ข้าก็แค่กลั่นลมปราณ 3,000 ปี - บทที่ 104 โครงกระดูกและอสูรยักษ์
บทที่ 104 โครงกระดูกและอสูรยักษ์
ยักษ์ตนนั้นโผล่หัวออกมาจากความมืด ทำให้ไป๋ชิวหรานมองเห็นใบหน้าของมันอย่างชัดเจน
ร่างกายใหญ่โตนั้นแข็งแกร่ง มีขนยาวสีน้ำตาลดำปกคลุมอยู่โดยทั่ว ตัวสูงหลายสิบจั้ง มองแล้วดูเหมือนภูเขาแห่งความมืดอย่างไรอย่างนั้น เมื่อก้มมองส่วนแขนเปรียบกับส่วนขา พบว่าแขนทั้งสองข้างปกคลุมไปด้วยเกล็ดสีดำสนิท แม้แต่กรงเล็บอันแหลมคมยังมีขนาดใหญ่กว่าตัวไป๋ชิวหรานมากทีเดียว
ยักษ์ที่ยืนอยู่ในความมืดมิดนั้นมีสามตา มีเขางอกออกมา ส่วนหัวเป็นนก ร่างกายเป็นมนุษย์ แขนเป็นมังกร กรงเล็บเป็นเสือ แต่ร่างกายส่วนล่างกลับมีโครงสร้างเหมือนแมลงที่มีส่วนขาเป็นปล้อง ภายใต้ปล้องเหล่านั้นปกคลุมไปด้วยกล้ามเนื้ออันน่าสะพรึงกลัว ราวกับเนื้อเยื่อจะระเบิดออก บริเวณเอวยังมีงูตัวยาวขดพันอยู่โดยรอบ ส่วนอวัยวะที่กำลังพ่นหมอกพิษร้ายแรงคือส่วนหางของมัน
เมื่อมองเห็นรูปลักษณ์แปลกประหลาดของยักษ์ปักหลั่นที่ใหญ่โตประหนึ่งภูเขาแล้ว ไป๋ชิวหรานพลันโพล่งขึ้นด้วยความประหลาดใจ
“มันคือปีศาจงั้นหรือ?”
“เป็นยิ่งกว่านั้นเสียอีก”
หัวกะโหลกกล่าวต่อไป
“มันคืออสูรยักษ์ตัวสุดท้ายที่ถูกฝังอยู่ที่นี่ตั้งแต่ยุครุ่งเรืองของราชวงศ์ศักดิ์สิทธิ์ แข็งแกร่งเสียยิ่งกว่าเซียน!”
“เป็นกองกำลังแนวหน้าฝ่ายซ้ายของกองทัพเผ่าปีศาจ เมื่อหลายหมื่นปีก่อน พวกเราล่อมันมาสังหารภายในถ้ำเซียนแห่งนี้ แต่ต้องแลกกับการสูญเสียชีวิตครั้งใหญ่ของเหล่าเซียนปฐพีมากกว่าสิบคน”
อสูรยักษ์ก้มหัวลง เผยให้เห็นเปลวไฟสีน้ำเงินจาง ๆ ที่กำลังลุกไหม้อยู่ตรงรูม่านตาที่สามกลางหน้าผาก เห็นได้ชัดว่าดวงจิตทั้งสามของชายชุดดำพยายามหลอกล่อเพื่อควบคุมมันอยู่
“ไม่ว่าชนรุ่นก่อนหรือชนรุ่นหลัง เทียบกับมันแล้ว ผู้ใดก็ไม่มีวันเอาชนะได้!”
มันอ้าปากออกกว้างพร้อมระเบิดเสียงคำรามดังลั่น แรงดันอากาศพลันพุ่งออกจากปาก จนทำให้พื้นดินพังทลายไปเป็นแถบ หินกรวดและฝุ่นควันมากมายโดนกระแสลมนั่นพัดปลิวออกไป
คราวนี้ แม้แต่ไป๋ชิวหรานยังถูกกระแสลมรุนแรงพัดให้ลอยเคว้งออกไป เขาไร้หนทางอื่นนอกจากพยายามยืนหยัดให้มั่นคง ทว่าพื้นดินใต้ฝ่าเท้ากลับไม่ยอมรามือ ชายหนุ่มผมขาวได้แต่หมุนเคว้งไปมาท่ามกลางกระแสลมโหมกระหน่ำ ส่วนหัวกะโหลกอยู่ในลมกระโชกแรงพร้อมกับส่งเสียงกรีดร้องลั่น
“ข้าเข้าใจเจ้าแล้ว”
ไป๋ชิวหรานเอื้อมมือไปคว้าเบ้าตาของหัวกะโหลกนั่นไว้ โดยไม่แยแสต่อเสียงร้องตะโกนของอีกฝ่ายอย่างเช่น ‘ข้าแสบ!’ หรือ ‘ข้ามองไม่เห็น!’ ก่อนจะร่อนลงอย่างปลอดภัยตรงพื้นที่ซึ่งอยู่ห่างออกไปหลายลี้
เขายกหัวกะโหลกขึ้นเพื่อพินิจดู ขณะนั้นหัวกะโหลกได้ให้คำแนะนำอย่างรวดเร็ว
“ก่อนที่จะกลายเป็นหนึ่งในห้าปีศาจของโลกสวรรค์และโลกมนุษย์ มันเคยจัดการกับศพมานับไม่ถ้วน อสูรยักษ์ไม่มีดวงวิญญาณ ดังนั้นจึงสามารถออกแรงอย่างน้อยแปดในสิบส่วนของความแข็งแกร่งในร่างกายได้ ตอนนี้หนีไปซะ!”
“มันเป็นเพียงอสูรธรรมดาที่เหาะเหินเดินอากาศไม่ได้ จะให้ข้าหนีอย่างไร้ศักดิ์ศรีอย่างนั้นหรือ?”
อสูรยักษ์ที่ถูกชายชุดดำควบคุมระเบิดเสียงหัวเราะดังลั่น มันกระโดดข้ามโดยที่ก้าวหนึ่งกินระยะทางหลายลี้ พลางชกหมัดลงกับพื้นดิน
ภายในชั่วพริบตา ประหนึ่งโลกสั่นสะเทือนเพราะถูกอุกกาบาตขนาดใหญ่พุ่งชน พื้นดินระยะทางหลายสิบลี้ทรุดพังทลายลงในทันที ปริแยกออกเป็นหลายส่วนซึ่งมีขนาดไม่เท่ากัน
ด้วยพละกำลังที่อาศัยความแข็งแกร่งทางร่างกายเพียงอย่างเดียว มันออกแรงทำลายล้างสูงเทียบเท่ากับเซียนที่ฝึกฝนศิลปะการต่อสู้มาอย่างโชกโชน นี่คือความน่าสะพรึงกลัวของปีศาจ
“เมื่อครั้งเกิดสงครามระหว่างเผ่ามนุษย์กับเผ่ามารอสูร เจ้าไม่รู้หรือว่าเผ่าพันธุ์มนุษย์ขับไล่เหล่าปีศาจออกไปได้อย่างไร?”
ไป๋ชิวหรานยังคงถือหัวกะโหลกไว้ในมือข้างหนึ่ง พยายามหลบหลีกคลื่นกระแทกจากแรงชกหมัดลงพื้นดิน พลางเอ่ยถามไปพร้อมกัน
“ข้าจะรู้ได้อย่างไรกัน ข้าตายไปหลายหมื่นปีก่อนหน้านี้แล้ว”
หัวกะโหลกบ่นกระปอดกระแปด
“อาจเป็นเพราะมีคนประหลาดเช่นเจ้าคอยตั้งรับกระมัง”
“ตอนที่ข้าเก็บอาหารจากสนามรบมากินประทังชีพ สงครามระหว่างเผ่ามนุษย์และเผ่ามารอสูรยังไม่จบลงด้วยซ้ำ”
ไป๋ชิวหรานกล่าวต่อไป
“ตอนที่ข้าเติบใหญ่ขึ้น เหล่าผู้อาวุโสมากความสามารถล้วนสิ้นอายุขัยไปหมดแล้ว จะยังมีคนประหลาดเช่นข้าหลงเหลืออยู่ได้อย่างไร?”
ทั้งสองยังคงโต้เถียงกันไปมาเกี่ยวกับคำถามนี้ ทันใดนั้นลมกระโชกแรงซัดเข้ามากระทบศีรษะของพวกเขา หัวขนาดใหญ่ของอสูรยักษ์โผล่เข้ามา ไฟวิญญาณสีน้ำเงินในดวงตาที่สามพลันกระเพื่อมไหว มันระเบิดเสียงหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง
“ยอมแพ้เสียดี ๆ เถอะ ไอ้หนู แกไม่มีทางเอาชนะได้ ข้าไม่อยากทำลายร่างกายอันสมบูรณ์แบบนี้ ตราบใดที่ยอมจำนน ข้าจะ…”
ตูม!
ไป๋ชิวหรานเงื้อมือขึ้นสูงเพื่อตบฝ่ามือลงไป พลังปราณแก่นแท้ที่อัดแน่น ซึ่งน่าหวาดกลัวยิ่งกว่าหมัดของอสูรยักษ์ พลังนั้นพุ่งออกมาจากร่างของเขา ก่อรวมขึ้นเป็นรอยฝ่ามือสีทองอร่ามขนาดใหญ่ไร้เทียมทาน กระแทกใส่ร่างอสูรยักษ์จนเกิดเสียงดังกัมปนาท!
พลังมหาศาลดังกล่าวเสมือนเป็นแม่พิมพ์รูปฝ่ามือ… ที่พร้อมจะบีบขยี้ร่างกายอันแข็งแกร่งของอสูรยักษ์ให้เว้าแหว่ง จากนั้นก้อนเนื้อและเลือดของร่างส่วนบนก็ระเบิดออกราวหยาดฝนที่ตกลงมาจากท้องฟ้า เหลืออยู่เพียงร่างกายส่วนล่างที่ยังยืนหยัดอยู่ในท่าเดิม
“เอาล่ะ”
ไป๋ชิวหรานละฝ่ามือออกจากร่างนั้น ก่อนหันหน้าไปทางกะโหลกศีรษะพร้อมเอ่ยถามว่า
“ข้าจะแยกสามจิตของมันออกมาจากร่างอสูรยักษ์ได้อย่างไร?”
“อืม…คงต้องหาส่วนหัวของมันให้พบเสียก่อน”
กะโหลกศีรษะเอ่ยตอบด้วยความลังเล
“แต่ข้าคิดว่ามันถูกเจ้าสังหารเช่นนี้ บางทีอาจจะดับสลายตายตกไปแล้ว”
“ช่างน่าเสียดายนัก ข้ายังไม่ทันได้…”
ยังไม่ทันที่ชายหนุ่มจะกล่าวจนจบประโยค จู่ ๆ แสงสีน้ำเงินพลันพวยพุ่งออกมาจากความมืดมิด กระแทกเข้าที่บริเวณหลังของเขาก่อนจะจมหายเข้าไปภายในร่างกาย
“โอ๊ะ ไม่นะ!”
หัวกะโหลกแสร้งอุทาน
“สามจิตของมันยังไม่ดับสลายไป มันหลบหนีออกมาได้!”
ไป๋ชิวหรานที่ถูกโจมตีโดยไม่ทันตั้งตัวร่างกายแข็งค้างไปชั่วขณะ ทว่าไม่นานชายหนุ่มก็หยิบเข็มสีดำขลับออกมาจากอก พร้อมจ้องมองเข้าไปในเข็มสีดำ ด้านในปรากฏมวลของไฟวิญญาณที่มีรูปร่างไม่แน่นอน มันกำลังพลุ่งพล่านและเปล่งเสียงกรีดร้อง
“เจ้าทำอะไรกับข้า?!”
“หืม เจ้าจงใจพุ่งชนเข้าใส่มันเองนี่ ยังมีหน้ามากล่าวโทษข้าอีกหรือ?”
ไป๋ชิวหรานกล่าวต่อไป
“เข็มสีดำเล่มนี้เป็นวัตถุที่ข้าขัดเกลาขึ้นมาใหม่ เพื่อใช้ป้องกันตัวโดยเฉพาะ แต่ตอนนี้กลับเหลืออยู่เพียงเล่มเดียวเท่านั้น ช่างน่าเสียดายนัก… ที่ยังไม่ได้ใช้มันเลย หากมอบให้ศิษย์บางคนไว้ใช้ป้องกันตัวคงเป็นการดีเสียกว่า… ยังไม่ทันที่ข้าจะกล่าวจนจบ เจ้ากลับพุ่งเข้าหามันเสียอย่างนั้น ให้ความร่วมมือดีเสียจริงเชียว”
ไป๋ชิวหรานเพิกเฉยต่อเสียงกรีดร้องโหยหวน และคำสบถสาปแช่งของดวงวิญญาณเซียนปฐพีที่ติดอยู่ภายในนั้น ก่อนจะหยิบเข็มสีดำเก็บเข้าไปในแขนเสื้อ สายตามองไปยังกะโหลกศีรษะซึ่งอยู่อีกทางหนึ่ง พร้อมเอ่ยถาม
“เอาล่ะ ทีนี้พวกเราก็พูดคุยกันต่ออย่างราบรื่นแล้ว ข้าจะออกไปจากที่แห่งนี้ได้อย่างไร?”
“ก่อนที่จะให้คำตอบ ข้าถามคำถามกับเจ้าเพื่อสนองความสงสัยใคร่รู้หน่อยได้หรือไม่?”
หัวกะโหลกถามกลับ
ไป๋ชิวหรานพยักหน้าเป็นเชิงอนุญาตให้อีกฝ่ายตั้งคำถาม
“เซียนปฐพีที่ติดตามความเป็นไปของเจ้า คิดว่าเป็นมนุษย์ที่อยู่นอกเหนือจากโลกแห่งการฝึกตน แต่ด้วยภูมิปัญญาอันยิ่งใหญ่ที่สวรรค์เป็นผู้มอบให้ ทำให้ข้าตระหนักว่าสิ่งที่เจ้ากำลังฝึกฝนอยู่จะต้องเป็นหนทางการฝึกตนที่จริงจัง และอยู่ในระดับขั้นกลั่นลมปราณ”
หัวกะโหลกหยุดชะงักไปชั่วครู่เพื่อเรียบเรียงคำพูด ก่อนจะเอ่ยถาม
“หากเป็นเช่นนั้น ช่วยบอกหน่อยได้หรือไม่ ว่าตอนนี้เจ้าฝึกตนอยู่ในขั้นกลั่นลมปราณระดับใดแล้ว?”
ไป๋ชิวหรานครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จึงเอ่ยตอบว่า
“ตอนนี้ข้าบรรลุระดับที่หกหมื่นหกพันหกร้อยหกสิบห้า จวนจะบรรลุสู่ขั้นถัดไปอยู่รอมร่อ เพียงแต่ข้าพยายามยับยั้งไว้”
“ข้ามองเห็นแล้ว”
น้ำเสียงของหัวกะโหลกคล้ายกำลังยิ้มอย่างขมขื่น
“ไม่น่าแปลกใจเลยที่เจ้ามีความแข็งแกร่งถึงเพียงนี้”
จากนั้นเขาพูดพล่ามสาธยายต่อไป
“ระดับขั้นการฝึกตนตั้งแต่การขั้นหลอมสร้างร่างกาย ไปจนถึงขั้นสูงสุดมีทั้งหมดเก้าขั้นหลัก แบ่งออกเป็นสี่สิบเอ็ดขั้นย่อย ในช่วงระยะของขั้นกลั่นลมปราณมีเพียงสิบขั้นก่อนบรรลุสู่ขั้นสร้างรากฐาน ซึ่งเม็ดยาอายุวัฒนะทำให้บรรลุผ่านเพียงสิบขั้นย่อยเท่านั้น เมื่อพิจารณาถึงความแตกต่างระหว่างคุณภาพของพลังปราณแก่นแท้และพลังวิญญาณที่แท้จริงแล้ว มีหลายคนที่ล้มเลิกความพยายามไปเสีย อีกทั้งการเข้าสู่ขั้นเซียนเทียบแล้ว ยังนับว่าน้อยกว่าสองร้อยขั้นของขั้นกลั่นลมปราณเสียอีก ไม่ถึงเศษเสี้ยวของเจ้าด้วยซ้ำ… ตอนนี้เจ้าแข็งแกร่งมากเพียงใดกัน?”
“ข้าจะรู้เรื่องเหล่านั้นได้อย่างไร?”
ไป๋ชิวหรานเอ่ยถามกลับโดยใช้เชิงวาทศิลป์
“จริงด้วย แม้แต่ภูมิปัญญาอันยิ่งใหญ่ที่สวรรค์มอบให้แก่ข้า ยังไม่สามารถวัดพลังความแข็งแกร่งของเจ้าได้ แล้วเจ้าจะล่วงรู้ได้อย่างไร… ข้าช่างโง่เขลาเสียจริง”
หัวกะโหลกแค่นเสียง
“ถามมาได้ ข้าย่อมล่วงรู้ทุกสิ่งอย่างแน่นอน หรือหากอยากออกไปจากที่นี่เดี๋ยวนี้ ข้าจะบอกวิธีออกไปได้จากที่นี่ได้เช่นเดียวกัน”
“ข้าไม่รีบร้อนหรอก มิฉะนั้นคงตื่นตระหนกไปนานแล้ว เพียงแต่มีคำถามหนึ่งที่อยากถามไถ่จากเจ้า”
ไป๋ชิวหรานนิ่งคิดไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยถาม
“ตัวตนที่แท้จริงของเจ้าคือผู้ใดกันแน่?”
“ข้าหรือ?”
หัวกะโหลกเอ่ยตอบเสียงแผ่วหวิว
“ข้าเป็นเซียนผู้หนึ่งที่ได้รับพรจากสวรรค์ เป็นภูมิปัญญาความรู้อันยิ่งใหญ่ ในยุคสมัยก่อนหน้านี้เคยช่วยเหลือราชวงศ์ศักดิ์สิทธิ์ เป็นที่รู้จักขนานนามกันว่าจื้อเซียน และข้าเป็นเจ้าของที่แท้จริงของถ้ำเซียนแห่งนี้”