ข้าก็แค่กลั่นลมปราณ 3,000 ปี - บทที่ 106 ความหวังอันริบหรี่
บทที่ 106 ความหวังอันริบหรี่
หัวกะโหลกจื้อเซียนไม่ได้ตอบคำถามไป๋ชิวหรานในทันที
“เจ้าสัมผัสทะเลปราณได้ว่าไม่มีสิ้นสุด แต่ฝึกฝนอย่างไรก็ไม่สามารถเปิดพลังที่แท้จริงได้ใช่หรือไม่?”
“ถูกต้อง”
ชายหนุ่มชะงักไปชั่วครู่
“เช่นนั้นเจ้าคือร่างสวรรค์ริษยา”
จื้อเซียนกล่าวอย่างหนักแน่น
“คืออะไร? มันแข็งแกร่งหรือ?”
เมื่อมันเกี่ยวข้องกับการสร้างรากฐาน น้ำเสียงไป๋ชิวหรานจึงเปลี่ยนเป็นระมัดระวัง
“จะพูดอย่างไรดี…มันค่อนข้างละเอียดอ่อน”
จื้อเซียนครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ก่อนจะตอบ
“ร่างสวรรค์ริษยา เป็นร่างที่น่าสะพรึงกลัวที่สุดที่เคยรู้จักมา ไม่เพียงแค่คนที่เกิดมาในร่างกายนี้จะมีพรสวรรค์ที่ต่ำที่สุด แต่ยังเทียบได้กับรากฐานวิญญาณ สิ่งที่สำคัญยิ่งกว่านั้น ร่างสวรรค์ริษยาจะเติบโตขึ้นไปตามกาลเวลาและระดับของการบ่มเพาะพลัง ท้ายที่สุด แม้ร่างกายที่แข็งแกร่งที่สุดในโลกแห่งการฝึกตนอย่างร่างเทพสวรรค์และร่างอสูรสวรรค์ พวกมันก็ยังไม่อาจทัดเทียมกับร่างสวรรค์ริษยาที่พัฒนาเต็มที่ได้”
“พิเศษขนาดนี้เชียวหรือ?”
ไป๋ชิวหรานกล่าวด้วยความประหลาดใจ
“เป็นเรื่องจริง แต่มีอีกเหตุผลที่ข้าบอกว่ามันเป็นเรื่องละเอียดอ่อน” จื้อเซียนกล่าวเบา ๆ
“สวรรค์ริษยา เหตุผลที่สวรรค์ต้องริษยาคือความสามารถ คนเช่นเจ้าไม่ได้ถือกำเนิดมาเกือบหนึ่งแสนปีแล้ว พลังของมันยังมีไม่จำกัด ทะเลปราณที่ไม่สิ้นสุด และเติบโตได้เรื่อย ๆ อย่างไรก็ตาม มีข้อเสียอยู่หนึ่งอย่างคืออายุขัยของผู้ที่มีร่างสวรรค์ริษยาจะสั้น”
ดวงวิญญาณสีเขียวในหัวกะโหลกลุกโหมแรงขึ้น ไป๋ชิวหรานรู้สึกว่ามันกำลังมองมา
“เจ้าต้องเข้าใจ แม้ผู้ฝึกตนจะบอกว่า… ยิ่งความจุของทะเลปราณมากเท่าไรยิ่งดี แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่าเป็นการบีบอัดแก่นแท้ ขณะทะลวงผ่านขั้นสร้างรากฐานระหว่างอยู่ขั้นกลั่นลมปราณ หรือไปยังขั้นขอบเขตแกนทองคำในตอนบุกทะลวงขั้นสร้างรากฐาน แท้จริงแล้วต้องใช้ ‘กำแพง’ แห่งทะเลปราณ เพื่อย้อนไปสู่การบีบอัดของพลังในร่างกาย ดังนั้นแม้ว่าพลังปราณในร่างสวรรค์ริษยาจะเติบโตสูงกว่าแก่นแท้ในร่างกาย แต่พลังปราณภายในนั้นยังคงเดือดดาลไร้ซึ่งกำแพงและขอบเขตของทะเลปราณที่มีขีดจำกัด ดังนั้นร่างสวรรค์ริษยาจึงอยู่แค่ในขั้นกลั่นลมปราณเสมอ อีกทั้งยังไม่สามารถมีชีวิตอยู่ได้ถึงสามร้อยปี เมื่ออยู่ถึงสามร้อยปี สวรรค์ที่ริษยาเจ้าจะไม่มีความเมตตาอีก จากนั้นจะส่งยมทูตมาตามเก็บวิญญาณ ดังนั้นต่อให้ร่างกายจะทรงพลังแค่ไหน…ก็ไร้ประโยชน์”
ไป๋ชิวหรานนึกถึงเชวียหลิงและบรรดาผู้ติดตามขึ้นมาทันที มันทำให้พูดไม่ออกคล้ายกับมีบางอย่างอยู่ในลำคอ
“ข้าเคยคำนวณไว้ว่า หากผู้ที่มีร่างสวรรค์ริษยาอยู่รอดได้ถึงหนึ่งพันปี เช่นนั้นจะไม่มีใครในโลกควบคุมเขาได้อีก แต่… เจ้ารู้หรือไม่?”
จื้อเซียนกล่าวต่อ
“ยุคสมัยของข้ามีร่างสวรรค์ริษยาปรากฏตัวขึ้น ข้าแทบจะเห็นเขาเติบโตตลอดเวลา แต่ท้ายที่สุดถูกยมทูตจับตัวได้เมื่ออายุสามร้อยห้าสิบปี เมื่อวิญญาณออกจากร่าง ต่อให้เป็นร่างสวรรค์ริษยาก็ไม่มีประโยชน์อันใดอีก”
“ฟังแล้ว คงเป็นไปไม่ได้เลยสินะที่ข้าจะบรรลุขั้นสร้างรากฐาน?”
ไป๋ชิวหรานรู้สึกไม่พอใจอย่างมาก และมีความคิดที่จะ ‘กลับบ้านเกิดเพื่อแต่งงานและมีครอบครัว’
จื้อเซียนกล่าวต่อทันที
“ข้าบอกตอนไหนว่าไม่สามารถบรรลุขั้นสร้างรากฐานได้?”
“เจ้ารู้งั้นหรือ?”
ชายหนุ่มดูดีใจขึ้นมา
“ข้าไม่รู้”
จื้อเซียนเทน้ำเย็นราดหัวใจเขาอีกครั้ง
ไป๋ชิวหรานใช้มือบีบปากของจื้อเซียนเอาไว้ แล้วออกแรงบีบจนเกิดเสียงดัง
“เจ้าล้อข้าเล่นงั้นหรือ?”
“มะ…ไม่ใช่!”
จื้อเซียนรีบพูด
“ถึงข้าจะไม่รู้ว่าเจ้าจะบรรลุขั้นสร้างรากฐานได้อย่างไร แต่มีข้อมูลอยู่… และยังชัดเจนมาก นั่นพิสูจน์ได้เลยว่าร่างสวรรค์ริษยาสามารถบรรลุขั้นพลังได้”
“พูดมาให้หมด”
ไป๋ชิวหรานปล่อยมือออก
“เอาเป็นว่า… เจ้ารู้จักจักรพรรดิเซียนหรือไม่?”
หัวกะโหลกจื้อเซียนเอ่ยถาม
“พอรู้ เขาจองตำแหน่งให้ข้าเป็นจักรพรรดิภูตผีด้วย… ทำไม เจ้านั่นเป็นหนึ่งในร่างสวรรค์ริษยางั้นหรือ?”
ชายหนุ่มถามกลับ
“ไม่ จักรพรรดิเซียนเป็นมนุษย์ และไม่มีร่างสวรรค์ริษยา”
จื้อเซียนกล่าวต่อ
“แม้ว่าจะไม่มีบันทึกใด ๆ แต่เขามีแขนและขา ข้าเคยเดินทางไปพบซากปรักหักพังในป่ามาก่อน… หมายถึงพื้นที่ป่าของราชวงศ์เซียน ที่นั่นได้เห็นจิตรกรรมฝาผนังสองสามภาพ และได้รู้ความลับมากมายผ่านภูมิปัญญาเต๋าอันยิ่งใหญ่”
“ความลับอะไร?”
“ทุกคนต่างทราบดีว่าจักรพรรดิเซียน เป็นเซียนคนแรกในประวัติศาสตร์ อีกทั้งยังเป็นผู้ถ่ายทอดวิธีการเป็นเซียนให้เผ่ามนุษย์ แต่ก่อนที่จะเป็นเซียน ครั้งหนึ่งเคยมีเผ่าพันธุ์หนึ่งอาศัยอยู่บนโลก พวกเราเรียกพวกเขาว่าเผ่าเทพ”
หัวกะโหลกจื้อเซียนกล่าวช้า ๆ
“ตามข้อมูลที่ได้เรียนรู้จากจิตรกรรมฝาผนัง ในช่วงยุคของจักรพรรดิเซียน… มีร่างสวรรค์ริษยาปรากฏตัวขึ้นเช่นกัน ภาพนั้นแสดงให้เห็นว่าจักรพรรดิเซียนกำลังชี้แนะวิธีการให้เผ่ามนุษย์ และรับแรงกดดันจากเผ่าเทพ หลังจากพิจารณาภาพจิตรกรรมฝาผนังแล้ว ร่างสวรรค์ริษยารุ่นแรกอยู่ขั้นวิญญาณแท้จริง”
ตู้ม!
เมื่อได้ยินเช่นนี้ อารมณ์ของไป๋ชิวหรานที่ไม่ถูกรบกวนมากว่าพันปีเกิดผันผวนอย่างรุนแรง
ชายหนุ่มรู้สึกราวกับวังวนอันมืดมิดกำลังแตกออก และมีแสงอันอบอุ่นส่องลงมา
ยังมีความหวังอยู่ในโลกนี้!
ไป๋ชิวหรานรู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่ง แต่น่าเสียดายที่เซียนปฐพีผู้ที่อยากจะพาเขาไปอยู่ด้วยเสมอ ได้แต่เฝ้าดูฉากนี้ภายใต้แท่งสี่เหลี่ยมสีดำ
“ข้าจะไปหาเขาได้อย่างไร?”
หลังจากผ่านความปีติยินดี ชายหนุ่มก็รีบคว้าหัวกะโหลกมาถาม
“เจ้าต้องใจเย็นก่อน”
จื้อเซียนกล่าว
“สวรรค์ริษยารุ่นแรกนั้นหายตัวไปและไม่ได้ยินเรื่องราวอีก ข้าเดาว่าคงถูกสังหารในการต่อสู้กับเผ่าเทพ แต่หากเจ้ายังคิดจะตามหา เช่นนั้นจงไปยังแดนรกร้าง แล้วค้นหาสิ่งที่ตกค้างในซากปรักหักพังจากสงคราม”
“เร็วเข้า! ซากปรักหักพังนั่นอยู่ที่ไหน?”
ไป๋ชิวหรานตัวสั่นด้วยความตื่นเต้น เขาหวังว่าจะได้ไปยังซากปรักหักพังที่แดนรกร้างให้เร็วที่สุดเพื่อหาข้อมูล ชายหนุ่มมองไปรอบ ๆ ก่อนจะเห็นว่าตัวเองยังคงอยู่ในวังวนอันมืดมิด จากนั้นจึงยกมือขึ้นกระแทกไปในความว่างเปล่า
มีเสียงดังเกิดขึ้น พื้นที่แตกออกเป็นเสี่ยง ๆ จื้อเซียนที่เห็นฉากนี้คงขมวดคิ้วแน่น…หมายถึงว่าถ้ายังมีคิ้วอยู่
เมื่อเห็นไป๋ชิวหรานคิดจะกระโดดออกรอยแยกมิติ อีกฝ่ายรีบพูด
“อย่าเพิ่ง! มันเป็นพื้นที่ทดสอบ! อย่าทำลายถ้ำนี่! มันมีประโยชน์อย่างมาก! หากอยากจะออกไปละก็… ข้าจะสอนวิธีเคลื่อนย้ายข้ามมิติให้เอง!”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น ชายหนุ่มก็สงบลงเล็กน้อย จื้อเซียนที่เห็นว่าไป๋ชิวหรานหยุดจึงกล่าวต่อ
“และตอนนี้เจ้ายังไปแดนรกร้างไม่ได้ มันเป็นเรื่องบังเอิญที่ข้าไปพบกับซากปรักหักพังจากยุคแห่งเผ่าเทพเข้า หลังจากผ่านมาหลายหมื่นปี ความผันผวนของภูมิประเทศ ทำให้ซากปรักหักพังจมอยู่ใต้ดิน”
“แล้วตอนนี้ข้าต้องไปที่ใด?”
ไป๋ชิวหรานเอ่ยถาม
“เจ้ารู้จักโลกของเผ่ามารหรือไม่?”
จื้อเซียนกล่าว
“เจ้าจงไปยังสุสานจักรพรรดิมาร ที่นั่นมีเบาะแสเกี่ยวกับยุคเผ่าเทพอยู่”
“เราเคยไปที่สุสานจักรพรรดิมารนี่”
ไป๋ชิวหรานกล่าวในใจว่าเคยสังหารมารที่นั่น
“ที่นั่นไม่มีเงื่อนงำอะไรสักหน่อย”
“ไม่หรอก ที่เจ้าไปคือสุสานจักรพรรดิมารรุ่นปัจจุบัน ที่ข้าต้องการให้ไปหาคือสุสานจักรพรรดิปีศาจรุ่นแรกต่างหาก”
จื้อเซียนกล่าวต่อ
“จักรพรรดิมารรุ่นแรกเหมือนจักรพรรดิเซียน เขารอดชีวิตจากยุคเผ่าเทพเช่นกัน”
…