ข้าก็แค่กลั่นลมปราณ 3,000 ปี - บทที่ 128 ข้าอยากใช้ช่วงเวลาที่ดีร่วมกับเจ้า
ตูม!
ช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อสำคัญ สายลมกระโชกแรงพัดเข้ามา และแปรเปลี่ยนเป็นใบมีดลมจำนวนนับไม่ถ้วน ฟาดฟันฝูงอสูรจระเข้กับเหล่าพรรคพวกทั้งหมดที่กำลังล้อมรอบองค์ชายกระทิงขุยจนชิ้นเนื้อและเลือดสาดกระเซ็นไปทั่วบริเวณ
บุรุษร่างสูงผู้หนึ่งที่มีปีกสีขาวอยู่บนหลัง ทว่าหน้าผากปกคลุมไปด้วยขนเสือกลับร่อนลงมาจากฟากฟ้า คว้าแขนองค์ชายกระทิงขุยด้วยมือข้างหนึ่งให้พาดวางอยู่บนไหล่ของตน ก่อนจะบินหลบหนีไปทางด้านหลัง
อสนีบาตรุนแรงจากท้องฟ้าฟาดผ่าลงมาหลายครั้งหลายหน ด้วยจงใจปิดกั้นเส้นทางหลบหนีของเขา ทว่าด้านหลังกลับปรากฏแสงสว่างวาบหลายดวง มันกั้นขวางไว้ไม่ให้สายฟ้าฟาดฟันใส่ร่างของอสูรพยัคฆ์มีปีกตนนั้น
ซูเซียงเสวี่ยทอดสายตามองจากระยะไกล พบว่าเหนือยอดเขาลูกหนึ่งที่อยู่ห่างไกลออกไป มีชายคนหนึ่งรูปร่างหล่อเหลาสง่างามสวมอาภรณ์สีขาว กำลังควบคุมใบมีดลมในมือด้วยท่าทางชำนาญ
ทันทีที่เขาสังเกตเห็นการจ้องมองของซูเซียงเสวี่ย ชายผู้นั้นก็โค้งกายพร้อมผายมือให้กับนางแทนคำทักทาย ด้านหลังยังมีหางสุนัขจิ้งจอกสีขาวโพลนราวหิมะทั้งเก้าพลิ้วไหวไปตามแรงลมเหนือยอดเขา
“อนิจจา ปราการอสนีบาตยังไม่แกร่งกล้าเพียงพอ”
ซูเซียงเสวี่ยถอนหายใจ
“เอาเถิด”
นางหยุดการบรรเลงพิณ หยัดกายลุกขึ้นยืนพร้อมประกาศก้อง
“กองทัพอสูรจระเข้ พวกเจ้าทั้งหมดจงออกไปกวาดล้างกองกำลังของศัตรูให้สิ้นซาก”
สิ้นคำสั่ง ประตูเมืองใต้หุบเขาหินก็เปิดกว้างออกทันที อสูรจระเข้จำนวนนับไม่ถ้วนพุ่งออกจากเมืองโดยพวกมันต่างขี่อยู่บนหลังของจระเข้ยักษ์ กรูกันเข้าสู่สนามรบ บัดนี้กลายเป็นภูมิประเทศคล้ายแอ่งน้ำขนาดใหญ่ เป็นเสมือนปลาในน้ำที่กำลังต่อสู้กับอสูรกระทิง
ด้วยระยะเวลา สถานที่ กองกำลังที่เป็นต่อ ทำให้นักรบอสูรกระทิงเริ่มเป็นฝ่ายที่เพลี่ยงพล้ำ ทั้งยังถูกสังหารจนเกราะถูกทำลาย บางตนที่อยู่ไม่ห่างจากพื้นดินแห้งแล้งต่างถอยหนีไปแล้ว ขณะที่อสูรบางตนที่อยู่ในแอ่งน้ำชื้นแฉะยังคงยืนหยัดต่อสู้อย่างดื้อรั้น ในที่สุดก็ถอยร่นออกไปทีละก้าว… จนไม่สามารถต้านทานได้อีกต่อไป
เมื่อเห็นว่าการโจมตีระลอกแรกกำลังจะคว้าชัยมา กองกำลังจำนวนมากกลับปรากฏตัวขึ้นเหนือยอดเขาทางฝั่งตะวันออกของหุบเขาเหยียนชาน
จำนวนกองทัพดังกล่าวนับดูโดยคร่าวกลับมีไม่มากนัก ทว่าจากมุมมองเบื้องบนเพื่อวิเคราะห์พลังทำลายล้างแล้ว จะต้องเอาชนะกองทัพอสูรจากทางทิศเหนือและกองทัพขององค์ชายอสรพิษดำให้ได้เสียก่อน เพื่อที่ความแข็งแกร่งและระดับพลังโดยเฉลี่ยจะทวีคูณขึ้น!
“นั่นกองทัพจักรวรรดิ!”
ท่ามกลางความโกลาหลกลางสนามรบ ใครคนหนึ่งสังเกตเห็นธงของกองทัพนั้นเข้าจึงร้องตะโกนเสียงดังลั่น
ท้องฟ้าและชั้นบรรยากาศพลันแปรเปลี่ยนสีไปในทันใด กลุ่มเมฆดำทะมึนที่ซูเซียงเสวี่ยเป็นผู้เรียกมา ถูกชายวัยกลางคนร่างผอมบาง เรือนผมสีขาว สวมใส่ชุดเครื่องแบบสีดำที่ยืนตระหง่านอยู่บนยอดเขากำจัดให้สูญสลายไป
จากนั้นชายชราอีกคนหนึ่งที่มีเขาประหนึ่งมังกร พร้อมด้วยไม้เท้ายาวคู่ใจก็ปรากฏตัวขึ้นเช่นกัน เขายกมือขึ้นสูงเพื่อควบคุมแอ่งน้ำทั้งหมด น้ำจำนวนมหาศาลพลันหลั่งไหลออกจากแอ่งก่อนจะก่อตัวขึ้นภายใต้การควบคุม ทันใดนั้นกระแสน้ำที่กำลังไหลเชี่ยวกรากราวมังกรพ่นน้ำเริ่มควบแน่นขึ้นอย่างไร้ที่สิ้นสุด ชั่วขณะเดียวกัน กองทัพอสูรจระเข้ในแอ่งน้ำพลอยถูกลูกหลงจนได้รับบาดเจ็บสาหัส
“องค์ชายหมีขาว”
หลังจากกำจัดกลุ่มเมฆดำออกไปพ้นแล้ว ชายวัยกลางคนเรือนผมขาวในชุดเครื่องแบบสีดำก็โค้งคำนับให้กับกองทัพขององค์ชายหมีขาวจากฝ่ายเหนือ
“พวกเรามาช่วยแล้ว”
ขณะเดียวกันนั้น ใครอีกคนหนึ่งกระโดดจากกลุ่มเมฆแล้วร่อนลงยืนหยัดอยู่ข้างซูเซียงเสวี่ย
บุคคลผู้นี้มีขนดกปกคลุมตลอดร่างกาย ดูคล้ายวานรที่มีลักษณะเหมือนคน ขนที่ขึ้นอยู่ทั่วลำตัวมีสีเหลือง หางยาวเหยียดโบกไปมาอยู่ข้างหลัง
เขาแตกต่างจากกองทัพจักรวรรดิที่สวมชุดเกราะพร้อมเข้าสู่สนามรบ เพราะคนผู้นี้สวมใส่เพียงชุดคลุมตัวสั้นรูปทรงเรียบง่ายซึ่งสะดวกต่อการเคลื่อนไหว
บนไหล่ของเขาข้างหนึ่งมีแท่งเหล็กสีดำพาดวางอยู่ ในปากเคี้ยวก้านวัชพืช ขณะเผยรอยยิ้มเหนื่อยล้าให้กับซูเซียงเสวี่ย
“ข้าต้องขออภัยด้วยองค์หญิง ในสนามรบเราไม่มีคำว่าออมมือ ฝ่ายเรามีกองกำลังมากกว่าฝ่ายของท่านมากนัก”
“อืม จริงดังที่เจ้ากล่าว”
ซูเซียงเสวี่ยคลุมผ้าปิดบังใบหน้าตามเดิมด้วยท่าทีเรียบเฉย ก่อนจะนำพิณออกไปพร้อมลุกขึ้นยืน
“พลังปราณแก่นแท้ของเซียงเสวี่ยหมดลงเสียแล้ว ดังนั้นข้าคงไม่อาจต่อสู้กับองค์ชายวานรได้อีก ต้องขออภัยด้วยเช่นกัน”
ขณะเดียวกันเมื่อนางหันหลังเดินจากไป ฝ่ามือหนึ่งกลับวางลงบนไหล่ขององค์ชายวานรจากด้านหลังอย่างเงียบเชียบ
“มาเถิด”
ไป๋ชิวหรานเผยรอยยิ้มอยู่ด้านหลังเขาขณะกล่าวต่อไป
“ปล่อยให้นางกลับไปพักผ่อนเสียหน่อยเถอะ ข้าจะได้ถือโอกาสนี้ใช้ช่วงเวลาที่ดีร่วมกันกับเจ้า”
“เป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้รับความโปรดปรานจากท่าน”
องค์ชายวานรแสร้งเปล่งเสียงหัวเราะ ทว่าหยดเหงื่อเย็นเฉียบกลับผุดขึ้นตามหน้าผากด้วยความหวาดกลัว
…
เสียงกรีดร้องจากการฆ่าฟันในสนามรบทำให้ท้องฟ้าสั่นสะเทือน หลังจากซูเซียงเสวี่ยถอนตัว ก็ไม่ปรากฏอสนีบาตแห่งภัยพิบัติที่เป็นอันตรายอีกต่อไป บนฟากฟ้า กองทัพจักรวรรดิพลันดิ่งลงมาจากยอดเขาจากเหนือกลุ่มก้อนเมฆ กรูเข้าไปสังหารกองทัพอสูรจระเข้และกองทัพอสรพิษดำที่เพิ่งถูกองค์ชายมังกรโจมตีไปหมาด ๆ
ทว่าเมื่อการต่อสู้ดำเนินต่อไปได้เพียงครึ่งทาง อสูรร้ายกลุ่มใหญ่ที่มีปีกบนหลังก็พุ่งตรงลงมาจากท้องฟ้า พร้อมกันกับภูเขาที่ปริแยกออก อสูรพืชจำนวนนับไม่ถ้วนโผล่พรวดออกมาจากชั้นดิน ห้อมล้อมกองทัพจักรพรรดิไว้ตรงกลาง
“องค์ชายมังกร!”
องค์ชายอินทรีผู้มีปีกสีทองอร่ามกระพือปีกอยู่กลางอากาศ ยั่วโทสะชายชราที่กำลังยืนตระหง่านอยู่พร้อมด้วยไม้เท้ายาวคู่กาย
“มานี่เร็วเถิด ข้าใคร่รู้เหลือเกินว่าระหว่างข้ากับเจ้า ผู้ใดกันที่สมควรเป็นเจ้าแห่งท้องนภา!”
ขณะเดียวกันเหนือชั้นดินมีเถาวัลย์จำนวนนับไม่ถ้วนเลื้อยอย่างเลี้ยวลดไปทั่วบริเวณ องค์หญิงบุปผาผู้มีใบหน้าเย็นชาอยู่เป็นนิจปรากฏกายขึ้นท่ามกลางมวลพืชพรรณ ปราณอสูรทำให้เถาวัลย์งอกงามอย่างรวดเร็วทั้งยังผลิบานสะพรั่ง ปล่อยกลิ่นหอมตลบอบอวลของดอกไม้ที่ให้พิษร้ายแรงไปทั่วบริเวณ องค์หญิงบุปผาเงื้อฝ่ามือขึ้นสูงโจมตีอัครมหาเสนาบดีอวิ๋นคุน ซึ่งอยู่ท่ามกลางกองทัพจักรวรรดิโดยไม่พูดพร่ำทำเพลงใด ๆ
กองทัพจากทั้งสองฟากฝั่งต่างเข้าโรมรันกัน กล่าวถึงในแง่ของความแข็งแกร่ง กองทัพขององค์หญิงบุปผากับองค์ชายอินทรีนับว่าไม่แข็งแกร่งเท่ากับกองทัพจักรวรรดิ เพียงแต่ตอนนี้กองทัพจักรวรรดิถูกโจมตีโดยที่ไม่ทันตั้งรับ ทำให้สถานการณ์เข้าสู่ทางตันอยู่พักใหญ่
อีกด้านหนึ่ง นักรบอสูรกระทิงแห่งโลกมารฝ่ายเหนือพยายามล่าถอยภายใต้การกำบังจากสหายร่วมรบ และถูกแทนที่ด้วยกองทัพพร้อมอาวุธที่เต็มไปด้วยอสูรระดับกลางกับระดับล่างที่มีถิ่นอาศัยอยู่บนบก เช่น อสูรพยัคฆ์ อสูรหมาป่า อสูรเสือดาว และอีกมากมาย พวกมันต่างมีเกราะที่ทำขึ้นจากหนังหนาของสัตว์อสูรภายในอาณาจักรอสูร ทั้งยังถือกระบี่คมกริบอยู่ในมือ
สัตว์อสูรเหล่านี้กู่ร้องคำรามและพุ่งเข้าไปในแอ่งน้ำโดยไม่หวั่นเกรงต่อสิ่งใด พละกำลังช่างมหาศาลนัก ในไม่ช้าน้ำในแอ่งพลันแปรเปลี่ยนกลายเป็นชั้นน้ำแข็งในพริบตา สัตว์อสูรเหล่านี้ย่ำเหยียบน้ำแข็ง ก่อนจะเข้าจู่โจมบรรดาอสูรจระเข้ที่ขี่อยู่บนหลังจระเข้ยักษ์ทันที ทำให้ฝ่ายที่เสียเปรียบถอยกรูดกลับหลังและโยนเกราะทิ้งไปเพื่อเอาตัวรอด
ขณะที่สัตว์อสูรบกเหล่านั้นกำลังจะได้รับชัยชนะ ชั้นดินทั้งสองฝั่งของแอ่งน้ำพลันพังทลายลงก่อนจะก่อตัวนูนขึ้นมาทันที งูเหลือมและอสรพิษขนาดใหญ่จำนวนนับไม่ถ้วนเลื้อยหลบหนีออกมาจากพื้นดิน ล้อมรอบสัตว์อสูรเหล่านี้ไว้ทั้งสองฟาก!
องค์ชายอสรพิษดำและองค์ชายจระเข้พุ่งตัวออกไปเช่นกัน เมื่อเห็นว่ากองทัพของพวกตนต่างได้รับบาดเจ็บอย่างแสนสาหัส องค์ชายจระเข้จึงโกรธเกรี้ยวยิ่งนัก เขาคำรามลั่นพร้อมพุ่งเข้าหากองทัพสัตว์อสูรจากฝ่ายเหนือ ฉีกร่างเผ่าอสูรสองแถวหน้าออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย
“พยัคฆ์บิน! จิ้งจอกขาว! ออกมาให้ข้าสังหารเสีย!”
หลังจากคายชิ้นเนื้อและเลือดกองใหญ่ที่ใช้ปากฉีกออกมาจากร่างของศัตรูทิ้งไป องค์ชายจระเข้ก็โยนศพที่ถูกทำลายไม่เหลือชิ้นดีทิ้งไปด้านข้าง ก่อนจะเปล่งเสียงคำรามดังกัมปนาทขึ้นไปบนท้องฟ้า
“อยากตายนักใช่หรือไม่?! ข้าจะสนองให้เอง!”
ท่ามกลางกองทัพ ร่างสูงชะลูดขององค์ชายกระทิงขุยที่ได้รับการช่วยชีวิตไว้ก่อนหน้านี้รีบวิ่งออกไป กระแทกร่างองค์ชายจระเข้ให้กระเด็นออกไปไกลหลายลี้ในคราวเดียว จากนั้นสัตว์ร้ายทั้งสองฝ่ายต่างขู่คำรามและถาโถมเข้าหากันหวังฉีกร่างศัตรู ผลพวงดังกล่าวทำให้เกิดเป็นคลื่นสั่นสะเทือนเขย่าเนินเขาโดยรอบ
ตรงหน้าองค์ชายอสรพิษดำมีชายสวมชุดขาวบุคลิกภาพดีย่างกรายเข้ามาขวางทางไว้ ทั้งยังแสยะยิ้มให้กับอีกฝ่าย
“องค์ชายอสรพิษดำ สุดท้ายแล้วเราก็พบกัน”
“องค์ชายจิ้งจอกขาว”
ครั้นเห็นชายผู้นี้เข้า องค์ชายอสรพิษดำพลันชะงักค้างไปชั่วขณะ ก่อนจะกล่าว
“ข้าไม่คาดหวังมาก่อนเลยว่าการสู้รบครั้งนี้ แม้แต่เจ้าผู้รักสันโดษก็เข้ามามีส่วนร่วมด้วย”
“เหตุการณ์นี้เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับอสูรเผ่ามารทั้งหมด ตราบใดที่เป็นเรื่องภายใน เป็นไปไม่ได้ที่ข้าจะอยู่อย่างปลีกวิเวก”
องค์ชายจิ้งจอกขาวเผยรอยยิ้มอย่างเสียไม่ได้
“ฉะนั้นแล้ว แทนที่จะปล่อยให้เรื่องราวดำเนินไปเรื่อย ๆ เฉกเช่นกระแสน้ำ ข้าจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องเติมเชื้อเพลิงลงในเปลวไฟ”
“หากเป็นเช่นนั้น ให้ข้าได้สัมผัสหนึ่งในมรดกอันเก่าแก่ที่สุดในโลกมารทีเถิด เคล็ดวิชาอันสูงส่งของจิ้งจอกเก้าหางแห่งชิงชิว”
องค์ชายอสรพิษดำสูดลมหายใจเข้าลึก สีหน้าพลันแปรเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม
“ย่อมได้”
องค์ชายจิ้งจอกขาวโบกมือพร้อมกล่าว
“องค์ชายอสรพิษดำ โปรดตั้งรับให้ดี!”