ข้าก็แค่กลั่นลมปราณ 3,000 ปี - บทที่ 101 อาจารย์ ศิษย์ช่วยเหลือท่านได้เพียงเท่านี้
บทที่ 101 อาจารย์ ศิษย์ช่วยเหลือท่านได้เพียงเท่านี้
ไป๋ชิวหรานกะพริบตาปริบ ๆ ขณะเอ่ยถามกลับ
“แม่นาง ผู้ใดเป็นอาจารย์ของเจ้ากัน?”
“แน่นอนว่าเรียกขานท่านเช่นนี้ด้วยความเคารพ เนื่องจากความสัมพันธ์ระหว่างท่านและอาจารย์ของข้า ฉะนั้นคงไม่ใช่เรื่องผิดแปลกหากจะเรียกขานท่านบรรพชนสำนักกระบี่ชิงหมิงว่าอาจารย์”
โหยวเหมยเฉียวกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“เจ้าเข้าใจผิดแล้ว”
ไป๋ชิวหรานพลันโบกมือปฏิเสธพัลวัน
“ข้าเปล่ามีความสัมพันธ์เช่นนั้นกับอาจารย์ของเจ้าเสียหน่อย”
“แม้ตอนนี้จะไม่มีความสัมพันธ์เช่นนั้น แต่ไม่ได้หมายความว่าในอนาคตความสัมพันธ์เช่นนั้นจะไม่พัฒนาขึ้น หลางโหย่วฉิงยังมีความรักกับนางสนม การที่ข้าเรียกท่านว่าอาจารย์ล่วงหน้าคงไม่เกินไปหรอกกระมัง?”
โหยวเหมยเฉียวยังกล่าวหยอกล้อต่อไป
“นอกจากนี้ อาจารย์มีอายุขัยเกือบหนึ่งพันปีแล้ว ทว่ายังคงรักษาพรหมจรรย์มาโดยตลอด ในฐานะที่เป็นถึงเจ้าสำนักเหอฮวน การกระทำของนางดูไม่สมเหตุสมผลเอาเสียเลย”
“หืม? ว่าอย่างไรนะ?”
ไป๋ชิวหรานกะพริบตาอีกครั้ง
“ซูเซียงเสวี่ยยังเป็นหญิงสาวพรหมจารีอยู่หรือ? เจ้าปดข้าหรือไม่?”
“เป็นเรื่องจริงแท้แน่นอน เมื่อครั้งข้ายังเยาว์ มีโอกาสอาบน้ำร่วมกับอาจารย์… เห็นกับตาว่าทรายโชกง*[1] ยังคงอยู่บนร่างกายของนาง”
โหยวเหมยเฉียวหยุดชะงักไปครู่หนึ่งก่อนถามกลับ
“อีกอย่าง ข้ามีความจำเป็นใดต้องปดท่านด้วยเล่า?”
ไป๋ชิวหรานอดคิดในใจไม่ได้ว่า บรรดานางปีศาจแห่งสำนักเหอฮวนของเจ้ามักล่อลวงมนุษย์ทั่วไปอยู่เป็นนิจ แต่เมื่อไตร่ตรองอีกครั้ง โหยวเหมยเฉียวเป็นศิษย์สายตรงของซูเซียงเสวี่ย คงไม่หยิบยกเรื่องดังกล่าวมาใส่สีตีไข่อย่างไร้มูลเหตุเป็นแน่
เมื่อเห็นท่าทางของไป๋ชิวหรานดูไม่ค่อยเชื่อถือเท่าไหร่นัก โหยวเหมยเฉียวจึงเอ่ยถามต่อ
“เช่นนั้นยังมีอีกประการหนึ่ง ท่านกับข้าต่างรู้จักกับอาจารย์มาเกือบพันปีแล้ว ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา… เคยเห็นหรือได้ยินว่านางออกจากสำนักเพื่อล่าบุรุษมาเป็นเหยื่อหรือไม่เล่า?”
ไป๋ชิวหรานนิ่งคิดไปครู่หนึ่ง
“ไม่เคยได้ยินมาก่อน… แต่นั่นจะเป็นไปได้อย่างไร? ถึงแม้ข้าเป็นผู้รังสรรค์เคล็ดวิชาย่างก้าวภูตพรายสำหรับนางโดยเฉพาะ แต่ถึงอย่างไรยังคงต้องการพลังชีวิตจากบุรุษเพื่อล่อเลี้ยงชีพ หากไม่ออกล่าเหยื่อ เช่นนั้นจะได้รับปราณวิญญาณมาจากที่ใด?”
“นางไม่จำเป็นต้องออกล่าเหยื่อด้วยตนเอง”
โหยวเหมยเฉียวกลอกตา
“ท่านอาจารย์ของข้าปล่อยให้ศิษย์พี่และศิษย์น้องคนอื่น ๆ ออกล่าเหยื่อ หลังจากนั้น พวกนางจะนำพลังชีวิตกลับมาแบ่งให้กับท่านอาจารย์ กล่าวได้อีกอย่างคือ ไม่เคยลงมือสังหารเหยื่อด้วยตนเอง”
“ดูเหมือนในคำบอกเล่าของเจ้าจะเป็นความจริงอยู่บ้าง”
ชายหนุ่มยังไม่คลายความสงสัย เขายังเอ่ยถามต่อไป
“ถึงกระนั้นก็เถอะ ซูเซียงเสวี่ยกำลังคิดทำการใดอยู่กันแน่? ในเมื่อตัดสินใจรับตำแหน่งเป็นประมุขแห่งสำนักเหอฮวน ชื่อเสียงเกี่ยวกับพรหมจารีมิใช่เรื่องสำคัญที่ควรสงวนไว้เสียหน่อย”
“แน่นอนว่านางครองพรหมจรรย์ไว้ก็เพื่อท่าน!”
โหยวเหมยเฉียวกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“ถึงแม้อาจารย์ไม่เคยออกปาก แต่รู้ดีว่านางหลงใหลในตัวท่านมานานนับร้อยปีแล้ว”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ ไป๋ชิวหรานตกตะลึงไปเล็กน้อย
ขณะนั้น ชิงตานอิ๋งกลับกล่าวแทรกขึ้นมาว่า “ข้าไม่ได้ยินสิ่งใดทั้งนั้น” ก่อนจะดึงแขนหลินฟานที่เผยสีหน้าเบื่อหน่ายให้เดินห่างไปอีกทาง ส่วนหลีจิ่นเหยาได้แต่พึมพำกับตนเอง
“บรรพชนสำนักกระบี่ชิงหมิง ข้าเองยังบริสุทธิ์อยู่นะเจ้าคะ!”
“โอ้…”
ไป๋ชิวหรานยังไม่หายจากอาการตกตะลึง ทันทีที่ได้ยินเช่นนั้นจึงเอ่ยถามกลับไปโดยไม่รู้ตัว
“แล้วเรื่องนั้นเกี่ยวข้องกับข้าอย่างไรหรือ?”
“ก๊ากกกก!”
โหยวเหมยเฉียวรู้สึกขบขันจนไม่อาจกลั้นเสียงหัวเราะเอาไว้ได้ ครู่ต่อมาจึงระงับอารมณ์ก่อนหันไปกล่าวกับหลีจิ่นเหยาด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม
“นี่ ศิษย์พี่หลี ข้าเคารพในระดับขั้นการฝึกตนของท่านมากทีเดียว แต่ควรสงวนเรื่องส่วนตัวดังกล่าวไว้เสียบ้างเถิด หากนับตามลำดับก่อนหลัง อาจารย์ของข้าต่อแถวรอคอยเขามาหลายร้อยปีแล้ว ดังนั้นช่วยเห็นแก่ความอาวุโสของนางด้วยเถิด”
หลีจิ่นเหยาหน้ามุ่ย กล่าวพึมพำด้วยน้ำเสียงแผ่วต่ำ
“สามสิบปีอยู่ทางทิศตะวันออกของแม่น้ำ สามสิบปีอยู่ทางทิศตะวันตกของแม่น้ำ*[2]…”
ท่านอาจารย์… เหมยเฉียวช่วยเหลือท่านได้เพียงเท่านี้
ครั้นเห็นว่าอีกฝ่ายมีวี่แววว่าจะยอมแพ้ชั่วคราว โหยวเหมยเฉียวลอบยกยิ้มพลางกล่าวพึมพำกับตนเอง
“อะแฮ่ม! เอาล่ะ กลับไปสะสางภารกิจต่อได้แล้ว”
ไป๋ชิวหรานยืดตัวตรงเพื่อซ่อนเร้นความเขินอาย ชายหนุ่มยื่นมือออกไปตรงหน้าเพื่อสร้างโพรงถ้ำขึ้นตรงหน้าผา ทำให้พวกเขาทั้งหมดได้มีสถานที่สำหรับพักผ่อน
ขณะเดียวกัน ยังบอกกล่าวให้ชิงตานอิ๋ง หลินฟาน และโหยวเหมยเฉียวรับทราบเกี่ยวกับการทดสอบในด่านสุดท้าย ก่อนกำชับให้พวกเขาพักผ่อนหย่อนกายเสียก่อน หลังพลังกายใจฟื้นฟูอย่างเต็มที่แล้ว จึงนำทุกคนเดินทางเข้าสู่ด่านสุดท้ายเพื่อสะสมหินวิญญาณ
ศิษย์ต่างสำนักทั้งสามก้าวเข้าสู่ด่านทดสอบอย่างรวดเร็ว ส่วนหลีจิ่นเหยาก้าวตามเข้าไปหลังจากแสดงท่าทีกระอักกระอ่วนอยู่พักหนึ่ง
ไป๋ชิวหรานเดินมาจนถึงปากถ้ำ ก่อนจะนั่งลงขัดสมาธิพลางเหม่อมองสายหมอกที่ทอดยาวออกไปสุดลูกหูลูกตาด้านนอกของถ้ำ แล้วถอนหายใจออกมา
เมื่อได้รับรู้เรื่องดังกล่าว ชายหนุ่มรู้สึกประหลาดใจไม่น้อย เกรงว่าคนส่วนใหญ่ในโลกแห่งการฝึกตนคงไม่เชื่ออย่างแน่นอนว่า… ซูเซียงเสวี่ย ปีศาจสาวผู้เป็นถึงประมุขแห่งสำนักเหอฮวน อีกทั้งยังเป็นผู้มีอิทธิพลสูงสุดของกลุ่มพันธมิตรผู้ฝึกตนฝ่ายมารอันยิ่งใหญ่ในเก้ามหาทวีปสิบแผ่นดิน…จะยังครองพรหมจรรย์มาจนถึงปัจจุบัน
ทว่าสิ่งที่ใดให้เขาประหลาดใจยิ่งกว่า คือหลังจากรับรู้เรื่องราวนั้นแล้ว ภายในจิตใจพลันเกิดประกายแห่งความสุขบางอย่างที่ไม่อาจระงับไว้ได้
“ไยข้าต้องยินดีกับเรื่องนี้ด้วย?”
เขากล่าวกับตนเอง
“ช่างงี่เง่าสิ้นดี”
…
อีกประมาณสองถึงสามวันถัดมา เมื่อชายหนุ่มและศิษย์ต่างสำนักคนอื่น ๆ กลับมาพักผ่อนในโพรงถ้ำบนหน้าผา ศิษย์สายตรงของไป๋ชิวหราน… ถังรั่วเวยก้าวข้ามออกมาจากหมอกหนาทึบได้ในที่สุด
ข้างกายนางไม่ใช่ใครอื่นนอกจากจั่วเหยียนเฟย ซึ่งเป็นศิษย์ชั้นยอดของกองทัพเทพยุทธ์ และภายในกองทัพเทพยุทธ์เรียกขานนางว่า ‘เมล็ดพันธุ์ชั้นดีในรอบสหัสวรรษ’ ช่วงเวลาเพียงสั้น ๆ หญิงสาวทั้งสองถูกชะตาลิขิตให้ร่วมฝ่าฟันไปด้วยกันอีกครั้ง
ด้วยแผ่นหยกที่ไป๋ชิวหรานเป็นผู้มอบให้ ถังรั่วเวยจึงพาจั่วเหยียนเฟยผ่านด่านทดสอบก่อนหน้ามาจนถึงด่านการทดสอบสุดท้ายได้
เมื่อพวกนางเห็นว่าไป๋ชิวหรานและคนอื่น ๆ ยังคงปักหลักอยู่ที่นี่ หญิงสาวทั้งสองต่างรู้สึกฉงนขึ้นมาในทันที ถังรั่วเวยดึงมือจั่วเหยียนเฟยให้เดินตรงเข้าไปหาชายหนุ่มอย่างระมัดระวัง พลางใช้สายตาสำรวจมองตั้งแต่หัวจรดเท้า
“ดูท่าทางของเจ้าสิ สงสัยว่าข้าเป็นอาจารย์ตัวจริงหรือไม่อย่างนั้นหรือ?”
เมื่อเห็นการแสดงออกของถังรั่วเวย ไป๋ชิวหรานตระหนักรู้ทันทีว่าอีกฝ่ายกำลังครุ่นคิดสิ่งใดอยู่ จึงกล่าวด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา
“เจ้าอยากตั้งคำถามเดิมเพื่อตรวจสอบอาจารย์ของเจ้าหรือไม่?”
“ไม่ต้อง!”
ถังรั่วเวยรีบปฏิเสธทันควัน
“ข้ามีวิธีการตรวจสอบของข้าเอง”
ว่าแล้วนางหยิบแผ่นหยกออกมาจากถุงเก็บสมบัติที่ห้อยไว้ตรงบั้นเอว ก่อนหันไปกล่าวเตือนผู้อื่น
“ไม่ว่าท่านจะเป็นอาจารย์ของข้าจริงหรือไม่ ทุกคนโปรดถอยออกไปให้ห่าง… เพื่อความปลอดภัยในชีวิตของพวกเจ้า”
คนอื่น ๆ ต่างหันมองหน้ากันและกันด้วยความตื่นตระหนก จากนั้นชิงตานอิ๋งรีบลากหลินฟานออกไป ส่วนหลีจิ่นเหยารีบดึงแขนโหยวเหมยเฉียวให้ทะยานหนีไปด้วยยุทธภัณฑ์เวท เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้ถูกลูกหลงจากการต่อสู้ระหว่างทั้งสองฝ่าย
จั่วเหยียนเฟยก้าวถอยหลังไปหลายก้าว เห็นเพียงว่าถังรั่วเวยเปล่งเสียงตะโกนลั่น พร้อมโยนแผ่นหยกในมือออกไปทางไป๋ชิวหราน
ทันทีที่แผ่นหยกกระแทกเข้ามาจนสัมผัสถูกบริเวณหน้าผากของไป๋ชิวหราน ฉับพลันมันกลับแตกออกเป็นเสี่ยง ปราณกระบี่สีขาวบริสุทธิ์อันไร้เทียมทานปะทุออกมากินรัศมีเป็นวงกว้างโดยรอบประมาณสามจั้ง ปราณกระบี่นั้นเปรียบประหนึ่งมังกรขาวที่เจาะทะลุกลุ่มเมฆออกมา รอยแตกสีดำขนาดเล็กเริ่มปรากฏขึ้นกลางอากาศ
เงาสะท้อนของแสงกระบี่จำนวนมหาศาลแผ่ปกคลุมไปทั่วร่างกายของไป๋ชิวหรานซึ่งยืนอยู่ตรงจุดกึ่งกลางพอดิบพอดี
หลังจากนั้น ปราณกระบี่ทั้งหมดพลันเคลื่อนเข้ามาบรรจบกัน ทำให้หลุมลึกก้นเรียบรัศมีกว้างถึงสามจั้งปรากฏขึ้นบนหน้าผา ผนังถ้ำถูกทำลายราบเป็นหน้ากลอง ทว่าชายหนุ่มยังคงยืนหยัดอยู่ในตำแหน่งเดิมโดยไม่ได้รับบาดเจ็บแต่อย่างใด ก่อนจะร่วงดิ่งลงไปตามแรงโน้มถ่วง
หลีจิ่นเหยาใช้พลังเหนือธรรมชาติของนาง ทำให้เรือนผมสีดำสนิทยืดยาวออกไปมัดรอบเอวของไป๋ชิวหราน เพื่อแขวนร่างของเขาไว้กลางอากาศไม่ให้ร่วงตกลงไป เมื่อเห็นสิ่งนี้แล้ว ถังรั่วเวยถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก
“ดูเหมือนว่าท่านจะเป็นอาจารย์ตัวจริงของข้า”
“ใช่ ใช่ การที่เจ้าโยนแผ่นหยกที่อาจารย์ของเจ้ามอบให้กับมือใส่หน้าโดยไม่ลังเล นั่นหมายความว่าไม่สามารถแยกแยะตัวจริงของข้าได้”
ไป๋ชิวหรานถอนหายใจ
“ก่อนหน้านี้ข้าเคยพบเซียนปฐพีที่แสร้งสวมรอยเป็นศิษย์น้องหลีของเจ้ามาก่อน ไม่คาดคิดว่าในที่สุดกลับถูกเจ้าใช้แผ่นหยกที่อุตส่าห์มอบให้กับมือทำลายข้าเสียเอง”
ถังรั่วเวยรีบกล่าวตอบ
“ถึงอย่างไรหากท่านเป็นตัวปลอม นับว่าข้าทำลายศัตรูตัวฉกาจได้เสียตั้งแต่บัดนี้ แต่ในเมื่อเป็นตัวจริงก็ไร้ประโยชน์ที่จะเก็บแผ่นหยกนี้ไว้ ที่สำคัญ… ยังเหลือแผ่นหยกในมืออีกหนึ่งชิ้น”
ไป๋ชิวหรานยังคงถูกแขวนห้อยต่องแต่งอยู่กลางอากาศ ถูกเส้นผมสีดำขลับของหลีจิ่นเหยาแกว่งไกวไปมา ก่อนจะวางร่างเขาลงในหลุมที่ถูกระเบิดออกก่อนหน้านี้
ไป๋ชิวหรานกลับมายืนหยัดอย่างมั่นคงอยู่ตรงปากถ้ำ ก่อนจะโบกมือไปทางถังรั่วเวยและจั่วเหยียนเฟย
“เข้ามาสิศิษย์ข้า เจ้าด้วย ข้าจะบอกเล่าให้ฟังเกี่ยวกับการทดสอบในด่านสุดท้าย”
[1] ทรายโชกง = เป็นสัญลักษณ์ที่ยุคจีนโบราณใช้เพื่อตรวจสอบว่าหญิงสาวยังคงเป็นพรหมจรรย์อยู่หรือไม่
[2] เป็นสำนวนเปรียบเปรยว่า เรื่องราวเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ความรุ่งเรืองหรือตกต่ำเป็นสิ่งไม่แน่นอน