ข้าก็แค่กลั่นลมปราณ 3,000 ปี - บทที่ 107 ผู้กลั่นลมปราณไม่อาจมีชีวิตรอด
บทที่ 107 ผู้กลั่นลมปราณไม่อาจมีชีวิตรอด
หลีจิ่นเหยา ถังรั่วเวย พร้อมกับคนอื่น ๆ รออยู่นอกห้องเป็นเวลานาน เมื่อสิ้นสุดการทดสอบสุดท้าย ประตูห้องโถงจึงค่อย ๆ เปิดออก
ไป๋ชิวหรานถือหัวกะโหลกเดินออกมาจากห้องอย่างช้า ๆ
เมื่อเห็นเช่นนั้น ถังรั่วเวยจึงดึงแผ่นหยกออกมาและเอนตัวไปข้างหน้า
“คนที่ไม่เกี่ยวข้องถอยไป หากตายขึ้นมาข้าจะไม่รับผิดชอบ”
“รอเดี๋ยวนางศิษย์ชั่ว คิดจะขว้างแผ่นหยกที่ให้ไปใส่ข้าเองงั้นหรือ!”
ไป๋ชิวหรานตะโกนกลับทันที
“หรือจะให้ข้าอ่านบทกวีที่แต่งในนั้นต่อหน้าทุกคน!”
ถังรั่วเวยชะงักไปทันที นางตัวแข็งทื่อและไม่รู้จะตอบกลับอย่างไร
“เอาล่ะ ๆ น้องรั่วเวย บรรพชนสำนักกระบี่ชิงหมิงคนนี้เป็นตัวจริง”
หลีจิ่นเหยาเข้าไปคว้ามือของถังรั่วเวยเอาไว้
“หากบรรพชนสำนักกระบี่ชิงหมิงถูกวิญญาณคนอื่นสิงสู่ เช่นนั้นพวกเราทุกคนคงตายหมดแล้ว”
“ถูกต้อง ๆ”
ไป๋ชิวหรานพยักหน้าพร้อมกล่าว
“ศิษย์รัก เจ้าควรจะเรียนรู้จากศิษย์พี่หลีมากกว่านี้ บางทีอาจจะฉลาดขึ้นบ้างเล็กน้อย อย่ามัวแต่คิดหาวิธีแก้แค้นอาจารย์เป็นการส่วนตัวสิ”
หลังจากที่รู้ว่ายังมีความหวังในการบรรลุขั้นพลัง ชายหนุ่มจึงอารมณ์ดีขึ้นมา เขาเดินไปหาลูกศิษย์และลูบหัวนางเบา ๆ
“บรรพชนสำนักกระบี่ชิงหมิงได้อะไรมาบ้าง?”
หลีจิ่นเหยาเอ่ยถาม
“สรุปตอนนี้… พวกเราผ่านบททดสอบแล้วหรือ?”
ไป๋ชิวหรานพยักหน้า ก่อนจะยกหัวกะโหลกขึ้น
ในชั่วพริบตา เมฆและหมอกลอยออกมาจากทั่วทุกแห่งและเคลื่อนย้ายผู้คนทั้งหมดไปที่อื่น
หลังจากเมฆหมอกหายไป ทุกคนต่างพบว่าตัวเองกำลังยืนอยู่บนท้องฟ้าเช่นเดิม เว้นแต่ตรงหน้าที่มีประตูสวรรค์อยู่ บนประตูสวรรค์มีอักขระเขียนอยู่สี่ตัว ‘แดนของเซียนปฐพี’
“อ๊ะ ไอ้พวกบัดซบ”
เมื่อเห็นอักษรทั้งสี่ หัวกะโหลกที่อยู่ในมือไป๋ชิวหรานก็ตะโกนกร้าวออกมาทันที ไฟสีเขียวที่เบ้าตาถึงกับพลุ่งพล่าน
“เขียนแล้วก็ขีดออก แล้วก็เขียนทับลงไปบนประตูสวรรค์ของข้าอยู่นั่น”
“แล้วใครกันที่ถูกไอ้บัดซบที่ว่านั่นถืออยู่ในมือ มิหนำซ้ำก่อนหน้ายังต้านทานอะไรไม่ได้อีก”
ไป๋ชิวหรานเยาะเย้ย
จื้อเซียนสำลักจนพูดไม่ออก ขณะเดียวกัน ทุกคนที่อยู่ข้าง ๆ ต่างประหลาดใจกับหัวกะโหลกนี้ โหยวเหมยเฉียวเอ่ยถาม
“ท่านอาจารย์ หัวกะโหลกนี่คืออะไร?”
ไป๋ชิวหรานขี้เกียจอธิบายความหลัง ดังนั้นจึงตอบแบบผ่าน ๆ
“นี่คือเจ้าของถ้ำ เอ่อ…หมายถึงเจ้าของเดิม”
“สวัสดีแม่สาวน้อย”
หัวกะโหลกที่อยู่ในมือชายหนุ่มขยับไปมาและกล่าวทักทายอย่างสงบ
“ข้าเป็นเซียนอมตะที่มีปัญญาระดับพระเจ้า เรียกข้าว่าจื้อเซียน”
บรรดาศิษย์ต่างหันมองหน้ากัน หลีจิ่นเหยาเป็นคนแรกที่เอ่ยถาม
“แล้วเขาเป็นเซียนปฐพีด้วยหรือเปล่า?”
“เคยเป็น”
หัวกะโหลกจื้อเซียนตอบกลับด้วยรอยยิ้ม ราวกับว่าไม่เคยอึดอัดกับสภาพร่อแร่ของตัวเอง
“ไม่คิดเลยว่าจะได้พบร่างอสูรสวรรค์ในยุคนี้ ข้าได้เห็นร่างอสูรสวรรค์และร่างสวรรค์ริษยาอยู่ด้วยกัน ช่างเป็นเรื่องที่หายากนัก”
“เขาบอกว่าได้สร้างสถานที่สำหรับเก็บสมบัติในตอนที่ยังมีชีวิต มีวิชาและสมบัติมากมายที่นั่น หากเจออาวุธวิเศษก็ลองใช้ได้เลย หรือจะฝึกฝนวิชาที่พบได้ตามใจชอบก็ไม่มีปัญหา”
ไป๋ชิวหรานกล่าวตรงหน้าประตูสวรรค์
“ที่นี่…ไม่มีการซุ่มโจมตีอีกแล้วใช่หรือไม่?”
ถังรั่วเวยเอ่ยถาม
“ไม่ นี่เป็นส่วนหนึ่งของรางวัล”
หัวกะโหลกจื้อเซียนตอบ
“แม่หนู เจ้าคงเป็นศิษย์ของสหายผมขาวคนนี้…จุดประสงค์หลักของถ้ำคือทิ้งมรดกไว้ให้ลูกหลานและคนรุ่นหลัง แล้วข้าจะวางกับดักไปเพื่ออะไรอีก ภัยคุกคามอย่างพวกเซียนปฐพี อาจารย์เจ้าได้กำจัดหมดสิ้นแล้ว”
“นั่นสิ พวกเจ้าเข้าไปดูเองเลย”
ไป๋ชิวหรานกล่าว
“แล้วท่านอาจารย์จะไปไหน?”
เมื่อเห็นชายหนุ่มกำลังจะจากไป โหยวเหมยเฉียวรีบถาม
“ข้ามีเรื่องที่ต้องทำ ตอนนี้จึงต้องออกไปหาอาจารย์เจ้าก่อน”
ไป๋ชิวหรานตอบกลับ
“เจ้าอยู่ที่นี่ พยายามเรียนรู้และหาของที่จำเป็นให้ได้มากที่สุด ข้าจะพาอาจารย์เจ้ากลับมาทีหลัง…ว่าจะทำอย่างไรกับถ้ำนี้”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ ใบหน้าของหลีจิ่นเหยามืดมนทันที ขณะเดียวกันโหยวเหมยเฉียวมองพร้อมรอยยิ้ม นั่นทำให้หญิงสาวผู้เย่อหยิ่งของสำนักอสูรสวรรค์ขมวดคิ้วแน่นกว่าเดิม
“แล้วข้าจะเอาเจ้าไปด้วยอย่างไรดี…”
ไป๋ชิวหรานครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ไม่ช้าเขาก็เอาเอ็นสัตว์ออกมาจากถุงเก็บของ แล้วแขวนหัวกะโหลกไว้ตรงสะโพก
แม้ว่าจื้อเซียนจะเหลือแค่เพียงกะโหลก แต่วิญญาณยังอยู่ภายในนั้น ถุงเก็บของจึงไม่สามารถเก็บวิญญาณของเขาได้ เว้นแต่จะใช้สิ่งของพิเศษเช่น ศิลาจับวิญญาณเพื่อเก็บไว้
“ด…เดี๋ยวสหาย ถ้าจะมัดก็อย่าแทงมาที่เบ้าตาสิ!”
จื้อเซียนอุทาน
“มันทำให้ข้าคันนะ!”
“ท่านเหลือแค่กะโหลกอย่างเดียวแล้วยังคันได้อยู่หรือ?”
ถังรั่วเวยเอ่ยถาม
“ท่านต้องบ้าไปแล้วแน่ ๆ”
“แล้วข้าจะรู้ได้อย่างไรว่า…สวรรค์ถึงให้ข้ารู้สึกเช่นนี้”
จื้อเซียนตอบกลับ
“หากแตะโดนวิญญาณ ข้าจะรู้สึกได้ทันที”
เนื่องจากจื้อเซียนต่อต้านอย่างสุดแรง จึงทำให้ไป๋ชิวหรานไม่สามารถคล้องเอ็นกับเบ้าตาได้ ดังนั้นชายหนุ่มจึงผูกปมบนหัวของกะโหลกและมัดไว้ตรงเอวเหมือนขวดน้ำเต้าสุรา
เมื่อมองไปที่ไป๋ชิวหรานที่สวมทั้งเสื้อผ้าขาวและมีผมสีขาว รวมถึงยังห้อยหัวกะโหลกที่เอว หลีจิ่นเหยากับโหยวเหมยเฉียวอดไม่ได้ที่จะอุทานออกมาพร้อมกัน
“บรรพชนสำนักกระบี่ชิงหมิงดูเหมือนผู้ฝึกตนเผ่ามารมากกว่าพวกเราเสียอีก”
“ไปกันได้แล้ว มัวแต่พูดไร้สาระอะไร ข้าเป็นเสาหลักแห่งผู้ฝึกตนฝ่ายธรรมนะ”
ชายหนุ่มไล่บรรดาศิษย์เหล่านั้นเข้าไปในประตูสวรรค์ จากนั้นจึงพาจื้อเซียนกลับไปที่ด้านบนสุดของภูเขาที่กลับหัวลงมา โดยใช้วิธีเคลื่อนย้ายข้ามมิติ
“ระวัง ข้างนอกมีสายฟ้า”
จื้อเซียนเตือน
“ลูกศิษย์ที่ไม่คู่ควรของข้าได้เปลี่ยนการกระตุ้นของเขตอาคมสายฟ้าให้อยู่เหนือขั้นปฐมวิญญาณ เพื่อป้องกันไม่ให้ผู้ที่มีระดับสูงเกินไปเข้ามา เจ้าแข็งแกร่งมาก อย่าไปเหยียบมันล่ะ…หากก้าวไปโดนอาจทำลายถ้ำอันมีค่าของข้าได้”
“อืม ไม่เป็นไร”
ไป๋ชิวหรานตอบกลับ
“ข้ายังอยู่ขั้นกลั่นลมปราณอยู่ดี”
จื้อเซียนรู้สึกตกใจ แต่ไป๋ชิวหรานเหยียบพื้นและบินออกไป หลังจากผ่านระลอกคลื่นเหนือศีรษะ ชายหนุ่มกลับเข้าสู่โลกเดิม แรงโน้มถ่วงกลับมาอีกด้าน ยอดเขาอยู่เหนือศีรษะ และตอนนี้กำลังตกลงมาจากความสูงหลายสิบลี้ ไปยังด้านล่างที่เป็นเมืองโบราณของพวกเซียนปฐพี
“เป็นเขตอาคมของจริงหรือเปล่า”
จื้อเซียนบ่นพึมพำอย่างแปลกประหลาด
“เป็นไปได้หรือไม่ ที่แม้แต่เขตอาคมยังนับว่าเจ้าหนุ่มนี่อยู่ในขั้นกลั่นลมปราณ?”
อย่างไรก็ตาม เวลานี้ไป๋ชิวหรานได้ลงจอดและกลับมายังเมืองโบราณเรียบร้อยแล้ว
…