ข้าก็แค่กลั่นลมปราณ 3,000 ปี - บทที่ 124 มนุษย์นอกเก้ามหาทวีปสิบแผ่นดิน
ไป๋ชิวหรานเพิ่งคิดชื่อกระบวนท่าขึ้นสด ๆ ร้อน ๆ… ตามความเข้าใจของชายหนุ่ม ชิงตานอิ๋งเกิดมาขนสีดำเหมือนอีกา ถูกเลี้ยงมาเหมือนนก จึงเป็นที่มาของชื่อ ‘วิหคนกกาโผบิน’
ไม่ว่าชื่อนั้นจะฟังดูแปลกหูอย่างไร ทว่าอานุภาพของมันก็รุนแรงไม่ใช่น้อย ไป๋ชิวหรานลอยคว้างอยู่กลางอากาศ แรงดันทรงพลังหาผู้ใดเปรียบทิ้งตัวลงมาสกัดการเคลื่อนไหวของบัณฑิต ก่อนที่กรงเล็บจะพุ่งโฉบลงผลักอีกฝ่ายลงพื้น ไหล่เด็กชายผมแดงถูกกดเอาไว้ และถูกกำราบได้ในที่สุด
บัณฑิตผมแดงตื่นตระหนกหมายจะดิ้นรนหลบหนี ทว่าถูกไป๋ชิวหรานบีบลำคอเอาไว้ ขณะที่ชายหนุ่มกับซูเซียงเสวี่ยกำลังจากไปพร้อมกับเจ้ามนุษย์ตัวน้อย พลันมีเสียงหนึ่งดังขึ้น
กลุ่มทหารยามอสูรรักษาความปลอดภัยที่อยู่ในชุดเครื่องแบบตะโกนบอกไป๋ชิวหราน
“อสูรเสือ ปล่อยแขกคนสำคัญลงเดี๋ยวนี้!”
คนสำคัญหรือ?
ไป๋ชิวหรานกับซูเซียงเสวี่ยหันมองหน้ากันทันที ทั้งคู่คิดเห็นตรงกัน
ซูเซียงเสวี่ยรักษาท่าทีสง่างาม ก่อนจะหันมาเผชิญหน้ากับกลุ่มทหารยาม แส้ในมือถูกสะบัดออก นางปลดปล่อยพลังอันยากเทียบเทียม ทำให้เหล่าทหารยามตกตะลึง
อีกด้านหนึ่งไป๋ชิวหรานยกมือประทับตราเก้ามหาทวีปสิบแผ่นดินลงบนร่างบัณฑิต ก่อนจะส่งตัวเขาให้ทหารยาม จากนั้นวิ่งไปอยู่ข้างซูเซียงเสวี่ย ชายหนุ่มอุ้มนางหนีหายไปอย่างรวดเร็ว เพียงชั่วอึดใจเดียวที่เสียงระเบิดรุนแรงขึ้น… พวกเขาหายตัวไปกลางเมืองหลวง เหลือทิ้งไว้เพียงร่องรอยความเสียหายบนพื้น
ทั้งคู่เดินทางมาถึงในป่า ไป๋ชิวหรานอุ้มซูเซียงเสวี่ยหนีมาเป็นพันลี้ภายในพริบตา เมื่อมาถึงหุบเขาลึก ชายหนุ่มหยุดฝีเท้าและวางนางลง
“นึกไม่ถึงว่าราชวงศ์อสูรจะมีสัมพันธ์กับเผ่ามนุษย์คนอื่นด้วย”
ไป๋ชิวหรานกล่าวคำ
“เดิมทีข้าเพียงอยากช่วยชีวิตเขา แต่คาดไม่ถึงว่าจะเป็นการทำร้ายตนเอง”
“ครานี้ตัวตนของเราเกือบถูกเปิดเผยเสียแล้ว”
ซูเซียงเสวี่ยว่าเสียงเรียบ
“ไม่เป็นไร เดิมทีข้าตั้งใจจะเผยตัวตนให้พวกเขาเห็นอยู่แล้ว”
ไป๋ชิวหรานบอก
“เรียกได้ว่าหากเปิดเผยตัวตนเช่นนั้น คงทำให้พวกเขานึกสงสัยน้อยกว่า”
นางหันมองชายหนุ่มก่อนจะกล่าวขึ้นอย่างสบาย ๆ
“จะว่าไปแล้ว ท่านเห็นตัวจริงของเจ้าเด็กหนุ่มนั่นใช่หรือไม่?”
“ย่อมเห็น นางพันหน้าอกและแสร้งเป็นชาย ทำราวกับทุกคนดวงตามืดบอด”
ไป๋ชิวหรานตอบ
“ฮึม!”
ซูเซียงเสวี่ยส่งเสียงฟึดฟัดก่อนว่าขึ้นต่อ
“เหมือนอย่างที่รั่วเวยปลอมตัวเป็นชายอย่างนั้นหรือ?”
“เรื่องนี้…”
ไป๋ชิวหรานลังเลใจอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะกล่าวต่อ
“ได้โปรด เรื่องนี้เป็นเรื่องส่วนตัวของศิษย์สำนักข้า มันยากจะเปิดเผยออกมา และต้องช่วยนางรักษาความลับนี้ไว้”
ในสายตาของไป๋ชิวหราน แม้สตรีแต่งกายราวบุรุษ พันหน้าอก แต่งแต้มใบหน้า ชายหนุ่มก็ยังรับรู้ได้ แต่หากเขาไม่เห็น มีเพียงเหตุผลเดียวคือสิ่งนั้นไม่มีอยู่ตั้งแต่แรก…
เมื่อเห็นไป๋ชิวหรานเผยสีหน้าจริงจัง ซูเซียงเสวี่ยจึงเข้าใจในทันทีว่าไม่ใช่เหตุผลเชิงชู้สาว และนางไม่คิดจะรบเร้าถามต่อ อย่างไรเสียถังรั่วเวยก็เป็นศิษย์ของไป๋ชิวหราน ต่อไปในอนาคตคงเลี่ยงพบเจอไม่ได้ นางต้องสร้างสัมพันธ์อันดีเอาไว้
หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง ชายหนุ่มจึงเริ่มกล่าวจริงจัง
“กระบวนท่าที่นางใช้มีความละม้ายคล้ายคลึงกับสำนักกระบี่ชิงหมิงจากเก้ามหาทวีปสิบแผ่นดิน ว่าแต่ทำไมถึงไม่เคยเห็นมาก่อน?”
“เพราะว่านางไม่ได้มาจากเก้ามหาทวีปสิบแผ่นดินอย่างไรเล่า”
จื้อเซียนที่เงียบงันตั้งแต่ไป๋ชิวหรานกับซูเซียงเสวี่ยเข้าเมือง กล่าวขึ้นมาเป็นครั้งแรก
“ข้อมูลจากมหาปราชญ์บอกว่านามของนางคือเฟิงเจียนเหยา มาจากดินแดนที่ชื่อว่าทะเลตะวันออก เป็นศิษย์มหาวิหารฝูซาง”
“ฝูซาง?”
ไป๋ชิวหรานนึกสงสัย
“คือที่ใดกัน?”
“ข้าเห็นร่องรอยของเหล่าเทพในแดนรกร้าง จากบันทึกฝูซางเป็นเกาะศักดิ์สิทธิ์สุดซีกโลกตะวันออก สุริยเทพเคยอาศัยอยู่ที่นั่น พระอาทิตย์ขึ้นจากที่นั่นทุกเช้า ก่อนขึ้นสู่ท้องฟ้าส่องสว่างไปทั่วโลก”
จื้อเซียนตอบ
“ข้าไม่รู้ว่าแท้จริงแล้วอยู่ที่ใด กาลเวลาล่วงเลยผ่านหลายพันปี แผ่นดินผืนน้ำแปรเปลี่ยน ไม่ทราบได้ว่าที่แห่งนี้ย้ายไปอยู่ที่ใด… แต่คงอยู่ทางฟากตะวันออกอย่างแน่นอน”
“มีข่าวลือว่าในโลกมารมีมนุษย์อาศัยอยู่บนเกาะทางตะวันออก”
ซูเซียงเสวี่ยเอ่ย
“ข้าว่าสถานที่ที่พวกเขาพูดถึงกันคงเป็นฝูซางทางตะวันออกแห่งนี้ ด้วยโลกของเราแยกออกจากโลกมาร… ทำให้ไม่รู้ว่ามีที่แห่งนี้ในโลกด้วย”
“ช่างเถิด อย่าคิดมากเรื่องนางเลย มาจัดการเรื่องสุสานจักรพรรดิก่อน”
ไป๋ชิวหรานบอกปัด
“เอาสิ มาคุยเรื่องแผนกันต่อเถิด”
…
ท่ามกลางราตรี มหาอัครเสนาบดีอวิ๋นคุนที่เพิ่งกลับมาถึงวังอสูรก็ได้รับการรายงานจากทหารยาม ซึ่งเป็นคนที่เขาส่งไปสืบหาเบาะแสของผู้มาเยือน
หลังจากทราบที่อยู่ของฝ่ายนั้น เขาไม่รั้งรอที่จะจิบน้ำสักหน่อย ก่อนจะเร่งออกไปยังวังที่แขกพำนักทันที
“ศิษย์หญิงเฟิง”
เขายืนอยู่หน้าประตูก่อนจะตะโกนร้องเรียกอีกฝ่าย
“อวิ๋นคุนมาขอพบท่าน”
ไร้เสียงขานรับ ผ่านไปครู่ใหญ่มีเสียงหญิงสาวดังมาจากด้านใน
“เข้ามา”
อัครมหาเสนาบดีอวิ๋นคุนเดินเข้ามา เห็นหญิงสาวผมแดงยาวสลวย ในตอนนี้เปลี่ยนเป็นชุดสตรีแล้ว นางนั่งหันหลังให้เขา
เมื่อเห็นอีกฝ่ายเข้ามา นางหันหน้าไปมอง ดวงหน้างดงามไม่สบอารมณ์นัก ก่อนจะหยิบป้ายหยกชิ้นหนึ่งจากอกเสื้อยื่นให้
“รับไว้เสีย นี่คือสิ่งที่ท่านถามหาจากอาจารย์ สิ่งนี้จะขยับเมื่อท่านเผชิญหน้ากับบรรพชนสำนักกระบี่ชิงหมิง ทว่ามันช่วยปกป้องได้เพียงคนเดียว ยามนั้นท่านคิดจะมอบให้กับผู้ใด จงตัดสินใจเองเถิด”
“ต้องขอบคุณท่านแล้ว”
อัครมหาเสนาบดีอวิ๋นคุนยื่นมือรับพร้อมกล่าวขอบคุณหญิงสาว
“บรรพชนสำนักกระบี่ชิงหมิงแห่งเผ่ามนุษย์มาที่นี่จริงหรือ?”
เมื่อเห็นอีกฝ่ายรับป้ายหยกเก็บใส่แขนเสื้อ หญิงสาวผมแดงเลิกคิ้วถามขึ้น
“ถึงอย่างไรก็เป็นเรื่องภายในอสูรเผ่ามารไม่ใช่หรือ?”
“ใช่แล้ว โดยทั่วไปไม่ได้เกี่ยวข้องกับคนผู้นั้น ทว่ามีพวกชั้นต่ำหวังใช้ประโยชน์จากพลังของเขาเพื่อช่วงชิงบัลลังก์ราชาอสูร”
อัครมหาเสนาบดีอวิ๋นคุนตอบ
“เมื่อมีบรรพชนสำนักกระบี่ชิงหมิงเข้ามาแทรกแซง สถานการณ์ในโลกมารจึงอยู่เหนือการควบคุมของข้า ในฐานะอัครเสนาบดีแล้ว ต้องหาหนทางรอดให้โลกมาร… บางทีศิษย์หญิงเฟิงอาจได้พบกับบรรพชนสำนักกระบี่ชิงหมิงแล้ว”
“หืม?”
“…จำอสูรสองตนที่สู้กับท่านกลางถนนวันนี้ได้หรือไม่?”
“อืม จำได้สิ”
เมื่อย้อนนึกถึงสถานการณ์ในตอนนั้น สีหน้านางดูหงุดหงิดใจเล็กน้อย
“อสูรเผ่ามารของท่านช่างป่าเถื่อนนัก”
“ข้าไม่ปฏิเสธ ตอนนี้พยายามกอบกู้อยู่เช่นกัน”
อัครมหาเสนาบดีอวิ๋นคุนตอบ
“สิ่งที่ข้าต้องการจะบอกคือ อสูรสองตนที่วิวาทกับท่าน… อาจไม่ใช่อสูรจริง ๆ พวกเขาอาจแสร้งเป็นอสูร”
“ท่านหมายความว่าชายผู้นั้นคือบรรพชนสำนักกระบี่ชิงหมิงแห่งเผ่ามนุษย์งั้นหรือ?”
ภาพ ‘เสือดำอาฝู’ ที่ได้เผชิญหน้า ทำให้นางอดเผยสีหน้าประหลาดใจออกมาไม่ได้
“น่าจะเป็นเช่นนั้น”
“ช่างเถิด จะเป็นเขาหรือไม่ก็หาใช่กงการของข้า”
นางลุกขึ้น
“ข้ากลับก่อน จำไว้ หลังจากนี้มหาวิหารฝูซางไม่เกี่ยวข้องอะไรกับพวกเจ้าอีกแล้ว”
“ข้าเข้าใจแล้ว”
อัครเสนาบดีอวิ๋นคุนกล่าวตอบ
“เช่นนั้นให้ข้าไปส่งเถิด เพื่อไม่ให้อสูรเผ่ามารขายหน้าที่ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงเข้ามาก่อกวนได้”