ข้าก็แค่กลั่นลมปราณ 3,000 ปี - บทที่ 112 ดินแดนเหนือโลกเซียน
บางครั้งไป๋ชิวหรานก็รู้สึกว่า…ห้าพันมิตรผู้ฝึกตนฝ่ายธรรมและพันมิตรผู้ฝึกตนฝ่ายมารเป็นเหมือนเด็ก
เบื้องหน้าเหมือนจะเป็นปฏิปักษ์ต่อกัน แต่จริง ๆ แล้วสนิทกันมาก บางครั้งอาจจะทะเลาะเพราะความเห็นไม่ตรงกัน ไป๋ชิวหรานกับซูเซียงเสวี่ยจึงต้องช่วยกันเกลี้ยกล่อมเพื่อไม่ให้เกิดสงคราม
ชายหนุ่มรู้สึกว่าตัวเองกับซูเซียงเสวี่ยเป็นเหมือนพ่อแม่ที่รายล้อมไปด้วยลูกหมี เมื่อเด็ก ๆ พวกนี้ลุกขึ้นทะเลาะกัน คนที่ปวดหัวที่สุดเห็นจะเป็นพ่อแม่
นอกประตูถ้ำเซียน ทั้งสองฝ่ายที่โต้เถียงกันคือฝ่ายที่เลือกเจวี๋ยอวิ๋นจื่อจากสำนักกระบี่ชิงหมิง และจี้หลิงอวิ๋นจากสำนักอสูรสวรรค์
ฝ่ายหนึ่งถกเถียงว่าถ้ำนี้คงไม่อาจยึดได้สำเร็จ หากไม่มีอาจารย์ลุง ส่วนอีกฝ่ายกลับบอกว่าคงไม่อาจค้นพบถ้ำนี้ได้ หากไม่ใช่เพราะผู้อาวุโส เจวี๋ยอวิ๋นจื่อจึงยืนยันว่าถ้ำนี้ควรเป็นของห้าพันธมิตรผู้ฝึกตนฝ่ายธรรม ส่วนอีกฝ่ายแย้งว่าพันธมิตรผู้ฝึกตนฝ่ายมารควรได้รับส่วนแบ่ง
มันจึงกลายเป็นเรื่องถกเถียงกันและเริ่มโจมตีกันเอง แม้แต่เจ้าสำนักต่าง ๆ ที่อยู่ในฝ่ายพันธมิตรก็เข้ามาเกี่ยวข้องทะเลาะกันไปด้วย
แม้ว่าฝ่ายห้าพันธมิตรผู้ฝึกตนฝ่ายธรรมจะมีสำนักมากกว่า ทว่าพันธมิตรผู้ฝึกตนฝ่ายมารก็มีผู้อาวุโสที่มีขั้นพลังระดับสูงอยู่เช่นกัน หากเกิดสงครามกันจริง คงสร้างปัญหาวุ่นวายอย่างแน่นอน
ดังนั้นไป๋ชิวหรานจึงออกมาดูลาดเลา ชายหนุ่มเดินเข้ามาพร้อมรอยยิ้ม เขาเรียกคนทั้งหมดมาเบื้องหน้าแล้วเริ่มสั่งสอน จากนั้นซูเซียงเสวี่ยจะเข้ามาปลอบใจ และเริ่มปรับอารมณ์ของทุกคนให้เย็นลงเพื่อจะได้เจรจากันอย่างช้า ๆ
ผลของการประสานงานระหว่างกำปั้นและคำพูดปลอบใจได้ผลอย่างดี เจ้าสำนักต่าง ๆ เริ่มสงบ ต่างนั่งอยู่บนพื้นหน้าถ้ำด้วยใบหน้าที่ฟกช้ำ จากนั้นจึงเริ่มเจรจากันเรื่องใครจะเป็นเจ้าของถ้ำเซียนนี้บ้าง
จุดสนใจของข้อพิพาทระหว่างทั้งสองฝ่ายกลับมาที่หัวข้อเรื่องเขตแดนของถ้ำเซียนจะอยู่ไหน จะให้ใครดูแล หลังจากนั้นหัวกะโหลกจื้อเซียนก็เสนอแนะว่าให้ทุกสำนักเชื่อมต่อกับมันได้ผ่านเขตอาคม พร้อมกับอธิบายข้อเท็จจริงที่ว่าถ้ำเซียนตั้งอยู่ในพื้นที่เล็ก ๆ ด้านนอกสิบแคว้น ทั้งสองฝ่ายจึงตกลงกันได้ในที่สุด
ทางเข้าของถ้ำเซียนจะยังตั้งอยู่ที่นี่ภายในเมืองโบราณของเซียนปฐพี แล้วให้สำนักต่าง ๆ ใช้อาคมเคลื่อนย้ายเพื่อเชื่อมต่อกับถ้ำเซียน โดยหัวกะโหลกจื้อเซียนจะเป็นคนสอนวิธีใช้ให้เอง
ถ้ำเซียนกับเมืองโบราณจะถูกแบ่งครึ่ง โดยที่สำนักแข็งแกร่งที่สุดในห้าพันธมิตรผู้ฝึกตนฝ่ายธรรมและพันธมิตรผู้ฝึกตนฝ่ายมาร จะส่งคนหนึ่งคนมาปกป้องสถานที่นี้ และจะมีการเปลี่ยนแปลงทุก ๆ สิบปี
ส่วนสำนักอื่น ๆ ที่ได้รับการยอมรับจากพันธมิตรจะสามารถเข้ามาที่ถ้ำเซียนได้อย่างอิสระเพื่อค้นหาโอกาสและเรียนรู้สิ่งต่าง ๆ ภายในถ้ำนี้
ด้วยวิธีนี้ เรื่องถกเถียงกันระหว่างถ้ำเซียนจึงจบลง เจ้าสำนักแต่ละคนต่างแยกย้ายไปทำงาน ทั้งสร้างเขตอาคม นับอาวุธเวท… และอีกหลายสิ่งหลายอย่าง
ส่วนไป๋ชิวหรานก็กลับมายังสำนักกระบี่ชิงหมิงพร้อมกลุ่มศิษย์
ในตารางงานอันแสนยุ่งของซูเซียงเสวี่ย นางได้ออกคำสั่งให้หน่วยข่าวกรองรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับสุสานจักรพรรดิมารองค์แรก ในขณะเดียวกัน ไป๋ชิวหรานก็ให้สำนักใหญ่ ๆ ช่วยเหลืออีกแรง
แต่ท้ายที่สุด มันก็เป็นเรื่องเกี่ยวกับจักรพรรดิมารองค์แรก หน่วยข่าวกรองต้องดำเนินการในโลกมาร เนื่องจากลักษณะพิเศษของอสูรเผ่ามาร มนุษย์จึงไม่สามารถเข้าไปในโลกมารได้อย่างง่ายดาย ดังนั้นไป๋ชิวหรานจึงไม่รีบร้อนนัก
คงจะใช้เวลาอย่างน้อยห้าถึงหกปีในการสืบหาข้อมูลครั้งนี้ เพราะมันเป็นที่ฝังศพของจักรพรรดิมารยุคโบราณที่หายสาบสูญไปหลายพันปี
ตามที่เชวียหลิงได้กล่าวเอาไว้ว่า…ไม่ควรดีใจเร็วเกินไป ไป๋ชิวหรานจึงเตรียมใจเรื่องเวลามาไว้แล้ว
เพื่อที่จะค้นหาสุสานจักรพรรดิมารองค์แรก แม้จะใช้เวลาอีกสามพันปีเขาก็ย่อมรอได้
ในช่วงนี้ ชายหนุ่มได้ขังตัวเองอยู่บนยอดเขาชีซิง และเฝ้าเรียนรู้ทักษะของยุคก่อนจากจื้อเซียน
“อย่าท้อถอย อย่าท้อถอย”
ที่ขอบหน้าผาชีซิง หัวกะโหลกจื้อเซียนที่อยู่ด้านข้างกำลังปลอบโยนไป๋ชิวหราน
“เจ้าผ่านมาได้ถึงสามพันปี และปรโลกก็ไม่เอาวิญญาณเจ้าไป ในอนาคตคงจะแข็งแกร่งขึ้นกว่านี้”
“พูดอะไรดี ๆ หน่อยไม่ได้หรือ?”
ไป๋ชิวหรานถอนหายใจ ก่อนจะโยนนกกระเรียนพับขึ้นไปมา
นกกระเรียนกระดาษแกว่งไปมาในอากาศต้องลมบนภูเขา ทันใดนั้นมันก็ดูเหมือนจะมีชีวิตขึ้นมา มันสั่นปีกเบา ๆ และบินหายไปในท้องฟ้าอย่างรวดเร็ว
นี่เป็นหนึ่งในวิชาของยุคโบราณจากราชวงศ์ศักดิ์สิทธิ์ที่ชายหนุ่มเรียนรู้มา ส่วนคนที่สอนคือหัวกะโหลกจื้อเซียนที่อยู่ด้านข้าง
เหล่าเซียนปฐพีแห่งราชวงศ์ศักดิ์สิทธิ์ได้บรรลุในเรื่องความหมายของชีวิตและความตาย วิชาที่ออกแบบมานี้สามารถให้ชีวิตแก่คนตายได้ หรือดึงพลังชีวิตของคนเป็นก็ได้ แน่นอนว่าพลังเหล่านี้มีเพียงผู้ฝึกตนขั้นสูงอย่างเซียนปฐพีเท่านั้นที่ใช้ได้ แต่ด้วยความช่วยเหลือจากจื้อเซียน ไป๋ชิวหรานจึงสามารถปรับเปลี่ยนมันให้ผู้ฝึกตนขั้นกลั่นลมปราณใช้ได้!
นกกระเรียนกระดาษเหล่านี้ได้รับชีวิตจากชายหนุ่ม และหลังจากที่บินออกไป พวกมันจะกลายเป็นหูเป็นตาให้กับไป๋ชิวหราน ที่ทำเช่นนี้ก็เพื่อจะช่วยค้นหาเบาะแสเกี่ยวกับหลุมฝังศพจักรพรรดิมารองค์แรก
ชายหนุ่มคาดการณ์ไว้ว่า พลังชีวิตของนกกระเรียนกระดาษจะบินข้ามไปยังโลกปีศาจได้ทันก่อนหมดอายุขัย
“พูดถึงเรื่องนี้ ซูเซียงเสวี่ยมาหาเจ้าในวันนั้น นางคุยอะไรไปบ้าง?”
ไป๋ชิวหรานถามอย่างเกียจคร้านขณะพับกระดาษ
“สาวน้อยคนนั้นมาถามว่า ข้าจะเป็นเซียนปฐพีได้อย่างไร”
จื้อเซียนตอบกลับ
“นางบอกว่ายังไม่อยากเป็นอมตะในตอนนี้ แต่ก็ไม่อยากขาดแก่นแท้แห่งชีวิตแล้วตายไป ดังนั้นข้าจึงสอนวิธีเป็นเซียนปฐพีให้น่ะสิ”
“เมื่อกลายเป็นเซียนปฐพีแล้ว อายุขัยจะไม่มีสิ้นสุดงั้นหรือ?”
ไป๋ชิวหรานเอ่ยถาม
“แน่นอนว่าเซียนปฐพีเป็นอมตะ ไม่ว่าพวกเขาจะทำหรือไม่ได้ทำอะไร อายุขัยก็จะไม่มีสิ้นสุดและยืนยาวอยู่คู่ไปกับสวรรค์”
จื้อเซียนส่ายหัวเล็กน้อย
“แต่พวกเราก็ไม่ได้ขึ้นไปยังโลกเซียนและไม่ได้ดูดซับกระแสวิญญาณเซียนเพื่อสร้างร่างกาย ดังนั้นมันจึงอ่อนแอกว่าเซียนในโลกเซียนเล็กน้อย… นอกจากนี้หลังจากได้ขัดเกลาขั้นพลังในขั้นตอนการเป็นเซียนปฐพี เราจะไม่สามารถพัฒนาได้อีกต่อไป”
“เป็นเพราะข้อจำกัดแห่งสวรรค์งั้นหรือ?”
ไป๋ชิวหรานเอ่ยถาม
“เนื่องจากไม่สามารถพัฒนาต่อไปได้อีก ทุกคนเลยมาถึงจุดสิ้นสุดและไม่อาจฝึกฝนอะไรอีก เหตุนี้จึงทำให้พวกเขารู้สึกสับสนอย่างมาก”
“ด้วยประวัติศาสตร์อันยาวนานนับหมื่นปีของราชวงศ์ศักดิ์สิทธิ์ ไม่มีใครสามารถหาวิธีไปต่อได้เลยหรือ?”
ไป๋ชิวหรานสงสัย
“คิดว่าทุกคนจะเหมือนเจ้างั้นหรือ พวกเขาอ่อนกำลังลง ตอนนั้นพวกเราต้องสู้กับอสูรเผ่ามารมาโดยตลอด ตื่นขึ้นมาก็ต้องคิดหาวิธีต่อสู้แล้ว เข้าใจหรือไม่? ต่อมาเมื่อเวลาแห่งสันติภาพมาเยือน ยังมีเซียนในโลกหลายคนที่รู้สึกว่าเผ่าพันธุ์มนุษย์แข็งแกร่งแล้ว และไม่ต้องฝึกบ่มเพาะพลังอีกต่อไป ดังนั้นพวกเขาจึงเลือกที่จะมุ่งขึ้นสู่โลกเซียนโดยตรง”
จื้อเซียนตอบกลับ
“นอกจากนั้น ข้าได้เสียสละความปรารถนาของตัวเองเพื่อแลกกับภูมิปัญญาอันยิ่งใหญ่ และหาดูว่าจะมีวิธีบรรลุขั้นบ่มเพาะพลังได้อีกหรือไม่ แต่น่าเสียดายที่ไม่มีวันนั้น อย่างไรก็ตาม เมื่อได้อ่านข้อมูลจากซากปรักหักพังของราชวงศ์ชิงตะวันออก… มันมีตำราเพื่อฝึกปรือในการเป็นเซียนปฐพี แต่น่าเสียดายที่หายสาบสูญไปหมดกับการล่มสลายของราชวงศ์ชิงตะวันออก”
“นั่นช่างน่าเสียดาย”
ไป๋ชิวหรานถอนหายใจ