ข้าก็แค่กลั่นลมปราณ 3,000 ปี - บทที่ 103 เจ้าของเดิมของถ้ำ
บทที่ 103 เจ้าของเดิมของถ้ำ
ประตูห้องโถงเปิดออกกว้าง ทำให้แสงจากภายนอกห้องโถงสาดส่องเข้ามา กระทั่งชายในชุดคลุมสีดำยังรู้สึกอึดอัด
เมื่อเขาหายจากความสับสนมึนงง ก็เห็นร่างหนึ่งยืนอยู่หน้าประตูวิหาร เขาจึงอดตื่นเต้นยินดีไม่ได้
ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย ข้ารอเจ้าเข้ามาฟาดฟันสังหารอยู่นานทีเดียว ในที่สุดก็ยอมเข้ามาเผชิญหน้าเสียที!
ชายในชุดคลุมสีดำพยายามระงับอารมณ์อย่างสุดความสามารถ ด้วยเกรงว่าชายที่อยู่ตรงหน้า… จะสังเกตเห็นความแปรปรวนอย่างรุนแรงภายในกระแสจิตของเขา
ไป๋ชิวหรานยืนนิ่งอยู่ตรงประตูอย่างนั้น ดูเหมือนจะกำลังสังเกตเขาอยู่เช่นกัน ชายชุดดำจึงพยายามอย่างสุดความสามารถเพื่อยับยั้งความแปรปรวนของกระแสจิตศักดิ์สิทธิ์ซึ่งแฝงอยู่ภายในจิตวิญญาณ และพยายามอย่างดีที่สุด เพื่อปลอมแปลงเป็นศพคนธรรมดาที่เสียชีวิตให้ได้ก่อนที่ความทะเยอทะยานของตนจะบรรลุผล
หลังจากสำรวจดูอยู่ครู่หนึ่ง ไป๋ชิวหรานก็หันหน้ากลับไปพูดคุยสองสามประโยคกับคนที่อยู่ด้านนอกประตู ก่อนจะใช้หลังมือปิดประตูห้องโถง
ยอดเยี่ยม ดูเหมือนเขาจะยังมองไม่ออก…
ชายชุดดำปลาบปลื้มใจไม่น้อย ได้แต่รอคอยโอกาสต่อไปอย่างเงียบเชียบ
ไป๋ชิวหรานไม่มีท่าทางระแวดระวังแต่อย่างใด เขากวาดสายตามองไปโดยรอบบริเวณห้องโถง ทั้งยังสืบเท้าเดินเข้าไปใกล้กับบัลลังก์มังกรที่ชายชุดดำสถิตอยู่
สิบจั้ง…สามจั้ง…หนึ่งจั้ง…แม้ว่าร่างกายที่เน่าเปื่อยนี้จะไร้ซึ่งปอดไว้หายใจ ทว่าชายชุดดำกลับกำลังกลั้นลมหายใจอย่างประหม่า
ในที่สุดไป๋ชิวหรานก็เดินมาหยุดอยู่ตรงหน้า โดยที่อยู่ห่างไปไม่ถึงจั้ง! จากนั้นชายหนุ่มค่อย ๆ เหยียดฝ่ามือออกหมายสัมผัสเข้าหาร่างกายอีกฝ่าย
จังหวะนี้แหละ!
ชายชุดดำกู่ร้องตะโกนภายในใจ เริ่มเตรียมตัวให้พร้อมเพื่อเรียกใช้เคล็ดวิชาการยึดครองร่างที่ฝึกฝนมานานนับหมื่นปี
ดวงวิญญาณของเขาพลันหลุดลอยออกมาจากร่างที่เน่าเปื่อย กลายเป็นแสงสีฟ้าจาง ๆ ที่ไม่อาจมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า พุ่งตรงไปยังตำแหน่งของจิตวิญญาณ ซึ่งอยู่ระหว่างคิ้วของไป๋ชิวหราน แต่ทันใดนั้นกลับถูกฝ่ามือของอีกฝ่ายยกขึ้นขัดขวาง นอกจากนี้ในฝ่ามือยังมีแท่งสี่เหลี่ยมสีดำสนิท นั่นเป็นสิ่งที่เซียนปฐพีใช้เพื่อกักเก็บวิญญาณของตนเอง มันจึงมีคุณสมบัติดูดกลืนวิญญาณของเซียนปฐพีอย่างรุนแรง!
หากเผลอสัมผัสสิ่งนั้นเข้า ดวงวิญญาณจะถูกพลังของเจ้าแท่งสี่เหลี่ยมนั่นดูดกลืนเข้าไป หากไป๋ชิวหรานใช้แท่งสี่เหลี่ยมดูดกลืนวิญญาณเข้าไปได้สำเร็จแล้วละก็…เขาจะไม่มีวันได้ออกมาเห็นดวงอาทิตย์อีกตลอดชั่วชีวิตนี้!
แต่ใช่ว่าเจ้าจะเป็นฝ่ายได้เปรียบเพียงผู้เดียวเสียหน่อย!
ชายชุดดำเย้ยหยัน ทันใดนั้นระหว่างทางที่เขามั่นหมายจะพุ่งเข้าหา ดวงวิญญาณของเขากลับแบ่งออกเป็นสองส่วน ส่วนเล็ก ๆ อันเป็นเศษเสี้ยวของวิญญาณที่ไร้ประโยชน์ถูกสละทิ้งไป… ก่อนจะกลืนหายไปในแท่งสี่เหลี่ยมสีดำบนฝ่ามือของไป๋ชิวหราน ส่วนดวงวิญญาณที่แท้จริงยังคงวนเวียนอยู่ด้านหลังชายหนุ่ม จากนั้นจึงพุ่งกระแทกเข้าตรงบริเวณท้ายทอยอีกฝ่าย
ในชั่วพริบตานั้น มืออีกข้างหนึ่งของไป๋ชิวหรานยกขึ้นอีกครั้งเพื่อปัดป้องท้ายทอยของตัวเอง โดยที่มือข้างนั้นมีแท่งสี่เหลี่ยมสีดำอีกแท่งหนึ่งอยู่ในมือ!
ชายผู้นี้สังหารวิญญาณของเซียนปฐพีไปกี่ดวงแล้ว?
เห็นได้ชัดว่าผลึกวิญญาณเหล่านี้ถูกพรากมาจากการครอบครองของเซียนปฐพีโดยตรง ทว่าหลังจากไป๋ชิวหรานมาที่นี่ ชายในชุดคลุมสีดำกลับไม่เคยล่วงรู้มาก่อนว่า… อีกฝ่ายมีผลึกวิญญาณที่ดวงวิญญาณของเซียนปฐพีสิงสถิตอยู่ไว้ในครอบครอง
ไม่ว่าเขาจะฆ่าสหายหลายคนของชายชุดดำก่อนที่จะเข้ามาในเขตถ้ำเซียน หรือใช้ประโยชน์จากเวลาที่ชายชุดดำกำลังสับสนกับการกระทำของเขาก็แล้วแต่ ทว่าชายหนุ่มกลับฉวยโอกาสที่ชายชุดดำไม่ทันตั้งตัวโจมตีเข้าใส่
ขณะนี้ในมือของเขามีผลึกวิญญาณสีดำสองแท่ง ซึ่งทำให้ดวงวิญญาณของชายในชุดดำไม่อาจทะลุผ่านไปยังตำแหน่งหลักของจิตวิญญาณไป๋ชิวหรานได้อีกต่อไป
จากวิสัยทัศน์ในฐานะที่เป็นเซียนปฐพี เขามองเห็นได้อย่างชัดเจนว่าทักษะกำปั้นกับฝ่ามือของไป๋ชิวหราน… พัฒนาจนบรรลุเกินกว่าขั้นการฝึกตนไปแล้ว ไม่จำเป็นต้องกล่าวถึงเขา เพราะแม้แต่ยุครุ่งเรืองของราชวงศ์ศักดิ์สิทธิ์ เกรงว่าคงไม่อาจมีสิ่งมีชีวิตใดที่มีความสามารถทัดเทียมกัน
การที่ชายหนุ่มถือผลึกวิญญาณไว้ในฝ่ามือเช่นนี้ ตราบใดที่กางฝ่ามือออก มันจะกลายเป็นกำแพงสูงตระหง่าน… ซึ่งกั้นขวางดวงวิญญาณของชายชุดดำให้ตายตกไปในทันที
ต่อให้มีโอกาสรอดชีวิต แต่ชายชุดดำผู้รักชีวิตยิ่งสิ่งใดก็ไม่กล้าหาญจะเดิมพัน หากอีกฝ่ายไม่คิดไว้ชีวิตเขาแต่แรก คงไม่อาจมีชีวิตอยู่รอดมาจนถึงปัจจุบันนี้
หลังจากวิญญาณของชายชุดดำชะงักงันค้างอยู่กลางอากาศ ฉับพลันแสงสว่างอันเป็นหางลากยาว กลับพุ่งเข้าหาร่างกายเหี่ยวแห้งซึ่งนั่งอยู่บนบัลลังก์มังกรดังเดิม ไป๋ชิวหรานยกมือขึ้นก่อนจะโยนสี่เหลี่ยมสีดำในมือให้พุ่งตามออกไป เพื่อโจมตีวิถีดวงวิญญาณที่แปรเปลี่ยนไปของชายชุดดำ ทว่าอีกฝ่ายไหวตัวทัน จึงรีบแบ่งส่วนดวงวิญญาณออกเป็นสองส่วนอีกครั้ง ทำให้เศษวิญญาณบางส่วนถูกแท่งสี่เหลี่ยมดูดกลืนเข้าไป แต่ยังเหลือเศษวิญญาณอีกส่วนที่สามารถเจาะเข้าไปในร่างของชายชุดดำ จนควบคุมร่างกายที่เน่าเปื่อยนี้ให้เคลื่อนไหวได้อีกครั้ง
ชายชุดดำรวบรวมพละกำลังสุดท้าย จากนั้นยกแขนเหี่ยวลีบขึ้นเพื่อร่ายเวทมนตร์บางอย่าง
ทันใดนั้น ในห้องโถงก็พลันเต็มไปด้วยหมอกหนาทึบ พื้นที่โดยรอบพลิกกลับด้าน และดูดเอาร่างของชายชุดดำกับไป๋ชิวหราน รวมถึงบริเวณกว้างขวางของห้องโถงทั้งหมดให้ข้ามมิติไปยังพื้นที่อื่น
สายหมอกหนาทึบรวมตัวกันเพียงชั่วครู่ก่อนจะสลายไป ระหว่างทางเศษวิญญาณของชายชุดดำได้ละทิ้งร่างเดิม และเหาะทะยานไปยังพื้นที่ใดสักแห่ง ขณะที่ไป๋ชิวหรานกับร่างไร้วิญญาณของชายชุดดำ ปรากฏตัวขึ้นท่ามกลางความเวิ้งว้างอันมืดมิด
ชายหนุ่มสัมผัสถึงความเคว้งคว้างไร้น้ำหนัก เขามองลงไปด้านล่าง ก่อนจะพบว่าใต้ฝ่าเท้ามีเพียงความมืดมิดอันไร้ที่สิ้นสุด อีกทั้งมองไม่เห็นด้วยซ้ำว่าพื้นดินอยู่ตรงไหนแน่ ไม่อาจรู้ด้วยว่าด้านล่างนั้นมีพื้นดินรองรับอยู่จริงหรือไม่
เขาหลับตาลงพร้อมถอนหายใจออก ก่อนจะควบคุมร่างกายให้มั่นคงเพื่อร่วงหล่นลงสู่เบื้องล่าง
ชายหนุ่มไม่อาจล่วงรู้ได้ว่า…ต้องใช้เวลายาวนานเพียงใดกว่าร่างจะร่วงตกลงสู่พื้นดิน แต่หลังจากนั้นไม่นาน ไป๋ชิวหรานก็รู้สึกว่าเท้าสัมผัสพื้นดินเข้าจนได้ ตามด้วยเสียงดังกัมปนาท เพราะแผ่นดินที่เหยียบอยู่เกิดการทรุดตัวครั้งใหญ่
ท่ามกลางความมืดมิดดังกล่าว เขาไม่รู้มาก่อนว่าผลจากการกระแทกร่วงลงกับพื้นครั้งนี้…จะสร้างความเสียหายได้มากมายเพียงใด หรือทำร้ายสิ่งอื่น ๆ ในบริเวณที่มืดมิดแห่งนี้แค่ไหน หลังจากที่ร่วงลงสู่พื้น ร่างของชายในชุดคลุมสีดำผู้นั้นร่วงลงกระแทกพื้นเช่นเดียวกัน เพียงแต่ร่างกายนั้นกลับแหลกสลายออกเป็นชิ้น ๆ
ไป๋ชิวหรานลูบปัดฝุ่นตามร่างกาย ก่อนจะหันไปตรวจสอบสถานการณ์โดยรอบ ขณะที่กำลังจะก้าวขาเดินจากไป ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงหนึ่งดังแว่วเข้ามาในหู
“สหายตัวน้อย สหายตัวน้อย! เจ้าช่วยข้าได้หรือไม่?”
ไป๋ชิวหรานตกตะลึงไปครู่หนึ่งก่อนออกเดินตามเสียงนั้นไปเพื่อค้นหาตำแหน่งว่าดังขึ้นจากที่ใดกันแน่
ทิศทางที่เสียงเมื่อครู่ดังขึ้น มาจากร่างของชายชุดดำซึ่งอยู่ไม่ห่างจากไป๋ชิวหราน ร่างกายของชายชุดดำผู้นี้เหลือเพียงผิวหนังแห้งเหี่ยวหุ้มกระดูกเท่านั้น กล้ามเนื้อรวมถึงอวัยวะภายในเน่าเสียไปจนหมดแล้ว หนำซ้ำแรงกระแทกอันมหาศาลเมื่อครู่ ยังส่งผลให้โครงกระดูกภายในแตกหักอย่างละเอียด เมื่อพินิจดูแล้วสภาพไม่ต่างอะไรไปจากของเล่นด้อยค่า
ไป๋ชิวหรานเอื้อมมือออกไปพลิกร่างนั้นขึ้นมา ก่อนเหยียดขาเตะร่างสิ้นสภาพนั้นออกไป ทำให้เห็นวัตถุประหลาดหนึ่งอันเป็นที่มาของเสียงพูดเมื่อครู่
ที่แท้ก็เป็นกะโหลกศีรษะมนุษย์ มันมีไฟวิญญาณสีเขียวกำลังลุกโชนอยู่ในตำแหน่งลึกของเบ้าตา ชายหนุ่มใช้สัมผัสเทวะเพื่อตรวจสอบ แต่กลับพบว่าธาตุวิญญาณดังกล่าวไม่มีสามจิตเจ็ดวิญญาณ*[1] อีกต่อไป
“อย่าหวาดระแวงไปเลย ข้าไม่คิดจะทำร้ายเจ้า สหายตัวน้อย ถึงแม้ตอนนี้ข้าอยากจะกลับไปยังจุดเดิมเพียงใด แต่ไร้ซึ่งความสามารถนั้นเสียแล้ว”
หัวกะโหลกกล่าวเสริม เผยให้เห็นความขัดแย้งกันเอง ซึ่งแฝงอยู่ในประโยคที่เอื้อนเอ่ย
“เพราะความโง่เขลากับความเชื่อที่ผิดลู่ผิดทาง จึงทำให้สามจิตและเจ็ดวิญญาณกระจัดกระจายออกไปคนละทิศละทางเช่นนี้ แล้วที่ยังคงอยู่ได้ก็เพราะสวรรค์อำนวยพรให้เท่านั้น”
“แล้วเจ้าช่วยข้าได้หรือไม่?”
ไป๋ชิวหรานถามกลับ
“แน่นอน เพราะเจ้าของเดิมของถ้ำแห่งนี้ก็คือข้า!”
น้ำเสียงที่ออกมาจากหัวกะโหลกนั้นเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจ
ขณะนั้นเอง ภายในส่วนลึกของความมืดมิดพลันเกิดเสียงคำรามดังกึกก้อง คลื่นเสียงนั้นก่อตัวเป็นคลื่นขนาดใหญ่ ทำให้ผืนแผ่นดินสั่นสะเทือนโดยทั่ว
ครั้นได้ยินเสียงดังกล่าว น้ำเสียงของหัวกะโหลกพลันแปรเปลี่ยนไปอย่างกะทันหันก่อนจะกล่าวต่อไปอย่างรีบเร่ง
“มาจัดการกับศพของข้า…มาเถิด ทำตามที่บอก แล้วข้าจะถ่ายทอดเคล็ดวิชาลับเคลื่อนไหวร่างกายในเชิงพื้นที่ให้แก่เจ้า!”
“ช้าก่อน!”
เสียงทุ้มต่ำอู้อี้ดังขึ้นจากความมืดมิด แล้วยักษ์ตัวหนึ่งร่วงหล่นลงมาจากเบื้องบน ก่อนจะกระแทกตัวลงสู่พื้น ยืนหยัดอยู่ไม่ห่างจากไป๋ชิวหรานและกะโหลกศีรษะนั่น!!
[1] สามจิตเจ็ดวิญญาณ คือ หลักการของเต๋าอันว่าด้วยจิตและวิญญาณในตัวมนุษย์ อันได้แก่ 3 จิตคือ เทียนหุน : จิตวิญญาณแห่งฟ้า ตี้หุน : จิตวิญญาณแห่งดิน และมิ่งหุน : จิตวิญญาณชีวิต ส่วน 7 วิญญาณ ได้แก่ อารมณ์ต่าง ๆ ดีใจ โกรธ เศร้า กลัว รัก ร้าย โลภ ต้องมีครบทั้งหมดจึงถือว่าสมบูรณ์