ข้าก็แค่กลั่นลมปราณ 3,000 ปี - บทที่ 121 แผนบุกของซูเซียงเสวี่ย
“แล้วเจ้าทราบหรือไม่ว่าอีกสองส่วนอยู่ที่ใด?”
ไป๋ชิวหรานเอ่ยปากถาม
“ให้ข้าตรวจสอบดู… ข้อมูลที่ได้มาคือมันเป็นของบรรพบุรุษรุ่นแรก ก่อนราชาอสูรจะสิ้นชีพ เขาได้สั่งเสียให้เหล่าขุนนางแยกแผนผังสุสานจักรพรรดิเป็นสามส่วน ให้กระจายไปเก็บรักษาในโลกมาร ส่วนหนึ่งราชวงศ์เป็นผู้ครอบครอง อีกส่วนตกอยู่ในมือขององค์ชาย ขณะส่วนที่เหลือสูญหายไปในหมู่ชาวอสูร ไม่อาจทราบได้ว่าอยู่ที่ใด”
จื้อเซียนอธิบาย
“ยามนี้โลกมารกำลังสั่นคลอน หากเฟ้นหาแผนผังทั้งสามชิ้น และทายาทอสูรเผ่ามารได้ พวกเขาจะกลายเป็นราชาอสูรคนใหม่”
“เช่นนั้นชิ้นส่วนนี้น่าจะเป็นขององค์ชายใช่หรือไม่?”
ไป๋ชิวหรานมองแผนผังที่วางอยู่บนโต๊ะ
“อสูรเผ่ามารเสื่อมอำนาจงั้นหรือ?”
“แน่นอน ย่อมเสื่อมอำนาจอยู่แล้ว”
ลำแสงสีเขียวเข้มฉายผ่านดวงตาของจื้อเซียน
“เมื่อครั้งยุคดินแดนศักดิ์สิทธิ์ องค์ชายอสูรทั้งสิบแห่งอสูรเผ่ามารได้ชื่อว่าเทียบขอบเขตการฝึกตนของเซียนแห่งปฐพีได้ อำนาจของราชาอสูรทรงพลังไร้ผู้ใดทัดเทียม แล้วมองดูอสูรเผ่ามารในยามนี้ว่าเป็นเช่นไร? อำนาจแห่งสายเลือดลดลง ฐานการฝึกตนถดถอย องค์ชายอสูรหันมาห้ำหั่นกันเอง ไม่ต้องพูดถึงความแข็งแกร่ง สายเลือดบริสุทธิ์เหลือเด็กสาวคนนี้เพียงคนเดียว หากไม่เรียกว่าเสื่อมอำนาจแล้วจะเรียกว่าอย่างไร? ต้องรอให้เผ่ามนุษย์หรืออสูรเผ่ามารสูญสิ้นไปก่อนหรือ?”
“ที่เจ้ากล่าวมาก็มีเหตุผล”
ไป๋ชิวหรานตอบ
“แต่แปลกนัก ผิดกับเก้ามหาทวีปสิบแผ่นดิน ทายาทในโลกมารไม่เคยถูกกำจัด เหตุใดถึงไม่มีเซียนแห่งปฐพีในอสูรเผ่ามาร?”
“ทั้งหมดไม่ได้เป็นเพราะท่านหรือ”
ซูเซียงเสวี่ยเหลือบมองชายหนุ่มขณะเอ่ยคำ
“อะไรกัน? ข้าไม่เข้าใจ เรื่องนี้จะเกี่ยวกับข้าได้อย่างไร?”
ไป๋ชิวหรานอุทานขึ้นอย่างประหลาดใจ
“หลังการปรากฏตัวของเซียนแห่งปฐพีที่เมืองโบราณ และข้าพยายามค้นหาประวัติของโลกมาร ก่อนจะพบข้อมูลว่าอดีตราชาอสูรหน้าโหดร้ายยิ่งกว่านักบวชมหายานในอสูรเผ่ามารเสียอีก หลังราชาอสูรสิ้นชีวิตและถูกฝังในสุสาน มีราชาอสูรอีกสามตนก่อนหน้านี้”
ซูเซียงเสวี่ยเริ่มเล่า
“ไม่นานหลังจากราชาอสูรได้ครองบัลลังก์ เขาเห็นว่าเผ่ามนุษย์อ่อนแอและเสื่อมกำลังเมื่อถูกอสูรเผ่ามารมารุกราน ตอนนั้นผู้ฝึกตนระดับสูงสุดจากทั่วหล้าก็คือเจ้าสำนักกระบี่ชิงหมิง สมาชิกคนสุดท้ายที่บรรลุความเป็นอมตะ ส่วนผู้ที่รองลงมาคือผู้ที่มีพลังบำเพ็ญเพียรถึงขั้นผสานร่าง ราชาอสูรรู้สึกว่าถึงอย่างไรก็ต้องเอาชนะให้ได้จึงเร่งรวบรวมองค์ชายอสูร”
“ยามนั้นเผ่ามนุษย์ย่ำแย่ถึงเพียงนั้นเชียวหรือ?”
จื้อเซียนเอ่ยขึ้น
“ความจริงแล้วสิ่งที่ราชาอสูรคิดก็ไม่ผิด ในยุคนั้นเกิดจลาจล เรียกได้ว่าเป็นช่วงสุญญากาศ ผู้ฝึกตนที่ฝึกมาถึงขั้นสูงเริ่มคิดช่วงชิงอำนาจ หากไม่ใช่เพราะความเสียหายที่มากเกินไป คงอยู่ร่วมกันได้โดยไร้ปัญหา”
“ใช่ หลังจากนั้นทันทีที่ราชาอสูรยกพรรคพวกออกมา ก็ได้เผชิญหน้ากับชิวหรานและคนอื่น ๆ”
ซูเซียงเสวี่ยมองหน้าชายหนุ่ม
“องค์ชายอสูรทั้งสิบประกาศสละอำนาจและส่งต่อบัลลังก์ บางตนไม่มีแม้แต่เวลารั้งรอ ราชาอสูรเองได้รับบาดเจ็บสาหัสกลับมา เขาใช้เคล็ดวิชาต้องห้ามเผาไหม้ฐานชีพ แม้จะกลับมารักษาตัวที่โลกมารได้ แต่ยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่ ไม่มีโอกาสอีกแล้วในชีวิตนี้ หลังจากนั้นราชาอสูรไม่มีทางเลือกนอกจากสนับสนุนให้อสูรสายเลือดชั้นล่างที่แข็งแกร่งขึ้นเป็นองค์ชายอสูร เรื่องราวถึงได้ดำเนินมาถึงทุกวันนี้”
“เพื่อรักษาสายเลือดชั้นสูงเอาไว้ จึงต้องทำลายข้อมูลเกี่ยวกับเซียนแห่งปฐพีไม่ใช่หรือ? ดูเหมือนจะมีเพียงราชวงศ์ที่มีบันทึกเรื่องนี้”
จื้อเซียนบอก
“ว่าแต่เหตุใด… เรื่องเซียนแห่งปฐพีในยุคราชาอสูรและองค์ชายอสูรก่อนหน้านั้นถึงได้สูญหายไปเฉย ๆ เล่า?”
“ตอนนี้อย่าคิดไปไกลเพียงนั้น เป้าหมายตอนนี้คือรวบรวมแผนผังเพื่อตามหาสุสานจักรพรรดิของบรรพบุรุษอสูรเผ่ามาร”
ไป๋ชิวหรานกล่าวแทรก
“บางทีความลับนี้อาจซ่อนอยู่ในสุสานก็ได้”
จื้อเซียนพึมพำขึ้น ดูท่าเขาจะยังไม่ยอมแพ้ แต่ท้ายที่สุดกลับยอมนิ่งเฉยและไม่คัดค้านคำพูดไป๋ชิวหราน
เหตุสำคัญมาจากความกระหายใคร่รู้ของชายหนุ่ม ในเรื่องสุสานจักรพรรดิต้นบรรพบุรุษอสูรเผ่ามาร มีมากกว่าปริศนาการหายไปของอดีตราชาอสูร
“ข้าจะแอบติดต่อสายสอดแนมในโลกมาร ให้พวกเขาช่วยสืบข่าวของอีกสองฝ่ายที่เป็นศัตรูขององค์ชายอสรพิษดำและพรรคพวก”
ซูเซียงเสวี่ยเอ่ย
“แน่นอน เราต้องรู้เท่าทันข่าวคราวขององค์ชายอสรพิษดำ”
“ข้าจะรายงานสถานการณ์ให้อวี้เมี่ยนฝูรู้”
ไป๋ชิวหรานกล่าวกับนาง
“เซียงเสวี่ย… วันนี้เหน็ดเหนื่อยมากแล้ว เรามาพักผ่อนกันเถิด”
สิ้นคำ ชายหนุ่มพลันนึกได้ว่าคำพูดเมื่อครู่นี้ช่างดูกำกวมนัก แต่กลับคิดหาคำอธิบายไม่ถูก
“เอ่อ ที่ข้าหมายถึงคือ…”
ซูเซียงเสวี่ยคิดไปไกล เมื่อได้ยินเช่นนั้นจึงหัวเราะออกมา
“ท่านต้องการ ‘พักผ่อน’ กับข้าหรือ?”
“ไม่ ๆ ไม่ใช่”
ไป๋ชิวหรานปฏิเสธอย่างลนลาน
“ข้าต้องไปหารือกับหัวหน้าพันธมิตร พวกเขาเป็นผู้ฝึกตน ย่อมไม่ได้รับผลดีแน่ ไม่อย่างแน่นอน…”
ซูเซียงเสวี่ยเผยรอยยิ้มบาง พร้อมเอามือแตะจมูกชายหนุ่มอย่างแผ่วเบา นางหัวเราะคิกคักขณะเดินพ้นประตูไปยังห้องของตนเอง
เมื่อประตูปิดลง นางปลดปล่อยความรู้สึกตนเองออกมา แก้มมีสีเลือดฝาดแดงซ่านจนไปถึงกกหู
ยามนี้เจ้าสำนักเหอฮวนได้กลายเป็นเพียงหญิงสาวคนหนึ่ง นางทิ้งตัวลงกับเตียง กลิ้งไปมาพร้อมกอดหมอนเอาไว้ เสียงหัวเราะอย่างอารมณ์ดีดังขึ้นท่ามกลางห้องแสงไฟสลัว
…
ห้วงราตรียามไป๋ชิวหรานกับซูเซียงเสวี่ยพักอยู่ต่างแดนด้วยคำเชิญขององค์ชายอสรพิษดำ ในดินแดนแห่งโลกมารฝั่งตะวันออกหันหน้าเข้าหาชายฝั่ง มีเรือเล็กลำหนึ่งล่องลอยท่ามกลางคลื่นลมที่พัดพาไม่ขาดสาย
เป็นเพียงเรือไม้ลำเล็กพร้อมใบเรือขาว ไม่ใหญ่โตเท่าเรือที่แล่นในแม่น้ำ กลางทะเลไม่ได้มีเพียงพายุ หรือคลื่นยักษ์อันเป็นสัญลักษณ์แห่งความโกรธเกรี้ยวของธรรมชาติ แต่ยังมีอสุรกายแห่งท้องทะเลผู้ทรงพลังและโหดร้ายเหลือคณานับ
มีเพียงแต่เรือไม้ลำเล็กที่จะสามารถใช้ข้ามแม่น้ำได้เท่านั้น แม้แต่ศิษย์สำนักเสวียนฝ่าในเก้ามหาทวีปสิบแผ่นดินที่เชี่ยวชาญการเดินเรือ ยังไม่กล้าออกจากชายฝั่งไกลถึงเพียงนี้
ทว่าเรือลำนี้กลับทำเช่นนั้น อาจหาญแล่นข้ามสมุทรจากเกาะโดดเดี่ยวกลางทะเล มายังสุดเขตแดนตะวันออกติดขอบทะเลของโลกมาร
คลื่นลมถาโถมกลางสมุทร ก่อตัวไม่ต่างกำแพงขาว แต่ละครานั้นใหญ่และสูงชันเสียยิ่งกว่าเรือ แต่เมื่อกระทบเรือ อาณาเขตสีเขียวแกมน้ำเงินกลับปรากฏขึ้น ป้องกันเรือจากทั้งคลื่นสูงและลมแรง
ภายในไร้ซึ่งผู้พายเรือ เห็นเพียงว่าเป็นเรือใบสีขาวไร้ซึ่งพลังอย่างชัดเจน ทว่าเรือลำนี้กลับเดินเรืออย่างรวดเร็วได้โดยไม่จำเป็นต้องใช้ลม มันลัดเลาะไปถึงชายฝั่งของดินแดนมารฝั่งตะวันออก
ควันสีขาวพวยพุ่งออกมาจากเรือลอยล่องเข้าหาชายฝั่ง กระทั่งหยุดอยู่บนพื้นดิน
ครั้นควันสีขาวแตะลงพื้น ร่างจริงของเขาเปิดเผย เป็นเด็กชายผมแดงผิวขาว เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่มาจากเก้ามหาทวีปสิบแผ่นดินหรือโลกมารเขาแต่งตัวคล้ายบัณฑิต มือเรียวข้างหนึ่งถือพัดอยู่
“ขอบคุณขอรับ ท่านปู่ ลาก่อน”
เด็กชายผมแดงหันไปโบกมือให้ท้องทะเล คลื่นม้วนตัวรับ ดูราวกับยักษ์ใต้สมุทรกำลังหันหลังกลับ ค่อย ๆ ออกห่างชายฝั่งไปพร้อมคลื่นหลายระลอก
บัณฑิตผมแดงหันหลังกลับพลางสะบัดมือกางพัด ท่าทีคล้ายกับเหมือนบัณฑิตต่างบ้านต่างเมือง เขาหันมองสำรวจโดยรอบก่อนกล่าวพึมพำ
“นี่คือดินแดนที่ท่านอาจารย์กล่าวถึงอย่างนั้นหรือ?”