ข้าก็แค่กลั่นลมปราณ 3,000 ปี - บทที่ 118 ข้อตกลงแสนท้าทาย
แท้จริงตัวแทนอสูรเผ่ามารไม่ได้ต้องการถ่ายเบาแต่อย่างใด…
ถึงอย่างไรทูตตนนี้ก็เป็นตัวแทนของราชาอสูร ซึ่งถือว่าเป็นอสูรระดับสูงในหมู่อสูรเผ่ามาร หากไม่ใช่เรื่องเร่งด่วน… เขาก็ไม่นึกใส่ใจอยู่ดี
ทว่าเมื่อตัวแทนอสูรเผ่ามารเห็นท่าทีเหลืออดของไป๋ชิวหราน เขาเกรงว่าอีกฝ่ายจะทนไม่ไหวและลงไม้ลงมือกับตนในที่สุด จึงยอมทำตามคำพูดของชายหนุ่ม โดยแสร้งว่าเดินเข้าไปถ่ายเบาในป่าใกล้ ๆ
แน่นอนว่าเขาไม่ได้ไปปัสสาวะ ทว่าหยิบโอสถสงบใจขึ้นมาดื่ม
หลังจากโอสถไหลผ่านลำคอ ฤทธิ์เย็นไหลเวียนทั่วสรรพกาย ตัวแทนราชาอสูรสงบนิ่งลงมาก อย่างน้อยคงไม่ตัวสั่นราวถูกตะแกรงร่อนเมื่ออยู่ต่อหน้าไป๋ชิวหราน
เวลาพ้นผ่านสองวันสามคืน ในที่สุดก็พาไป๋ชิวหรานและซูเซียงเสวี่ยมาถึงปราสาทบนยอดเขา ชายหนุ่มไม่อาจรู้ได้ว่าราชาอสูรตนใดอยู่ในปราสาทแห่งนี้ ทว่าที่แห่งนี้ถูกสร้างมาได้ราวสองพันปีแล้ว
“ราชาอสูรอยู่ด้านในขอรับ”
ฝีเท้าตัวแทนราชาอสูรหยุดลงหน้าโถงใหญ่ภายในปราสาท ก่อนโค้งคำนับ
“บรรพชนสำนักกระบี่ชิงหมิง ท่านเจ้าสำนัก เรียนเชิญ”
ศิษย์ที่ยืนขนาบทั้งสองข้างตรงลาน พวกเขาเปิดประตูให้ไป๋ชิวหรานกับซูเซียงเสวี่ยเข้ามา ทั้งคู่สบตากันเล็กน้อยก่อนจะก้าวเข้าไปที่กลางโถง
แสงไฟภายในโถงช่างสลัว ดูท่าเจ้าของที่นี่คงจะไม่ถูกกับที่สว่างนัก เมื่อไป๋ชิวหรานกับซูเซียงเสวี่เข้ามาด้านใน ประตูด้านหลังก็ปิดตามลงมา แสงสว่างเลือนรางจากสักแห่งในโถงส่องลอดเข้ามาภายใน
“ยินดีต้อนรับ บรรพชนสำนักกระบี่ชิงหมิงแห่งเผ่ามนุษย์ ท่านเจ้าสำนักหญิงผู้ยิ่งใหญ่”
เสียงดังมาจากที่นั่งกลางโถง ไป๋ชิวหรานกับซูเซียงเสวี่ยมองตามเสียงไป แสงพร่ามัวไม่อาจบดบังวิสัยทัศน์ได้ พวกเขาจึงเห็นบุรุษท่าทีเคร่งขรึมนั่งไขว้ห้างอยู่ท่ามกลางความมืดมิด เสื้อคลุมสีดำถูกสวมใส่บนร่าง พร้อมปานดำบนแก้ม
เบื้องหน้ามีโต๊ะเล็กที่วางอาหารเลิศรสไว้ มือหนึ่งถือจอกสุรา ก่อนยกขึ้นทักทายไป๋ชิวหรานและซูเซียงเสวี่ย
ซูเซียงเสวี่ยไม่ทักทายกลับ ทว่าไป๋ชิวหรานกล่าวทักกลับไป
“ข้าไม่เคยเห็นหน้าท่านมาก่อน เป็นราชาอสูรคนใหม่หรือ?”
อีกฝ่ายไม่ยอมรับและไม่ปฏิเสธ เพียงแค่ยกมือขึ้นแล้วกล่าวบางอย่าง
“พวกท่านเดินทางไกลคงลำบากแย่ นั่งทานอาหารก่อนเถิด”
โคมไฟสองดวงพลันส่องสว่างขึ้นท่ามกลางความมืด ถัดไปปรากฏโต๊ะอาหารเล็ก มีชุดอาหารเหมือนกับสิ่งที่อยู่บนโต๊ะหน้าราชาอสูรพร้อมด้วยจอกสุรา
ไป๋ชิวหรานปลดจื่อเซียนที่แขวนอยู่ที่เอวลง ก่อนจะก้าวไปนั่งบนเบาะด้านหลังโต๊ะ ขณะที่ซูเซียงเสวี่ยนั่งลงข้างกัน ไป๋ชิวหรานหยิบตะเกียบ แต่กลับยื่นออกไปทางโต๊ะอาหารของซูเซียงเสวี่ย พลางคีบอาหารขึ้นมาชิมทีละจาน ก่อนจะยกจอกสุราของนางขึ้นจิบและบอก
“กินได้ ไม่มีโอสถพิษ”
“บรรพชนสำนักกระบี่ชิงหมิงช่างระแวงราชาตนนี้นัก ข้าไม่ได้มีพิษภัยแต่อย่างใด”
บุรุษน่าเกรงขามเอ่ย
“ก่อนหน้านี้การกระทำของข้าในเก้ามหาทวีปสิบแผ่นดิน ยังไม่เพียงพอจะแสดงเจตนาของข้าอีกหรือ?”
“เสียงพูดดังกว่าเสียงร้อง*[1] มีใครในอสูรเผ่ามารบ้างเล่าที่ไม่ต้องการกำจัดข้า?” ไป๋ชิวหรานกล่าววาจาถากถาง
“อีกทั้งพิษงูของท่านยังลอยฟุ้งไปทั่วทันทีที่เราเข้ามาถึงที่นี่ คิดว่าข้าจะไม่ได้กลิ่นหรืออย่างไร?”
อีกฝ่ายผงะไปชั่วขณะ ใบหน้าหม่นหมองลง
เขาสูดหายใจเข้าลึก ๆ ก่อนกลิ่นหล่านั้นจะจางหายไปในทันควัน
“เป็นปกติของพลังข้า บรรพชนสำนักกระบี่ชิงหมิงอย่าได้เข้าใจผิด ข้าไม่ได้มีเจตนาร้าย”
เขารีบเอ่ยอธิบาย
ไป๋ชิวหรานแสดงอาการฟึดฟัด เห็นได้ชัดว่าไม่เชื่อ
“เข้าเรื่องกันเถิด ข้าเชิญบรรพชนสำนักกระบี่ชิงหมิงกับเจ้าสำนักมาเพื่อขอความร่วมมือ ดังนั้นคงจะโง่เขลาเกินไปหากกระทำการโดยไม่ได้หารือกันก่อน”
หลังครุ่นคิดครู่หนึ่ง เขาก็กล่าวคำ
“ชื่อเสียงของบรรพชนสำนักกระบี่ชิงหมิงเลื่องลือในอสูรเผ่ามารมานานนับสองพันปี ข้าไม่ขลาดเขลาจนคิดจะใช้เล่ห์กลโจมตีเผ่ามนุษย์ที่มีบรรพชนสำนักกระบี่ชิงหมิงร่วมปกครอง”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ ไป๋ชิวหรานจึงนึกเชื่อขึ้นมาบ้าง
ชายหนุ่มยกจอกเหล่าตรงหน้าขึ้น พลางออกปากถาม
“บอกมา เหตุใดถึงรีบร้อนปานนี้ ท่านต้องการพบเราสองคนด้วยเหตุใด?”
อีกฝ่ายไตร่ตรองครู่หนึ่ง ก่อนถามกลับ
“พวกท่านรู้สถานการณ์ในตอนนี้ของราชาอสูรองค์ก่อนหรือไม่?”
“ไม่อาจรู้ได้”
ไป๋ชิวหรานไม่สนใจคนที่นั่งอยู่ท่ามกลางความมืดสลัวรอบกาย ชายหนุ่มยกจอกสุราขึ้นดื่มรวดเดียว ก่อนจงใจเรอเสียงดังออกมา
“เขาถูกฝังหรืออยู่ในสภาพใดเล่า?”
“ดูเหมือนบรรพชนสำนักกระบี่ชิงหมิงจะรู้ข่าวเรื่องการสิ้นชีพของราชาอสูรแล้ว”
ชายน่าเกรงขามหัวเราะก่อนเอ่ย
“องค์จักรพรรดิมีความสามารถยิ่ง ชื่อเสียงเลื่องลือไปไกลนัก”
เขาตบมือเบา ๆ พลันโคมไฟรอบข้างค่อย ๆ ส่องสว่างทีละดวง เผยร่างอสูรอีกสามตนในความมืด
พวกเขาเป็นชายร่างใหญ่ มีกรงเล็บคมคล้ายจระเข้ มีเขี้ยวเต็มปาก ฝ่ายบุรุษมีปีกสีทองด้านหลัง ฝ่ายสตรีมีดอกไม้ประดับอยู่ข้างขมับ
พวกเขานั่งเคียงข้างชายท่าทีน่าเกรงขาม จับจ้องมาทางไป๋ชิวหรานและซูเซียงเสวี่ย
“เคารพบรรพชนสำนักกระบี่ชิงหมิงและท่านเจ้าสำนัก”
ชายที่มีท่าทีเคร่งขรึมเอ่ยขึ้น
“เราเชิญท่านมาเพื่อเจรจาหารือ”
ซูเซียงเสวี่ยยังคงนิ่งเงียบ ในขณะที่ไป๋ชิวหรานถามขึ้น
“มีเงื่อนไขอันใดหรือไม่?”
“ราชาอสูรสิ้นชีพจากไปแล้ว ไร้ทายาทสืบทอด ข้าคิดว่าพวกท่านคงแจ้งแก่ใจถึงผลที่ตามมาดี จึงไม่ขอพูดถึง”
คนพูดหันมองหน้าซูเซียงเสวี่ย
“องค์หญิง ท่านสืบสายเลือดบริสุทธิ์จากราชาอสูร ข้าอยากเชิญท่านมาเป็นผู้นำ ให้เราแต่งตั้งท่านสืบทอดบัลลังก์ด้วยเถิด”
“องค์ชายอสรพิษดำ”
ซูเซียงเสวี่ยส่งสีหน้าไม่สบอารมณ์
“ข้าคิดว่าบอกท่านผ่านชุ่ยหลัวไปหลายคราแล้ว ตัวข้า เซียงเสวี่ย เป็นเผ่ามนุษย์ จะสืบทอดบัลลังก์ต่อจากราชาอสูรได้อย่างไร?”
“เราไม่ให้ท่านเป็นผู้นำโดยไร้เงื่อนไขเป็นแน่”
เขาเงียบไปชั่วขณะ ก่อนจะหันมองไป๋ชิวหราน
“ในขณะเดียวกัน เราอยากเชิญบรรพชนสำนักกระบี่ชิงหมิงเข้าร่วมสงครามที่กำลังจะเกิดขึ้นด้วย”
“ว่าอย่างไรกัน?”
ทันทีที่สิ้นเสียง ไป๋ชิวหรานยังตกตะลึงไปพักใหญ่ ก่อนยกมือขึ้นชี้หน้าเจ้าของคำพูดแล้วหัวเราะออกมา
“รู้หรือไม่ว่าเจ้าแข็งแกร่งจนไม่ต้องชักหมาป่าเข้าบ้าน*[2] เช่นนี้?”
“ข้ารู้ดี”
เขาพยักหน้าขึงขัง กล่าวคำ
“แต่ข้ารู้ดีกว่าว่าตนไม่อาจเลี่ยงหมาป่าได้เช่นกัน หากไม่ลองดู คงไม่มีทางชนะได้แน่”
“ดี ช่างเด็ดเดี่ยวกล้าหาญ”
ไป๋ชิวหรานลุกขึ้น มองหน้าอีกฝ่าย
“เช่นนั้นจะขอให้ข้าช่วยเจ้าสู้สินะ แล้วมีปัญญาให้สิ่งตอบแทนมากเพียงไหนกัน?”
“ไม่ว่าจะเป็นสิ่งใด ขอเพียงบรรพชนสำนักกระบี่ชิงหมิงบอกมา”
เขาตบมือแผ่วเบา พลันประตูเปิดอ้าออก อสูรรับใช้สาวสวมเสื้อผ้าน้อยชิ้นเดินเข้ามา สองมือถือถาดก่อนจะคุกเข่าลงต่อหน้าไป๋ชิวหราน
“อะไรกัน?”
ซูเซียงเสวี่ยหน้านิ่วถามขึ้น
ในถาดที่อสูรรับใช้สาวถืออยู่มีเพียงหนังสัตว์เก่า ๆ มันดูเหมือนชิ้นส่วนที่ถูกฉีกขาดมา
“นี่เป็นส่วนหนึ่งของแผนผังสุสานจักรพรรดิ เป็นบรรพบุรุษรุ่นแรกของอสูรเผ่ามาร”
องค์ชายอสรพิษดำ บุรุษผู้น่าเกรงขามเอ่ยคำ
[1] เสียงพูดดังกว่าเสียงร้อง หมายถึงพูดง่ายกว่าทำ การกระทำสำคัญกว่าคำพูด
[2] ชักหมาป่าเข้าบ้าน หมายถึงการชักน้ำเข้าลึก ชักข้าศึก หรือเหล่าอริศัตรูเข้ามาเยือนถึงถิ่น