ข้าก็แค่กลั่นลมปราณ 3,000 ปี - บทที่ 115 กรรมของอสูรเผ่ามาร
รัฐหลินโจวเป็นพื้นที่ที่อยู่ทางตะวันออกของเก้ามหาทวีปสิบแผ่นดิน ซึ่งอยู่ทางตะวันออกไกลกว่ารัฐตงหลิง
ครั้งหนึ่งเคยเป็นรัฐที่เจริญรุ่งเรืองมากที่สุดในเก้ามหาทวีปสิบแผ่นดิน แต่ในการสู้รบของอสูรเผ่ามารเมื่อพันปีที่แล้ว ผู้อาศัยในสถานที่แห่งนี้ได้ถูกอสูรเผ่ามารสังหาร หลังสงคราม แม้จะผ่านไปมากกว่าหนึ่งพันปี หลังจากค่อย ๆ ฟื้นตัวขึ้น ทว่าสุดแล้วแต่ก็ไม่อาจเทียบได้กับอดีต
เส้นแบ่งระหว่างเก้ามหาทวีปสิบแผ่นดินกับโลกมารก็อยู่ที่นี่เช่นกัน แม้โลกมารจะตั้งอยู่ในพื้นที่อื่น แต่รอยแยกมิติที่เชื่อมต่ออยู่ที่ขอบของรัฐหลินโจว ผู้คนจากที่นั่นจะผ่านรอยแตกนี้ไปได้เท่านั้น
อย่างไรก็ตาม ความสามารถในการฝ่ามิติก็เป็นสิ่งที่ไม่มีใครในเก้ามหาทวีปสิบแผ่นดินจะสามารถทำได้ ในปัจจุบันไป๋ชิวหรานคงต้องอาศัยถ้ำเซียน แต่แม้จะเป็นถ้ำเซียนที่อยู่ในสภาพสมบูรณ์ก็ไม่สามารถเดินทางไปมาระหว่างสองโลกได้
คนที่ทำสิ่งเหล่านี้ได้จะต้องเป็นผู้นำชั้นยอดในแดนสวรรค์
แน่นอนว่าไม่มีบุคคลลักษณะนี้ในโลกมาร เพราะหากมี… พวกเขาคงไม่ยืนมองไป๋ชิวหรานสังหารราชาอสูรหน้าสุสานจักรพรรดิ นี่คือสุดยอดของอสูรเผ่ามารเชียวนะ!
เขตแดนดังกล่าวได้รับการปกป้องจากผู้คน ตั้งแต่การต่อสู้ครั้งสุดท้ายระหว่างเผ่ามนุษย์กับอสูรเผ่ามาร ห้าพันธมิตรผู้ฝึกตนฝ่ายธรรมภายใต้การประสานงานของกองทัพเทพยุทธ์ได้ส่งคนมาปกป้อง โดยหมุนเวียนทุก ๆ สองสามทศวรรษ
ครั้งนี้ การจู่โจมของอสูรเผ่ามารเป็นสิ่งที่ไม่คาดคิด อีกทั้งผู้คุ้มกันยังไม่ใช่ยอดฝีมือจากกองทัพเทพยุทธ์ไปเสียทั้งหมด ทว่ายังมีคนอีกมากมายจากสำนักอื่นมาร่วมด้วยช่วยกัน
เมืองเหล่านี้ได้รับการปกป้องจากศิษย์ของสำนักเล็ก ๆ พวกเขามีจำนวนไม่มากนัก และฐานการฝึกฝนก็ไม่ค่อยดีนัก อีกทั้งแนวป้องกันของทางสำนักยังอ่อนแอมาก ทำให้พวกเขาถูกอสูรเผ่ามารโจมตีทันทีที่พบกัน
อย่างไรก็ตาม หลังจากการกระทำของอสูรเผ่ามาร กองทัพเทพยุทธ์จึงได้ระดมกำลังพลทันที ตอนนี้ทั้งสองฝ่ายยืนนิ่งและเผชิญหน้ากันใกล้ชายแดน
กองทัพเทพยุทธ์กำลังเฝ้าระวังในรัฐหลินโจว จ้าวรุ่ยเจ๋อ ผู้บัญชาการกองทัพเทียนต้าว กองทัพเทียนต้าวเป็นสามในห้ากองพันของกองทัพเทพยุทธ์ โดยพื้นฐานแล้วกองพันจะใช้อาวุธ เช่น มีด เป็นอาวุธมาตรฐาน…
เมื่อไป๋ชิวหรานเห็นผู้บัญชาการกองพันที่เพิ่งกลับมาจากการลาดตระเวนหอคอยเมืองที่อยู่ใกล้เคียง เมื่ออีกฝ่ายเห็นชายหนุ่มรออยู่นอกเสาบัญชาการ ผู้บัญชาการกองพันของกองทัพเทพยุทธ์ก็ไม่กล้าละเลย และรีบเอ่ยเชิญไป๋ชิวหรานเข้ามาอย่างรวดเร็ว
“บรรพชนสำนักกระบี่ชิงหมิง นั่งลงก่อนเถิด”
หลังจากที่จ้าวรุ่ยเจ๋อเชิญให้ไป๋ชิวหรานนั่งบนเก้าอี้ผู้บัญชาการก่อนจะถาม
“บรรพชนสำนักกระบี่ชิงหมิง ได้รับข่าวจากเจ้าสำนักแล้วหรือ?”
“อือ”
ไป๋ชิวหรานพยักหน้า
“ได้ทราบระหว่างเดินทางมาที่นี่”
ห้าพันธมิตรผู้ฝึกตนฝ่ายธรรมมีผู้นำพันธมิตรเช่นเดียวกับฝ่ายมาร ที่ปัจจุบันผู้อาวุโสแห่งสำนักวิญญาณหยินปฏิบัติหน้าที่นี้อยู่ การปรากฏตัวของไป๋ชิวหรานถือเป็นอาวุธเชิงกลยุทธ์ในการยับยั้งของห้าพันธมิตรผู้ฝึกตนฝ่ายธรรม โดยปกติจะมีเฉพาะผู้นำของพันธมิตรเท่านั้นที่สามารถระดมพลังได้ แน่นอนว่า การถ่ายโอนนี้ยังเป็นการถ่ายโอนเพียงเล็กน้อย แต่ชายหนุ่มก็จะทำหน้าที่ได้เป็นอย่างดี
ผู้นำของห้าพันธมิตรผู้ฝึกตนฝ่ายธรรมคนปัจจุบันได้รับการแต่งตั้งโดยเจ้าสำนักพุทธเทียนเซิ่ง และนั่นก็คืออวี้เมี่ยนฝู อันที่จริงซูเซียงเสวี่ยเป็นมารคนแรกที่มีชื่อเสียงในอสูรเผ่ามาร แต่ต่อมากลับถูกปฏิเสธ หลายคนผลักดันสำนักเทพโลหิตขึ้นมา แต่ไป๋ชิวหรานได้สังเกตเห็นสิ่งผิดปกติบางอย่างจึงสังหารเขา ดังนั้นในตอนนี้ผู้อาวุโสแห่งสำนักวิญญาณหยินจึงมารักษาการชั่วคราว
สำหรับฝ่ายมาร ทั้งอาจารย์และศิษย์ของสำนักไม่ใช่คนที่น่าเชื่อถือนัก คนหนึ่งมองหาใครสักคนเพื่อที่จะดื่มและต่อสู้ด้วย อีกคนหนึ่งนอกเหนือจากรูปลักษณ์แล้ว เขาก็เป็นเพียงชายชราผิวหยาบกร้าน!
เมื่อห้าพันธมิตรผู้ฝึกตนฝ่ายธรรมมีมติอย่างเป็นเอกฉันท์ โดยเลือกไป๋ชิวหรานเป็นผู้นำ แต่ไป๋ชิวหรานกลับปฏิเสธไป เนื่องจากขอบเขตขั้นต่ำเกินไป ทุกคนจึงเลือกจากผู้นำของสำนักทั้งห้าแทน
ในบรรดาห้าสำนักหลัก จ้าวเทียนจ้ง ผู้บัญชาการกองทัพเทพยุทธ์ ชิวอวี่เซวียน เจ้าสำนักเสวียนฝ่า เป็นคนที่บ้าคลั่งคนหนึ่ง กงป้านเจวี๋ยแห่งสำนักหยกเซียนเฉิง เขาเป็นเหมือนพ่อค้ามากกว่าเจ้าสำนักเสียอีก!
ดังนั้นจึงเป็นเหตุให้ทุกคนเลือกอวี้เมี่ยนฝู เพราะเขาได้รับความนิยม มียศสูง ทั้งยังมีความสงบ สุขุม เหมาะแก่การเป็นผู้นำที่จะพาห้าพันธมิตรผู้ฝึกตนฝ่ายธรรมข้ามผ่านทุกปัญหา
อันที่จริง เจวี๋ยอวิ๋นจื่อก็มีความเป็นผู้นำสูงมาก แต่ความเกลียดชังจากปากของเขาทำให้หลายคนขุ่นเคือง หากให้ขึ้นเป็นผู้นำคงจะไม่เหมาะสมนัก ดังนั้นเมื่อการลงคะแนนสิ้นสุดลง ไม่เพียงแต่จะไม่ได้รับเลือกให้เป็นผู้นำของพันธมิตรแล้ว แต่ได้รับเพียงหนึ่งคะแนนที่ลงเสียงให้ตัวเองเท่านั้น…ช่างเป็นเรื่องที่น่าสังเวชนัก อนิจจา
“ข้าส่งคนไปสืบมาแล้ว ครั้งนี้อสูรเผ่ามารไม่ต้องการสู้รบกับเผ่ามนุษย์จริง”
จ้าวรุ่ยเจ๋อไม่อยากเสียเวลา จึงเริ่มพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องนี้ทันที
“หืม?”
ไป๋ชิวหรานถาม
“รู้ได้อย่างไร?”
“ข้าไม่เคยอยู่ในยุคสมัยการรุกรานของอสูรเผ่ามารมาก่อน แต่เพื่อเป็นการป้องกัน จึงได้ตรวจสอบบันทึกการต่อสู้ที่มีอยู่ทั้งหมดเกี่ยวกับอสูรเผ่ามาร พร้อมศึกษามาอย่างถี่ถ้วน ในสงครามที่ผ่านมา อสูรเผ่ามารมักจะมีความสัมพันธ์และตั้งท้องกับมนุษย์ ด้วยทัศนคตินิสัยที่ชอบดูถูกมาโดยกำเนิด มนุษย์ในเมืองจึงถูกทุบตีและได้รับการปฏิบัติเยี่ยงแรงงานทาส”
เมื่อได้ยินสิ่งที่จ้าวรุ่ยเจ๋อกล่าว ไป๋ชิวหรานก็พยักหน้าเบา ๆ
“จากสถานการณ์ คนที่ข้าส่งไปสอดแนมรายงานมาว่า ในเมืองที่ถูกอสูรเผ่ามารยึดครอง พวกมันต่างมุ่งเป้าไปที่การทำให้เผ่ามนุษย์อับอายขายหน้า ปล้นอาหารและเครื่องดื่ม ทว่านอกจากนั้นพวกมันกลับเอาแต่อยู่เฉย ๆ โดยไม่ทำอะไร จึงทำให้มีผู้ฝึกตนเพียงไม่กี่คนที่เสียชีวิตในความขัดแย้งระลอกแรก …ข้าดูไม่ออกเลยว่าพวกอสูรเผ่ามารตั้งใจจะทำอะไรกันแน่”
จ้าวรุ่ยเจ๋อกล่าว
“ราวกับ… กำลังแสร้งทำเป็นแสดงให้เห็นว่าพวกเขาไม่ได้เป็นศัตรูกัน”
“ทว่าครานี้ กองทัพอสูรเผ่ามารแปลกไปมาก”
ไป๋ชิวหรานกล่าว
“พวกเจ้ารู้ไหมว่าราชาอสูรสิ้นพระชนม์แล้ว?”
“ว่าไงนะ?”
จ้าวรุ่ยเจ๋อตกตะลึงแน่นิ่งไปชั่วครู่ ก่อนสีหน้าจะซีดเผือดด้วยความตกใจ
“ราชาอสูรตายแล้วงั้นเหรอ?”
ไป๋ชิวหรานพยักหน้า ดูเหมือนว่าซูเซียงเสวี่ยจะเป็นบุคคลแรกที่รู้เรื่องนี้จริง ๆ เครือข่ายข่าวกรองของนางมีประโยชน์ไม่น้อย
“ราชาอสูรสิ้นแล้ว แล้วพวกเขากล้าดีอย่างไรถึงมาสู้กับเผ่ามนุษย์?”
จ้าวรุ่ยเจ๋อเกาคางพร้อมกล่าว
“พวกเขาเพียงโง่เขลา… หรือไม่ก็มีแผนการอื่น”
“ข้าเกรงว่าจะมีแผนอื่น”
ไป๋ชิวหรานกล่าว
“นี่อาจเป็นแผนของอสูรเผ่ามาร เพราะไม่มีมนุษย์ธรรมดาคนไหนที่สามารถดำเนินการดังกล่าวได้”
“ไม่ว่าพวกเขาจะมีเจตนาอันใด เก้ามหาทวีปสิบแผ่นดินก็เป็นบ้านเกิดของเผ่ามนุษย์อย่างเราอยู่ดี”
จ้าวรุ่ยเจ๋อกล่าวอย่างหนักแน่น
“แขกที่ไม่ได้รับเชิญจะถูกขับไล่เมื่อย่างกรายเข้ามา!”
“ใช่แล้ว อย่าห่วงเลย”
ไป๋ชิวหรานกล่าว
“รอจนกว่าข้าจะไปยังเมืองที่กลุ่มปีศาจยึดครองเพื่อตรวจสอบและดูว่าพวกเขากำลังเล่นกลอะไรอยู่ แล้วเดี๋ยวเราก็จะได้รู้กันเสียที”