ข้าก็แค่กลั่นลมปราณ 3,000 ปี - บทที่ 117 ปัญหาต่อมลูกหมาก
หลังจากใช้เวลาหนึ่งคืนในการเดินเล่นในเมืองมนุษย์ที่ถูกยึดครองไปหลายแห่ง ไป๋ชิวหรานก็พบว่าอสูรเผ่ามารเหล่านี้ช่างซื่อสัตย์เสียจริง
ไม่ต้องพูดถึงการกลั่นแกล้ง อสูรเผ่ามารเหล่านี้ดูเหมือนเกรงกลัวว่าเผ่ามนุษย์จะสัมผัสเครื่องลายครามของพวกเขา อสูรมังกรกับอสูรเสือนั้นดุร้ายและทรงพลังมาก แม่ทัพของอสูรเผ่ามารกำลังเดินอยู่บนถนนเพื่อพบกับเผ่าพันธุ์มนุษย์
หลังการสังเกตการณ์ ไป๋ชิวหรานได้ยืนยันคำกล่าวอ้างของตัวเองว่า อสูรเผ่ามารเหล่านี้ไม่ได้ถูกขับเคลื่อนโดยเจตจำนงของราชาอสูรผู้ล่วงลับ แต่คงมาจากกองกำลังบางอย่างในอสูรเผ่ามาร
ในเมืองใกล้เคียงหลายแห่ง ไป๋ชิวหรานไม่ได้พบกับอสูรเผ่ามารที่เคยรู้จัก ชายหนุ่มจึงไม่สามารถบอกรายละเอียดของกองทัพอสูรเผ่ามารนี้ได้
ไม่มีการดำรงอยู่ระดับราชาหรือแม่ทัพอสูร บางคนเสียชีวิตในสงคราม บางคนสิ้นอายุขัยหรืออุบัติเหตุ หลังจากผ่านช่วงเวลาเหล่านั้นมา กองทัพของอสูรเผ่ามารก็มีผู้สืบทอดมากมายเกิดขึ้นนับไม่ถ้วน และไป๋ชิวหรานก็ไม่รู้อีกว่าคือใคร
ก่อนรุ่งสาง ชายหนุ่มกลับไปยังเสาบัญชาการแนวหน้าของกองทัพเทพยุทธ์พร้อมแจ้งจ้าวรุ่ยเจ๋อถึงสิ่งเหล่านี้
“ดูจากลักษณะท่าทีของพวกเขาแล้ว ข้าเกรงว่าอาจจะมีเรื่องอยากจจะเจรจากับเรา”
หลังจากที่จ้าวรุ่ยเจ๋อได้ยินเรื่องนี้ เขาจึงพูดขึ้นทันที
“บางทีพวกเขาอาจจะขออะไรบางอย่าง”
“อืม ผู้บัญชาการจ้าวมีความคิดที่เฉียบคมมาก”
ไป๋ชิวหรานรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย
“บรรพชนสำนักกระบี่ชิงหมิง อย่าลืมสิว่าพวกเราเป็นทหาร”
จ้าวรุ่ยเจ๋อโบกมือกล่าว
“นอกจากจะอยากยอมรับคำแนะนำที่ว่าแล้ว ก็ไม่มีกองทัพไหนที่ทหารจะหวาดกลัวก่อนสู้รบ!!”
“ข้าจะส่งสารไปบอกอวี้เมี่ยนฝู”
ไป๋ชิวหรานตอบกลับ
“ข้าคุยกับเขาแล้ว”
เมื่อจ้าวรุ่ยเจ๋อได้ยินดังนั้นจึงเอ่ยถาม
“แล้วอวี้เมี่ยนฝูว่าอย่างไรบ้าง? เขาจะสู้หรือถอนตัว?”
“รอให้พวกเขาแข็งแกร่งกว่านี้ก่อน เมืองที่กำลังปกครองอยู่เป็นจุดอ่อนและอุปสรรคในการต่อรองนัก”
ไป๋ชิวหรานกล่าว
“ไม่ควรประมาทเกินไป แม้เราจะสู้ได้ ทว่าอาจสูญเสียไปหลายชีวิต มารอดูก่อนเถิดว่าอสูรเผ่ามารเหล่านี้จะทำอันใด”
ด้วยการตัดสินใจที่จะแน่วแน่ ทั้งสองกลุ่มจะเผชิญหน้ากันอย่างสันติและไม่ใช่ความรุนแรงใด ๆ
หลายวันต่อมา ซูเซียงเสวี่ยได้ให้ศิษย์สายตรงอย่างโหมยเหมยเฉียว ดูแลสำนักเหอฮวนไว้แล้ว นางจึงรีบเดินทางมาที่นี่ทันที เมื่อมาถึงไป๋ชิวหรานก็ได้อธิบายสถานการณ์ให้ฟัง
บางทีข่าวการมาถึงของเจ้าสำนักเช่นนาง อาจจะเป็นที่รู้ไปถึงหูพันธมิตรผู้ฝึกตนฝ่ายมารแล้วก็ได้ และคงส่งทูตเชื่อมสัมพันธ์มาเจรจา
หลังจากได้รับข่าว จ้าวรุ่ยเจ๋อสั่งให้คนนำพาไปหาไป๋ชิวหราน ซูเซียงเสวี่ย และอวี้เมี่ยนฝูทันที
อสูรงูเป็นทูตเชื่อมสัมพันธ์ในครั้งนี้ เมื่อเห็นไป๋ชิวหรานยืนอยู่ พลันร่างเริ่มสั่นเทา ขาแข้งอ่อนแรงลงก่อนจะคุกเข่าลงกับพื้น
“สหายอสูร ลุกขึ้นเถิด”
อวี้เมี่ยนฝูเผยศิลาสื่อสารออกมา เขายิ้มอย่างขมขื่นก่อนจะกล่าว
“คนผู้นี้ไม่ได้ชอบกดขี่ใครอย่างที่เจ้าคิด ฉะนั้นจงรีบแจ้งจุดประสงค์มา”
“ขอรับ นายท่าน”
ชายอสูรเผ่ามารยืนขึ้น ทว่ายังคงก้มหน้างุดไม่กล้ามองชายหนุ่ม
“ข้าเป็นตัวแทนของท่านราชาอสูร มาพบบรรพชนสำนักกระบี่ชิงหมิงและเจ้าสำนักพุทธเทียนเซิ่ง”
ไป๋ชิวหรานกับอวี้เมี่ยนฝูยืนมองหน้ากันบนศิลาสื่อสาร ไป๋ชิวหรานจึงถาม
“เจ้าเป็นตัวแทนของราชาอสูรองค์ไหน?”
“ข้ารับใช้ราชาอสูรหลายพระองค์ขอรับ”
ทูตเชื่อมสัมพันธ์อสูรเผ่ามารก้มหัวต่ำลงอีก
“ราชางู ราชาจระเข้ ราชานกอินทรี ราชาดอกไม้”
“โอ้ อสูรเผ่ามารเริ่มมีพันธมิตรแล้วสินะ”
ไป๋ชิวหรานหัวเราะเบา ๆ แล้วหันไปมองหน้าอวี้เมี่ยนฝูและซูเซียงเสวี่ยก่อนจะพูดกับเจ้าสำนักพุทธเทียนเซิ่ง
“พันธมิตร?”
“ท่านบรรพชนสำนักกระบี่ชิงหมิง ข้าไม่ผิดหวังที่ฝากเรื่องนี้ไว้กับท่านดูแล”
อวี้เมี่ยนฝูพยักหน้า
“ท่านเจ้าสำนักซู นี่เป็นเรื่องที่ท่านไม่สามารถแทรกแซงได้”
ในฐานะผู้นำของพันธมิตร อวี้เมี่ยนฝูไม่ได้กังวลเรื่องความปลอดภัยของไป๋ชิวหรานกับซูเซียงเสวี่ย ทว่าจะเป็นกังวลมาก หากเชิญผู้นำระดับสูงมาอยู่ในเมืองที่มีแต่อันตราย!
“ข้าจะไปด้วย”
ซูเซียงเสวี่ยลุกขึ้นกล่าวโดยไม่ลังเล
ภายใต้การคุ้มกันของใครบางคน จ้าวรุ่ยเจ๋อ ไป๋ชิวหราน และซูเซียงเสวี่ยได้ติดตามทูตอสูรไปตลอดทาง ผ่านช่องว่างมิติ จากนั้นคนทั้งทั้งหมดก็เข้าสู่โลกมาร
นอกเหนือจากพลังวิญญาณที่แข็งแกร่งและความจริงที่ว่า ผู้อยู่อาศัยล้วนเป็นอสูรมารทั้งหมด สภาพแวดล้อมของโลกมารไม่แตกต่างจากสภาพแวดล้อมของเก้ามหาทวีปสิบแผ่นดินมากนัก อย่างน้อยก็ไม่ทำให้ไป๋ชิวหรานกับซูเซียงเสวี่ยรู้สึกว่ามาเพื่อเจอกับเศษซากอารยธรรม
แก่นแท้ของพลังวิญญาณที่แข็งแกร่งของโลกมารเล็กกว่าเก้ามหาทวีปสิบแผ่นดินเกือบครึ่ง ทำให้อสูรเผ่ามารไม่ได้ดูแลปรนนิบัติสิ่งมีชีวิตในที่แห่งนี้อย่างดีคล้ายกับญาติพี่น้องของตน
อสูรมารมักจะดูถูกเผ่าพันธุ์มนุษย์ เพราะคิดว่ามีศักยภาพด้อยกว่าตน ที่สามารถแปลงร่างได้ วิถีแห่งสวรรค์ทำให้พวกเขากลายเป็นมนุษย์ นั่นช่างน่าขันยิ่งนักสำหรับอสูรเผ่ามาร
ยิ่งไปกว่านั้นเผ่าพันธุ์มนุษย์ยังได้กำหนดแนวป้องกันไว้ หลังจากที่ไป๋ชิวหรานได้กระทำครั้งล่าสุด ทำให้อสูรเผ่ามารยิ่งระมัดระวังตัวแจมากขึ้นเพื่อป้องกันความแตกแยก
แม้จะไปสามารถรับมือได้ ทว่าต้องมีมนุษย์สองสามคนมีชีวิตรอดปลอดภัย เพื่อที่จะได้แจ้งให้คนอื่น ๆ อพยพได้ทัน
ไป๋ชิวหรานมองไปยังทูตของอสูรเผ่ามาร ยามเผชิญหน้ากับอสูรเผ่ามารที่เฝ้าอยู่หน้าประตูเขาดูเย่อหยิ่งนัก ชายหนุ่มกระซิบซูเซียงเสวี่ยที่อยู่ด้านข้าง
“ดูเหมือนว่าทางเข้าและทางออกจะถูกราชาอสูรควบคุมไว้”
“ผู้บังคับบัญชากับผู้ใต้บังคับบัญชาของอสูรเผ่ามารช่างเด็ดเดี่ยวทั้งคู่ ส่วนอสูรเผ่ามารระดับบนและล่าง ทั้งสองเผ่าพันธุ์แทบจะยุ่งเกี่ยวข้องกันเลย เป็นเรื่องปกติที่ทูตคนนี้จะแสดงกิริยาเช่นนั้น”
ซูเซียงเสวี่ยอธิบายเสียงต่ำ
“เป็นเรื่องง่ายสำหรับราชาอสูรที่จะควบคุมที่แห่งนี้ ทางนี้เป็นทางที่เผ่าอสูรผ่าน ทว่าก็ไม่มีใครพึงพอใจกับเส้นทางนี้นัก แต่หากมีใครคิดริเริ่มที่จะต่อต้านล่ะก็… กองกำลังที่ถือครองทางเข้าออกจะยอมแพ้ไปโดยปริยาย”
“เพราะเหตุใด?”
ไป๋ชิวหรานงงงวย
“ทางเข้าออกนี้เป็นช่องทางเดียวสำหรับโลกมาร ที่สามารถเชื่อมต่อกับเก้ามหาทวีปสิบแผ่นดินได้”
ซูเซียงเสวี่ยเหลือมองชายหนุ่มนิ่ง
“เพราะเจ้านั่นแหละ”
“นี่ รู้วิธีใส่ร้ายกันดีเสียจริง”
ไป๋ชิวหรานกล่าวอย่างโกรธเคือง
“ข้าเหมือนคนประเภทที่สังหารทั้งครอบครัวโดยไม่กล่าวอะไรหรือ?”
“แต่หากมองจากมุมของพวกมารอสูร ทั้งหมดก็เป็นเพราะท่าน”
ซูเซียงเสวี่ยกล่าว
“ครั้งที่ท่านสังหารราชาและราชินีอสูร ตอนนั้นท่านได้ทำลายกลุ่มอำนาจของอสูรเผ่ามารอย่างร้ายแรง”
ไป๋ชิวหรานถอนหายใจ
“ตระกูลอสูรเผ่ามารช่างโง่เขลา ถือความเย่อหยิ่งและอคตินัก!”
ซูเซียงเสวี่ยเพิกเฉยต่อคำพูดของชายหนุ่ม ทั้งสองเดินผ่านประตูด้วยความน่าเกรงขาม เมื่อไป๋ชิวหรานเปิดทางผ่าน เหล่าทหารทั้งหมดที่เฝ้าอยู่พลันร่างสั่นเทา
ทูตของอสูรเผ่ามารที่นำทางไปก็เปลี่ยนท่าที ความเย่อหยิ่งของเขาพลันหายไป ตัวสั่นเป็นครั้งคราวตลอดทาง ราวกับผู้ป่วยสันนิบาต
“ข้าบอกแล้ว”
ไป๋ชิวหรานมองดูแผ่นหลังของเขาพร้อมตะโกน
ทูตจากอสูรเผ่ามารหวาดกลัวไป๋ชิวหรานจนแทบกระโดดหนี เขาก้มหน้าลงทันทีพร้อมกล่าว
“ขอรับ! ท่านบรรพชนสำนักกระบี่ชิงหมิงว่าอย่างไรนะขอรับ?”
“หึ… เจ้ามีปัญหาที่ต่อมลูกหมากหรือไง?”
ไป๋ชิวหรานกล่าวเชิงหยอกล้อ
“หากอยากเข้าห้องน้ำก็ไปเถิด พวกข้ารอได้ ตัวสั่นระริก ก้มหัวตลอดเวลาเช่นนี้ ดูน่ารำคาญเสียจริง”
…