ข้าก็แค่กลั่นลมปราณ 3,000 ปี - บทที่ 120 กลิ่นอายรักวัยชรา
“ตกลง”
ไป๋ชิวหรานพยักหน้ารับ ขณะที่ซูเซียงเสวี่ยสั่งอสูรสาวรับใช้ที่นั่งอยู่ตรงหน้า
“เจ้าไปได้แล้ว ไม่จำเป็นต้องอยู่ที่นี่”
“เดี๋ยวก่อน”
องค์ชายอสรพิษดำยกมือขึ้นห้าม
“บรรพชนสำนักกระบี่ชิงหมิง… ท่านโปรดรับสิ่งนี้เอาไว้เถิด”
“โอ้?”
ไป๋ชิวหรานยิ้มก่อนเอ่ย
“ท่านไม่กลัวว่าข้าจะนึกเปลี่ยนใจหนีไปหลังจากได้สิ่งที่ต้องการหรือ?”
“หากนึกเปลี่ยนใจหนีแล้วกลับไป ด้วยความสามารถของท่าน เราคงไม่อาจห้ามได้ อีกทั้งได้นำชิ้นส่วนแผนผังนี้มาให้เห็นแล้ว หากไม่ยกให้ท่านโดยดี… ท่านคงจะฆ่าพวกเราทุกคนแล้วชิงแผนผังชิ้นนี้หนีไป เช่นนั้นเราควรให้สิ่งตอบแทนล่วงหน้า แน่นอนว่าจะรักษาสัญญาในภายภาคหน้าหรือไม่ นั่นเป็นเรื่องของท่าน เราไม่อาจเข้าไปก้าวก่ายได้”
องค์ชายอสรพิษดำกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“ทว่าหากทำเช่นนั้น อย่าว่าแต่ชื่อเสียงที่มีมาช้านานในเผ่าอสูรเลย ชื่อเสียงของท่านในเก้ามหาทวีปสิบแผ่นดินคงได้รับผลกระทบไปด้วย แล้วบรรพชนสำนักกระบี่ชิงหมิงจะเลือกทำอย่างไรเล่า?”
“ฮึม เจ้าคิดผิดแล้ว ข้ามีชีวิตอยู่มาเนิ่นนาน การนับหน้าถือตา ชื่อเสียง ล้วนไม่ได้สำคัญมานานแล้ว”
ขณะพูดชายหนุ่มหยิบชิ้นส่วนแผนผังจากถาดในมืออสูรสาวรับใช้
“แต่ข้าได้ลั่นวาจาไปแล้วว่าไป๋ชิวหรานจริงใจกับผู้คนเสมอ ในเมื่อตกลงเป็นมั่นเป็นเหมาะ ข้าจะช่วยท่านตามที่รับปากไว้…รอให้กองกำลังจากทั้งสองค่ายร่วมมือกัน แล้วหลังจากนั้นจะช่วยท่านกวาดล้างเอง”
องค์ชายอสรพิษดำนิ่งเงียบ เพียงยกจอกสุราขึ้นแสดงความขอบคุณไป๋ชิวหราน
หลังจากนี้เป็นช่วงเวลางานเลี้ยงอย่างเป็นทางการ องค์ชายอสรพิษดำปรบมือเรียกอสูรอสรพิษสาวงามหลายตนเข้ามาระบำกลางโถงเพื่อความบันเทิง
อสูรอสรพิษเหล่านี้ดวงหน้างดงาม ร่างกายเย้ายวน เกล็ดบนใบหน้าไม่ได้บั่นทอนความงาม กลับยิ่งชวนให้น่าหลงใหล
ด้วยความเป็นเผ่าพันธุ์งู ร่างกายพวกนางยืดหยุ่นมากเกินขีดจำกัดของมนุษย์ ร่างกายที่ราวกับไร้กระดูกเต็มเปี่ยมแรงดึงดูดบุรุษทั้งหลาย
ทว่าดูเหมือนการปรากฏตัวของพวกนางจะทำให้ซูเซียงเสวี่ยไม่สบอารมณ์นัก องค์ชายอสรพิษดำสังเกตเห็น เมื่อเห็นความขุ่นเคืองในสายตาของซูเซียงเสวี่ย และทั้งไป๋ชิวหรานไม่แสดงท่าทีสนใจ เขาจึงโบกมือไล่นางระบำอสูรอสรพิษสาวกลับออกไป
หมดสุราจอกที่สาม สุราที่องค์ชายอสรพิษดำตระเตรียมรสชาติถูกปาก อาหารอร่อยล้ำ แต่เพราะไป๋ชิวหรานอยู่ที่นี่ องค์ชายอสูรทั้งหมดกลับรู้สึกว่ารสชาติของทุกสิ่งกลับเฝื่อนลิ้นไปเสียหมด
ไป๋ชิวหรานกับซูเซียงเสวี่ยนั่งเคียงข้างกัน ทำให้พวกเขาไม่กล้าพูดคุยหรือหัวเราะเสียงดังนัก
จบงานเลี้ยง องค์ชายอสรพิษดำเตรียมที่พักในปราสาทไว้ให้ไป๋ชิวหรานกับซูเซียงเสวี่ย จากท่าทีของนางก่อนหน้านี้ เขาจึงเตรียมห้องติดกันเอาไว้เป็นการเฉพาะ แม้จะไม่ตรงไปตรงมาถึงขั้น ‘ในปราสาทนี้มีเหลือเพียงห้องเดียว’ แต่ทั้งสองห้องก็อยู่ติดกันในเรือนหลังเล็ก มีเพียงผนังบาง ๆ กั้นกลางเท่านั้น
เมื่อเข้ามาในห้องพัก ไป๋ชิวหรานปิดประตูก่อนกางอาณาเขตไม่ให้ผู้อื่นเข้ามาสอดแนม ไม่ต้องมีคำพูดใด ๆ เขารั้งกายซูเซียงเสวี่ยเข้ามาให้ห้องทันที
“เกิดสิ่งใดขึ้น?”
ทันทีที่ก้าวเข้าพ้นประตูห้อง เขาเอ่ยปากถามนางทันที
“ครั้งนี้เจ้ารีบร้อนค้นหาสุสานจักรพรรดิบรรพบุรุษรุ่นแรกมากเกินไป บอกไปกี่ครั้งแล้ว ว่าต้องนึกถึงความต้องการของตนเองก่อนช่วยข้า…”
ชายหนุ่มไม่อาจพูดต่อได้เพราะซูเซียงเสวี่ยยื่นมือออกมาปิดปากเขาแล้ว
กลิ่นหอมจางโชยมาจากร่างกายนาง ชวนให้ไป๋ชิวหรานจิตใจสั่นไหวเล็กน้อย
ถึงอย่างไรเขาก็บริสุทธิ์ผุดผ่องมานานกว่าสามพันปี ไร้ประสบการณ์ลงสมรภูมิทำนองนี้ แม้จะบอกเสมอว่าตนผ่านโลกมามาก แต่เมื่อรู้ว่าซูเซียงเสวี่ยยังไม่เคยผ่านมือชาย หัวใจหนักแน่นของชายหนุ่มก็อดเต้นระรัวเมื่อเผชิญหน้ากับนางไม่ได้
“ได้ช่วยท่านในยามที่ช่วยได้ เป็นความต้องการของข้า”
ซูเซียงเสวี่ยช้อนตามองไป๋ชิวหราน แพขนตายาวขยับไหวเบา กล่าวคำอ่อนโยน
“ท่านยังไม่เข้าใจอีกหรือ หรือเพียงแสร้งไม่รับรู้กันแน่?”
ยามนี้เองที่ไป๋ชิวหรานเข้าใจความหมายคำในตำราที่ว่า ‘สิ่งที่ยากที่สุดคือการทานทนเสน่ห์สาวงาม’
“ข้าอาจรับรู้สิ่งที่เจ้าต้องการบอกแล้วก็ได้…”
ไป๋ชิวหรานหน้าแดงเรื่อเป็นครั้งแรกในชีวิต เขาพลันหลบตาฝ่ายตรงข้าม
“เช่นนั้นตอนนี้ข้าก็ไม่เร่งรัดเอาคำตอบจากท่าน”
ซูเซียงเสวี่ยก้าวถอยหลังพร้อมรอยยิ้มกว้าง สงบจิตใจที่เต้นรัวก่อนกล่าวคำ
“ท่านรู้ว่าข้าคิดอย่างไร”
“เอ่อ… แต่ถึงอย่างนั้น ข้าจะให้เจ้าช่วยอย่างเดียวไม่ได้”
ไป๋ชิวหรานเอ่ย
“ข้าขอร้อง ให้ข้าตอบแทนบางอย่างกับเจ้าเถิด ไม่เช่นนั้นคงรู้สึกผิดไม่น้อย”
“ฮ่า ๆ ท่านมักไม่ไว้หน้าคนแปลกหน้า แต่กลับขี้เกรงใจคนสนิทนัก”
นางอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา
“เอาล่ะ ในเมื่อท่านพูดขนาดนี้ เช่นนั้นข้าจะขอให้ช่วยสามอย่าง”
“ว่ากล่าวมาเถิด”
ไป๋ชิวหรานตอบรับโดยไม่ลังเล
“ไม่กลัวว่าข้าจะให้ท่านทำลายโลกหรือ?”
ซูเซียงเสวี่ยกล่าวหยอกเย้า
“เจ้ารู้ดี ข้าเองเคยเป็นหนึ่งในอสูรร้าย”
“ข้ารู้”
ไป๋ชิวหรานว่าเสียงหนักแน่น
“แม่นางซูมีจุดยืนของตน ไม่มีทางให้ข้าทำเรื่องเลวร้ายเด็ดขาด”
“เซียงเสวี่ย”
“หืม? อะไรหรือ?”
“…หมายถึงให้เรียกว่าเซียงเสวี่ย ต่อไปท่านต้องเรียกหาข้าเช่นนี้”
ซูเซียงเสวี่ยกล่าวกำชับ
“เช่นเดียวกัน ต่อไปหากเรียกท่านว่าชิวหราน ท่านต้องขานรับคำข้า นี่เป็นคำขอแรก”
“ได้ ย่อมได้”
กลิ่นอายรักวัยชราค่อย ๆ อบอวลให้สัมผัสได้
“เซียง…เซียงเสวี่ย”
“อืม”
ใบหน้าซูเซียงเสวี่ยพลันแดงระเรื่อ ทว่านางยังพยายามเก็บสีหน้าเขินอาย ก่อนจะตะโกนกลับไป
“ชิวหราน!”
“หืม…”
ชายหนุ่มขานรับเสียงแผ่วเบา ก่อนความเงียบงันยาวนานจะมาเยือน ไป๋ชิวหรานกับซูเซียงเสวี่ยต่างแหงนมองฟ้า ก้มมองพื้น บรรยากาศภายในห้องชวนใจเต้นขึ้นทุกที
หัวกะโหลกที่แขวนอยู่ที่เอวไป๋ชิวหรานอดพูดออกมาไม่ได้ในท้ายที่สุด
“จะว่าไปแล้ว พวกเจ้าคนหนึ่งนับได้ว่าเป็นบรรพชนแห่งเผ่ามนุษย์มานานกว่าสามพันปี อีกคนเป็นเจ้าสำนักเหอฮวนที่อายุเกือบพันปีแล้ว แค่เรียกชื่ออย่างเป็นกันเองทำให้เป็นถึงขนาดนี้เลยหรือ? เป็นหนุ่มสาวไร้เดียงสาที่เพิ่งมีรักแรกหรืออย่างไร?”
ซูเซียงเสวี่ยจ้องจื้อเซียนเขม็งอย่างไม่พอใจ ขณะที่ไป๋ชิวหรานกระแอมและเอ่ยขึ้น
“จริงสิ เซียงเสวี่ย ถึงเวลาต้องคุยเรื่องจริงจังกันแล้ว”
“กล่าวมาเถิด”
ซูเซียงเสวี่ยถอนหายใจ ขยับเก้าอี้มานั่งลงตรงข้ามไป๋ชิวหราน
“อย่ามาโทษข้านะ เจ้าเด็กน้อย ทุกอย่างมันมากเกินไป…”
จื้อเซียนบอกซูเซียงเสวี่ยอย่างไม่เป็นเดือดเป็นร้อน ก่อนหันไปกล่าวกับไป๋ชิวหราน
“ท่านไป๋ เอาชิ้นส่วนแผนผังออกมาให้ข้าดูที”
ชายหนุ่มพยักหน้าก่อนจะหยิบแผนผังออกมา จื้อเซียนใช้เพลิงวิญญาณตรวจสอบก่อนจะกล่าวคำ
“ชิ้นส่วนแผนผังนี้ เป็นหนึ่งในสามของแผนผังทั้งหมด”