ข้าก็แค่กลั่นลมปราณ 3,000 ปี - บทที่ 105 ร่างสวรรค์ริษยา
บทที่ 105 ร่างสวรรค์ริษยา
“เจ้าคือจื้อเซียนอย่างนั้นหรือ?”
ไป๋ชิวหรานกล่าวด้วยความประหลาดใจ
“ข้าคิดว่าบุคคลนามว่าจื้อเซียนที่ว่าเป็นผู้นำของเซียนปฐพีเสียอีก”
“มันเคยเป็นเช่นนั้น แต่แล้วผู้ใต้บังคับบัญชาของข้าคนหนึ่งกลับนำพาพวกเขาตั้งตนเป็นกบฏ”
จื้อเซียนกล่าว
“ข้าไม่รู้ว่าควรกล่าวว่าเขาโง่เขลาเกินไปที่คิดต่อสู้เพื่ออำนาจกับผลประโยชน์ ก่อนจะเกิดวิกฤตการณ์ปราบปรามและการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ในระดับแว่นแคว้น หรือควรกล่าวว่า ข้านี่แหละที่โง่เขลาเกินกว่าจะตระหนักว่าเจ้านั่นโง่ยิ่งกว่า”
“ง่ายดายยิ่ง เจ้าทั้งสองล้วนโง่เขลา”
ไป๋ชิวหรานตั้งคำถามต่อไป
“เจ้าบอกข้าได้หรือไม่ว่าก่อนหน้าเหตุการณ์สงครามระหว่างเผ่ามนุษย์และเผ่ามารอสูรมีสิ่งใดเกิดขึ้นบ้าง? ปัจจุบันหน้าประวัติศาสตร์ที่ถูกบันทึกไว้ถูกทำลายเสียส่วนใหญ่ อีกทั้งจารึกในแผ่นศิลาเพียงหน้าเดียวก็ยังไม่ชัดเจน”
“ข้าให้คำตอบได้ มันไม่ใช่ความลับแต่อย่างใด”
จื้อเซียนกล่าวตอบ
“ข้าเชื่อว่ามาถึงขั้นนี้แล้ว เจ้าคงเดาออกได้ไม่มากก็น้อย ถูกแล้วล่ะ ก่อนเกิดสงครามระหว่างเผ่ามนุษย์และเผ่ามารอสูร เผ่าพันธุ์มนุษย์เคยก่อตั้งราชวงศ์เซียนที่รวบรวมพื้นที่เก้ามหาทวีปสิบแผ่นดินเข้าด้วยกัน เรียกขานกันว่าราชวงศ์ศักดิ์สิทธิ์ แต่ต้นกำเนิดของราชวงศ์นี้ เริ่มต้นมาจากราชวงศ์สุดท้าย”
จื้อเซียนค่อย ๆ อธิบายเรื่องราวอย่างละเอียด
ก่อนจะกล่าวถึงราชวงศ์ศักดิ์สิทธิ์ ต้องเริ่มเท้าความจากราชวงศ์เซียนที่ก่อตั้งขึ้นก่อนหน้านั้น อีกทั้งยุคก่อนหน้าราชวงศ์เซียนยังมีราชวงศ์ชิงซึ่งเป็นที่เคารพศรัทธาของมวลชนเป็นอย่างยิ่ง ถูกขนานนามว่าราชวงศ์ชิงตะวันออก ราชวงศ์นี้เคยขยายอาณาเขตอำนาจของเผ่าพันธุ์มนุษย์ไปสู่ดินแดนทุรกันดารอันว่างเปล่า ในยุคสมัยราชวงศ์ชิงตะวันออก พื้นที่ทางตะวันตกของแม่น้ำสลายวิญญาณถูกเรียกว่าดินแดนรกร้าง
ราชวงศ์ชิงตะวันออกก่อตั้งขึ้นและรวมพื้นที่กว้างขวางให้เป็นหนึ่งเดียวโดยองค์จักรพรรดิเชิงอู่ชิงรุ่นแรก คงอยู่มาหลายชั่วอายุคนจนกระทั่งสืบทอดไปยังจักรพรรดิเชิงอู่ชิงรุ่นสุดท้าย แม้ว่าการปกครองในระบอบเผด็จการของจักรพรรดิเชิงอู่ชิงจะทำให้ผู้คนตกทุกข์ได้ยากและไม่ให้การยอมรับ รวมถึงเหล่าเซียนปฐพีไปตลอดจนสำนักต่าง ๆ จากโลกแห่งการฝึกตนก็ร่วมกันยกธงต่อต้าน แต่ในเวลานั้น พลังอำนาจของราชวงศ์ชิงตะวันออกยังคงมากล้น
เรื่องราวดำเนินต่อไป เช่นเดียวกับที่คนรุ่นก่อนจารึกไว้บนแผ่นหิน จักรพรรดิเชิงอู่ชิงได้ส่งกองทัพลงไปไล่ล่า จนกวาดล้างบรรดากบฏเหล่านั้นจนหมดสิ้น
“จางเลี่ยแห่งภูเขาสุ่ยอินเป็นกองกำลังที่มีอำนาจมากที่สุดของฝ่ายต่อต้านในขณะนั้น แต่ถึงกระนั้นกลับถูกสังหารด้วยการตัดศีรษะหลังจากเรืองอำนาจได้เพียงหนึ่งปี”
เจ้าหัวกะโหลกหยุดเล่าไปชั่วครู่ ก่อนจะเอ่ยต่อไป
“เหตุผลที่แผ่นหินจารึกปรากฏขึ้นนั้น เพื่อปลุกเมืองโบราณของราชวงศ์ศักดิ์สิทธิ์ให้คืนชีพ นั่นเพราะองค์ชายรัชทายาทแห่งราชวงศ์ศักดิ์สิทธิ์เป็นทายาทของจางเลี่ย”
อีกฝ่ายบรรยายถึงเหตุการณ์การก่อตั้งราชวงศ์ศักดิ์สิทธิ์ต่อไป
เพราะความแข็งแกร่งอย่างมหาศาลของจักรพรรดิเชิงอู่ชิง ทำให้ไม่ว่าเขาจะกดขี่ข่มเหงไพร่ฟ้าประชาราษฎร์อย่างโหดเหี้ยมเพียงใดก็ตาม แต่ราชวงศ์ชิงตะวันออกก็ยังคงเรืองอำนาจต่อไปนานพอสมควร ทว่าเพียงแค่สามปีหลังจากที่จางเลี่ยถูกประหาร ณ ภูเขาสุ่ยอิน ผู้อาวุโสระดับสูงทั้งหมดของราชวงศ์ชิงตะวันออกที่กุมอำนาจเหนือกองทัพทั้งสี่ กองทัพจักรวรรดิที่ปกป้องเมืองหลวง กองทัพเหาะเหินเดินอากาศที่ปกป้องรอยแยกในโลกของเผ่ามาร รวมถึงกองทัพปราบปรามอสูรร้ายที่ปกป้องแม่น้ำสลายวิญญาณ กองทัพเซียนฝีมือชั้นเลิศเหล่านั้นกลับหายตัวไปภายในชั่วข้ามคืน
หลังจากนั้น ราวกับทุกสิ่งที่เกิดขึ้นได้เหมือนนัดหมายไว้พร้อมสรรพ เหล่ามารกับอสูรยักษ์ในดินแดนรกร้างต่างกรูกันวิ่งออกมาจากสองฟากฝั่งแม่น้ำสลายวิญญาณ พวกมันข้ามแม่น้ำมาโดยไม่มีกองทัพคอยปกป้องอีกต่อไป จากนั้นจึงบุกยึดครองเมืองหลวง ทำให้ราชวงศ์ชิงตะวันออกเรืองอำนาจที่กินระยะเวลายาวนับหมื่นปีล่มสลายลง
“ต่อจากนั้น ถึงคราวโลกาวินาศ ช่วงเวลานั้นเผ่าพันธุ์มนุษย์ถูกไล่ล่าและถูกมารกับอสูรยักษ์จับกิน ทำให้จำนวนของเผ่าพันธุ์มนุษย์ทั้งหมดลดลงเกือบเจ็ดในสิบส่วน”
หัวกะโหลกกล่าวต่อไปด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา
“จนกระทั่งลูกหลานของจางเลี่ยนามว่าจางชิง ผู้ฝึกฝนเคล็ดวิชาจนบรรลุเป็นเซียนปฐพี ได้นำเผ่าพันธุ์มนุษย์ซึ่งอยู่ภายใต้อำนาจออกค้นหาสถานที่เก้ามหาทวีปสิบแผ่นดิน ก่อนจะก่อตั้งราชวงศ์ศักดิ์สิทธิ์ขึ้นมา ค่อย ๆ รวมเผ่าพันธุ์มนุษย์เข้าด้วยกัน แยกมารกับอสูรยักษ์ให้อยู่แต่ในเขตดินแดนตะวันตก ในที่สุดเผ่าพันธุ์มนุษย์ก็สามารถลงหลักปักฐานอย่างมั่นคงสืบมา นี่คือที่มาของการสถาปนาราชวงศ์ศักดิ์สิทธิ์”
“ที่แท้ผู้ที่ถูกเรียกว่าเซียนปฐพีก็เป็นเซียนที่บรรลุการฝึกตนตั้งแต่สมัยดึกดำบรรพ์ แต่ยังอาศัยอยู่ในโลกมนุษย์…ยังไม่ขึ้นไปสู่โลกเซียนแต่อย่างใด”
ไป๋ชิวหรานตั้งคำถาม
“หากเป็นเช่นนั้นแล้วชีวิตของคนผู้นั้นไม่ควรมีขีดจำกัด แล้วเกิดอะไรขึ้นกับจางชิงผู้ก่อตั้งราชวงศ์ศักดิ์สิทธิ์เล่า?”
“เขาตายแล้ว จักรพรรดิจางชิงมีจุดจบไม่ต่างไปจากจางเลี่ยผู้เป็นบรรพบุรุษ เขาเป็นผู้ยึดมั่นในอุดมคติจนสามารถเสียสละชีวิตเพื่อเผ่าพันธุ์มนุษย์ได้”
น้ำเสียงของหัวกะโหลกค่อนข้างเศร้าสร้อย
“หลังจากที่เผ่าพันธุ์มนุษย์ลงหลักปักฐานอย่างมั่นคงในเก้ามหาทวีปสิบแผ่นดิน เผ่ามารอสูรที่มีถิ่นอาศัยอยู่ในบริเวณใกล้เคียงยังเหิมเกริมเข้าโจมตีเป็นครั้งคราว ในยุคสมัยก่อนหน้าราชวงศ์ชิงตะวันออกทรงอำนาจอย่างยิ่ง…ทำให้พวกมันทำได้เพียงคำนับต่อผู้บังคับบัญชาโดยไร้ทางเลือกอื่น ต่อมาจักรพรรดิแห่งราชวงศ์ศักดิ์สิทธิ์ในอดีตทรงงานอย่างหนักเพื่อจัดการการปกครอง มารอสูรหลายตนตายตกไปในสนามรบ ในที่สุดเผ่าพันธุ์มนุษย์จึงได้สถาปนาอำนาจขึ้นในเก้ามหาทวีปสิบแผ่นดิน มารกับอสูรยักษ์ถอยทัพกลับสู่ดินแดนรกร้าง เหล่ามารอสูรลงนามในสนธิสัญญา หลังจากนั้นพวกมันก็กลับไปยังโลกของตัวเอง เมื่อช่วงเวลาแห่งความสงบสุขมาเยือน จักรพรรดิบางองค์เลือกที่จะเสด็จขึ้นสู่โลกเซียนเพื่อบรรลุระดับขั้นที่สูงยิ่งขึ้น ขณะที่คนอื่น ๆ สิ้นพระชนม์เพราะการต่อสู้แย่งชิงอำนาจภายในราชวงศ์เช่นเดียวกับราชวงศ์ชิงตะวันออก ท้ายที่สุดราชวงศ์ศักดิ์สิทธิ์ค่อย ๆ เสื่อมโทรมลงหลังขาดอำนาจยับยั้งความขัดแย้งดังกล่าว จากนั้นเจริญรอยตามราชวงศ์ชิงตะวันออกไป”
“ล่มสลายลงทันทีเลยหรือ?”
ไป๋ชิวหรานเอ่ยถาม
“ยังหรอก ต่อมาเมื่อจักรพรรดิองค์สุดท้ายของราชวงศ์ศักดิ์สิทธิ์ขึ้นครองบัลลังก์ มารกับอสูรยักษ์ที่สงบเงียบอยู่ในดินแดนรกร้างมานานหลายปี…ก็ปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง หลังจากผ่านไปหลายหมื่นปี ดูเหมือนว่าจะแข็งแกร่งและสมบูรณ์แบบมากขึ้น ในเวลานี้กลับแตกต่างออกไป ราชวงศ์ศักดิ์สิทธิ์ไม่อาจต้านทานพวกมันได้ แม้ว่าองค์จักรพรรดิจะพยายามต่อสู้อย่างสิ้นหวัง ทว่าก็ไร้อำนาจพอที่จะฟื้นฟูราชวงศ์ขึ้นใหม่”
หัวกะโหลกเล่าต่อไป
“จากนั้น เพื่อที่จะได้ออกไปจากหัวเมืองที่ค่อย ๆ ฟื้นตัวขึ้นสำหรับเผ่าพันธุ์มนุษย์ ข้าได้รับคำสั่งให้นำผู้คนมาสร้างถ้ำเซียนแห่งนี้ขึ้น เพื่อปกปักรักษาเมืองโบราณจำนวนนับไม่ถ้วน เดิมทีเมืองโบราณเหล่านี้ถูกใช้เพื่ออพยพผู้คน และอนุญาตให้คนของราชวงศ์ศักดิ์สิทธิ์สามารถหลบอยู่ใต้พื้นดินเพื่อหลีกเลี่ยงภัยพิบัติเท่านั้น แต่คราวนี้เมื่อองค์จักรพรรดิสิ้นพระชนม์ในสนามรบ องค์ชายรัชทายาทจึงนำกลุ่มเซียนปฐพีเข้ายึดอำนาจ พวกเขาสังหารและทำลายจิตวิญญาณของข้าจนแหลกสลายเป็นชิ้น ๆ …ถึงได้มีรูปลักษณ์เป็นเช่นนี้ ทั้งยังบีบบังคับให้เปิดเมืองโบราณ ผนึกวิญญาณของพวกเขาให้หลับใหลอยู่ในนั้น รอคอยที่จะเรืองอำนาจขึ้นใหม่ โดยการยึดครองร่างของเผ่าพันธุ์มนุษย์เพื่อฟื้นคืนชีพ”
“เรื่องราวในประวัติศาสตร์มีทั้งขาขึ้นและขาลงอย่างแท้จริง”
ไป๋ชิวหรานถอนหายใจ
“หยุดเท้าความถึงความเป็นมาในประวัติศาสตร์กันก่อนเถิด จื้อเซียน เจ้ากล่าวอ้างว่าได้รับภูมิปัญญาอันยิ่งใหญ่จากสวรรค์ หมายความว่าล่วงรู้ทุกสิ่งอย่างใช่หรือไม่?”
“ก็ไม่เสียทีเดียว สิ่งที่รู้มีข้อจำกัดเฉพาะคือสิ่งที่เคยพานพบมาก่อน ภูมิปัญญาที่สวรรค์มอบให้คือสามารถเรียนรู้ข้อมูลทั้งหมดเกี่ยวกับมันผ่านวิถีสวรรค์แสดงให้ได้เห็น หากไม่เห็นก็ไม่สามารถล่วงรู้ได้ ตัวอย่างเช่น ข้าไม่รู้ว่าเหตุใดคนของราชวงศ์ชิงตะวันออกถึงหายตัวไปภายในชั่วข้ามคืน”
หัวกะโหลกอธิบาย
“เพื่อสนองความกระหายที่ไม่รู้จักพอ ข้าจึงยอมเสียสละความปรารถนาอื่น ๆ ไปมากมายเพื่อแลกกับพลังความสามารถนี้ และความเป็นอมตะที่ได้รับเป็นพรจากสวรรค์”
“หึ นั่นหมายความว่าเจ้าก็ไม่รู้เช่นกัน ว่าข้าสามารถบรรลุสู่ขั้นสร้างรากฐานได้อย่างไร?”
ไป๋ชิวหรานผิดหวังไม่น้อย ถึงกระนั้นยังคงเอ่ยถามด้วยความหวังอันริบหรี่
“ในกรณีของข้าแล้ว เจ้าช่วยค้นหาเบาะแสบางอย่างผ่านวิถีสวรรค์ให้ได้หรือไม่?”
“แน่นอน ไม่จำเป็นต้องมองเห็นผ่านวิถีสวรรค์ด้วยซ้ำ ข้าเคยเห็นสถานการณ์ที่คล้ายคลึงกับเจ้ามาก่อน”
ไฟวิญญาณในเบ้าตาของจื้อเซียนลอยล่องไปทางชายหนุ่ม
“มันคือสวรรค์ริษยามิใช่หรือ? แม้จะพบเห็นได้ยากอยู่สักหน่อย ทว่าข้าก็ล่วงรู้เกี่ยวกับมันอยู่บ้าง”
“สวรรค์ริษยางั้นหรือ?”
ไป๋ชิวหรานกะพริบตาปริบ ๆ ลอบเอ่ยวาจา ‘คุ้มค่าแล้ว’ อยู่ในใจ ก่อนเอ่ยถามอย่างรีบเร่ง
“มันคือสิ่งใดกัน?”