิวหรานซึ่งยืนอยู่ในระดับที่ต่ำกว่า
เห็นได้ชัดว่าเด็กหญิงตัวน้อยตกตะลึงไปครู่หนึ่ง จากนั้นจึงแปรเปลี่ยนสีหน้าเป็นระแวดระวัง พร้อมกล่าวด้วยเสียงอันดังว่า
“ระวังด้วย! ดูเหมือนว่าการทดสอบในด่าน ‘ทุกข์แห่งความเกลียดชัง’ จะยังไม่จบสิ้น เจ้าสุนัขจอมเจ้าเล่ห์ ดูกลอุบายนั่นสิ!”
ขณะกล่าว นางตั้งท่าตั้งรับพร้อมปราดเข้าหาไป๋ชิวหรานในทันที ฝ่ามือเหยียดออกพร้อมกันทั้งสองข้าง ทันใดนั้น เงารูปฝ่ามือพลันปรากฏขึ้นบนท้องฟ้า จากนั้นออกแรงตบไปกลางอากาศจนเกิดเป็นทะเลเพลิงสีเขียวมรกตขนาดมหึมา
ไป๋ชิวหรานดึงหลีจิ่นเหยาให้หลบไปด้านหลัง ก่อนจะเหยียดฝ่ามือออกเช่นกัน เอื้อมไปจับแผ่นหลังของชิงตานอิ๋งเพื่อยกร่างนางขึ้นจากทะเลเพลิงสีมรกตนั่น เปลวไฟพลันพุ่งเข้ากระทบใบหน้าของไป๋ชิวหราน ทว่าร่างกายของเขากลับสร้างเกราะป้องกันขึ้น เหตุการณ์ตรงหน้าราวกระแสน้ำที่ถูกโขดหินใหญ่ขวางทางไว้ กระทั่งเกิดพื้นที่ว่างขนาดใหญ่ขึ้นด้านหลังชายหนุ่มขณะโจมตี
“ปล่อยข้าเดี๋ยวนี้นะ!”
ชิงตานอิ๋งพยายามดิ้นรนสุดชีวิต ขณะถูกฝ่ามือของไป๋ชิวหรานจับไว้ ท่าทางเช่นนั้นไม่ต่างอะไรจากสมัยที่ชายหนุ่มจับปีกนางยกขึ้นจนลอยเคว้งอยู่กลางอากาศ เมื่อครั้งที่ยังเป็นไก่เมื่อหลายร้อยปีก่อน
ทว่าครั้งนี้แตกต่างออกไป เพราะนางมีผู้ช่วยอีกสองคน
เมื่อได้ยินเสียงร้องตะโกนของชิงตานอิ๋ง การโจมตีระลอกที่สองก็เกิดขึ้นภายในหมอกหนาทึบ ซึ่งไป๋ชิวหรานคุ้นเคยกับการโจมตีในครั้งนี้เป็นอย่างดี หนึ่งในนั้นคือกระบวนฝ่ามือกระดูกทลายวิญญาณ เคล็ดวิชาย่างก้าวภูตพรายของซูเซียงเสวี่ย ส่วนแสงกระบี่อีกอันหนึ่งเป็นเคล็ดวิชาของสำนักกระบี่ชิงหมิง ซึ่งครั้งหนึ่งเขาเคยฝึกสอนให้เจวี๋ยอวิ๋นจื่อเรียนรู้กระบวนกระบี่คมทองคำ
ไป๋ชิวหรานยกฝ่ามืออีกข้างหนึ่งขึ้นสูงเพื่อออกไปหยุดยั้งมัน แสงกระบี่กับพลังจากฝ่ามืออันน่าสะพรึงกลัวที่เต็มไปด้วยพิษหยินและปราณเย็นเยียบ ถูกเหวี่ยงทิ้งไปยังด้านข้างของหน้าผาด้วยพลังปราณแก่นแท้ของเขา ทำให้หินผาขนาดใหญ่ปริแตกออก
อีกสองร่างโผล่พ้นออกมาจากหมอกหนาทึบ ที่แท้พวกเขาเป็นศิษย์สายตรงของซูเซียงเสวี่ย โหยวเหมยเฉียว ส่วนอีกคนหนึ่งคือศิษย์สายตรงคนใหม่ของเจวี๋ยอวิ๋นจื่อ เด็กหนุ่มใบ้นามว่าหลินฟาน
ทันทีที่ทั้งคู่เห็นเต็มตาว่าผู้ที่สามารถปราบปรามชิงตานอิ๋งอย่างอยู่หมัดได้คือไป๋ชิวหราน ทั้งสองต่างตกตะลึงไปชั่วขณะหนึ่ง… แต่ครู่ต่อมา หลินฟานเริ่มเปิดการโจมตี
แสงสว่างวาบของกระบี่บินพร่างพรายไปทั่วท้องฟ้า เมื่อเพ่งพินิจให้ดีแล้วเป็นกระบวนวิชากระบี่คมทองคำของเจวี๋ยอวิ๋นจื่อไม่ผิดแน่ ครั้นสังเกตพลังของมันให้ดีแล้ว พบว่าเด็กหนุ่มนามหลินฟานได้ขัดเกลารูปร่างของกระบี่คมทองคำ และฝึกฝนจนใช้งานได้อย่างสมบูรณ์แบบ ไป๋ชิวหรานจึงแสดงกระบวนกระบี่ในแบบเดียวกันเพื่อเปรียบเทียบกับกระบวนกระบี่ที่หลินฟานใช้
แสงกระบี่สว่างเรืองตรงปลายนิ้วส่องแสงระยับ แสงกระบี่ของชายหนุ่มและหลินฟานกระทบกันไปมา จนเกิดรัศมีวงกลมในพื้นที่โดยรอบ ทำให้เสียงเชือดเฉือนอันคมชัดระหว่างการโจมตี ท่าทีของไป๋ชิวหรานยังคงสงบนิ่ง ทว่ารูปลักษณ์ภายนอกของหลินฟานแปรเปลี่ยนเป็นประหวั่นพรั่นพรึงมากขึ้น กระทั่งหยดเหงื่อเย็นเฉียบไหลซึมออกมาตามหน้าผาก
“นัยสำคัญของทองคำคือการเปลี่ยนแปลง ดังนั้นแก่นแท้ของกระบวนกระบี่คมทองคำ จึงหมายถึงการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วและไร้ที่สิ้นสุด เจ้าต้องเคลื่อนย้ายร่างจากในมุมที่ศัตรูคาดไม่ถึง”
ไป๋ชิวหรานคว้าแสงกระบี่บินของหลินฟานไว้โดยใช้เพียงสองปลายนิ้ว ก่อนจะกล่าวต่อไป
“ความร้อนยังไม่เพียงพอ กลับไปให้อาจารย์ของเจ้าสั่งสอนเพิ่มเติมเสีย”
หลังกล่าวจบ เขารีบหมุนข้อมือฉับพลันเพื่อปลดอาวุธกระบี่ของหลินฟานอย่างง่ายดาย ขณะเดียวกันกันใช้ด้ามกระบี่บินกระแทกเข้าตรงหน้าอกเพื่อเป็นการโจมตีกลับ
ทันใดนั้น อีกร่างหนึ่งกลับปรากฏขึ้นอีกครั้ง โหยวเหมยเฉียวเคลื่อนไหวด้วยฝีเท้าด้วยท่วงท่าอันสง่างาม เปี่ยมไปด้วยเสน่ห์ราวกำลังเริงระบำ นางเหยียดฝ่ามือออก หมายจะโจมตีเข้าที่จุดสำคัญทั้งสองจุดของไป๋ชิวหราน
การเคลื่อนไหวของนางเสมือนการขอโอบกอดของคู่รักทั่วไป ทว่าฝ่ามือกลับแผ่จิตสังหารอันแสนเย็นยะเยือก!
เมื่อเห็นการเคลื่อนไหวของโหยวเหมยเฉียว ไป๋ชิวหรานหยุดชะงักด้วยความลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนชายหนุ่มจะคว้าข้อมือของอีกฝ่ายไว้ด้วยมือเปล่า พร้อมพลิกกลับเพื่อต่อสู้ในท่วงท่ามาตรฐาน
แม้ว่ากระบวนการเคลื่อนไหวทั้งหลายของเคล็ดวิชาย่างก้าวภูตพรายจะมีลักษณะอันเคร่งครัด แต่ชายหนุ่มยังรู้เท่าทันเล่ห์เหลี่ยมของมันได้อย่างไม่ยากเย็น ท้ายที่สุดแล้วก็เป็นเพียงการฝึกฝนสำหรับสตรี… ซึ่งไม่อาจต่อกรกับเขาซึ่งเป็นบุรุษได้
“ฝีเท้าของเจ้าพลิ้วไหวดี เพียงแต่ท่วงท่าโดยรวมดูประดิษฐ์มากจนเกินไป”
ว่าแล้วไป๋ชิวหรานจับข้อมือโหยวเหมยเฉียวไว้ด้วยมือเพียงข้างเดียว ก่อนจะกล่าววิพากษ์วิจารณ์ต่อไป
“เจ้าช่างเหมือนกับอาจารย์เสียเหลือเกิน ทุกครั้งที่นางใช้กระบวนท่านี้ ข้าไม่อาจล่วงรู้ว่าอยากโอบกอดจริง หรือจะสังหารใครสักคนกันแน่”
โหยวเหมยเฉียวพยายามดิ้นรนสองครั้ง ในที่สุดไป๋ชิวหรานก็ปล่อยมือ พร้อมโยนร่างของชิงตานอิ๋งออกไปด้านข้าง
ทันใดนั้น หลินฟานกลับมายืนหยัดอีกครั้ง เขาคว้ากระบี่บินมาถือกระชับไว้เพราะต้องการโจมตีต่อไป ทว่าโหยวเหมยเฉียวกลับห้ามปรามเขาไว้เสียก่อน
“อย่าสู้กันอีกเลย”
นางกล่าว
“บุคคลผู้นี้มิใช่ภาพลวงตา… เขาคือปรมาจารย์ตัวจริง”