ข้าก็แค่กลั่นลมปราณ 3,000 ปี - บทที่ 129 ฝ่ามืออรหันต์สังหารหมู่
เบื้องหน้าหุบเขาเหยียนชาน กองทัพโลกมารฝ่ายตะวันตก กองทัพโลกมารฝ่ายเหนือ และกองทัพจักรวรรดิต่างร่วมต่อสู้กันเพื่อสังหารศัตรูแม้ท้องฟ้าจะมืดมิดลงทุกขณะ
องค์ชายอสูรผู้ทรงพลังจากทุกหมู่เหล่าต่างพุ่งเข้าโรมรันกันเอง คลื่นพลังงานอันน่าสะพรึงกลัวส่งผลให้เกิดคลื่นสั่นสะเทือนเขย่าทั้งสรวงสวรรค์และผืนปฐพี สภาพพื้นที่โดยรอบค่อย ๆ เปลี่ยนแปลงไปอย่างต่อเนื่อง
ดูเหมือนว่าการต่อสู้ครั้งนี้จะยาวนาน เกินกว่าจะตัดสินว่าผู้ใดเป็นฝ่ายชนะ…
หากไม่มีผู้ใดที่มีพละกำลังมหาศาลอยู่เหนือสงครามในครั้งนี้ ก็ไม่อาจตัดสินเป็นที่แน่ชัดได้
ฉับพลัน จู่ ๆ สายฝนกระบี่พร่างพรมลงมาราวกับฝันร้าย ภายในชั่วพริบตา กองทัพโลกมารฝ่ายเหนือกับกองทัพจักรวรรดิมากกว่าครึ่งหนึ่งก็ถูกสังหารและได้รับบาดเจ็บสาหัส
ท่ามกลางความโกลาหล ใครบางคนจากอสูรเผ่ามารก็ร้องตะโกนดังลั่น
“บรรพชนสำนักกระบี่ชิงหมิง! นั่นคือบรรพชนสำนักกระบี่ชิงหมิงแห่งเผ่าพันธุ์มนุษย์!”
ชั่วอึดใจถัดมา กองทัพโลกมารฝ่ายเหนือที่ไม่เกรงกลัวความตาย รวมถึงขวัญกำลังใจอันสูงส่งของกองทัพจักรวรรดิพลันสูญสิ้นไปแทบจะในทันที ราวกับว่าได้เห็นจุดจบของโลกต่อหน้าต่อตา
พวกเขาไม่สนใจคู่ต่อสู้ที่อยู่ตรงหน้าอีกต่อไป ต่างละทิ้งชุดเกราะบนร่าง แล้วใช้เคล็ดวิชาการหลบหนีทุกประเภทอย่างสิ้นหวังเพื่อหลบหนีให้พ้นจากสนามรบเสีย
แม้แต่แม่ทัพใหญ่ในกองทัพก็ล่าถอยเช่นกัน ทั้งยังตะโกนโหวกเหวกดังลั่นสั่งให้ผู้ใต้บังคับบัญชาหนีออกไปจากสนามรบ
นั่นเป็นเพราะพวกเขารู้ดีอยู่แก่ใจ ว่าตราบใดที่เผชิญหน้ากับบรรพชนสำนักกระบี่ชิงหมิงแห่งเผ่าพันธุ์มนุษย์แล้ว ต่อให้มีกองกำลังอยู่ในมือมากมายเพียงใด… ทว่ายืนหยัดสู้ต่อไปก็คงสูญเปล่า
ก่อนหน้าที่พวกเขาจะเข้าสู่สนามรบ องค์ชายหมีขาวและอัครมหาเสนาบดีอวิ๋นคุนได้กำชับไว้แล้ว หากจวนตัวให้แม่ทัพพากองทัพของตนออกไปโดยใช้รหัสลับในการนัดรวมพล แทนที่จะปล่อยให้พวกเขายืนหยัดต่อไปเพื่อเผชิญความตาย สู้ปล่อยให้หนีเอาตัวรอดคงเป็นการดีกว่า จากนั้นค่อยหาหนทางรวมกองกำลังเข้าด้วยกันอีกครั้ง
ชั่วพริบตาเดียวเท่านั้น กองทัพโลกมารฝ่ายเหนือและกองทัพจักรวรรดิต่างสลายตัวไป ในขณะที่กองทัพขององค์ชายอสรพิษดำกำลังรุกคืบเพื่อหวังชัยชนะ
สถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป ส่งผลกระทบอย่างยิ่งต่อกลยุทธ์ขององค์ชายอสูร ในขณะที่การต่อสู้หยุดชะงัก เขาก็สอดส่ายสายตามองหาไป๋ชิวหรานไปด้วย
“เจ้ากำลังมองหาข้าอยู่หรือ?”
จู่ ๆ ไป๋ชิวหรานปรากฏตัวขึ้นราวภูตผีอย่างเงียบเชียบ ทำให้ทั้งองค์ชายมังกรและอัครมหาเสนาบดีอวิ๋นคุนที่กำลังต่อสู้อยู่กับองค์ชายอินทรีต่างตื่นตระหนกไปตาม ๆ กัน
ทั้งสองต่างก้าวถอยหลังโดยไม่รู้ตัว ก่อนชะงักค้างหยุดอยู่กลางเวหา หันมองไปยังทิศทางของเสียงที่ดังขึ้นจากด้านหลัง
ชายหนุ่มยืนตระหง่านอยู่บนต้นสนอันโดดเดี่ยวที่เติบโตอยู่ตรงขอบหน้าผา ในอ้อมแขนมีชายผู้หนึ่งอาการบาดเจ็บเจียนตาย จมูกช้ำเป็นสีคล้ำเข้ม ใบหน้าบวมปูด
“เจ้าลิงเฒ่า!”
องค์ชายมังกรตกตะลึง
“ยกให้เจ้า”
ไป๋ชิวหรานแสยะยิ้ม ก่อนจะโยนร่างองค์ชายวานรที่หมดสติไปเบื้องหน้า นั่นคือหน้าผาอันสูงชัน! องค์ชายมังกรตื่นตระหนกยิ่ง เขารีบบินโฉบเข้าหาและเอื้อมมือออกไปหมายจะคว้าร่างองค์ชายวานรไว้
ทว่าไป๋ชิวหรานทำเพียงโคลงศีรษะและร่างได้อันตรธานหายแวบไป จู่ ๆ ก็ปรากฏกายขึ้นตรงหน้าอีกฝ่าย เงื้อมือขึ้นสูงพร้อมออกแรงฟาดทันที
การกระทำดังกล่าว ทำให้เกิดเสียงดังสนั่นหวั่นไหวไปทั่ว คลื่นจากแรงกระแทกลักษณะโปร่งแสงหลายชั้นปรากฏขึ้นกลางอากาศ ละอองอากาศสีขาวลาดเอียงลงสู่พื้นดินโดยตรง ก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นควันและฝุ่นละอองที่ทอดยาวปกคลุมเหนือชั้นบรรยากาศเป็นระยะทางหลายลี้!
ควันและฝุ่นค่อย ๆ จางหายไป ทำให้เห็นเพียงหลุมลึกที่ปรากฏอยู่บนพื้นดิน ร่างองค์ชายมังกรและองค์ชายวานรนอนแน่นิ่งอยู่ก้นหลุม โดยไม่อาจล่วงรู้ได้ว่ายังมีชีวิตอยู่หรือตายตกไปแล้ว!
“รายต่อไปคือเจ้า”
เพียงชั่วพริบตา ชายหนุ่มปรากฏตัวขึ้นอีกครั้งด้านหลังอัครมหาเสนาบดีอวิ๋นคุน ด้วยการเคลื่อนย้ายมวลสารที่มีความรวดเร็วมหาศาล ทว่าอีกฝ่ายคอยระวังตัวอยู่เสมอ ทันทีที่รู้สึกถึงภัยอันตรายที่พุ่งเข้าหาจากทางด้านหลัง พลังปราณอสูรของเขาพลันแผ่กระจายออกราวพายุเมฆที่สร้างความปั่นป่วน ก่อนจะส่งหมัดออกซัดโต้ตอบไป๋ชิวหรานในทันที
ไป๋ชิวหรานรีบยกมือขึ้นเพื่อสกัดกั้นทันที เพราะสัมผัสได้ถึงหมัดของอัครมหาเสนาบดีอวิ๋นคุน ปราณอสูรเปรียบเสมือนกระแสน้ำที่ไหลเชี่ยวกรากอย่างไม่หยุดหย่อน ทว่าบางเบาประหนึ่งเมฆหมอก ทั้งยังแทรกไปด้วยภาพลวงตาอันคลุมเครือที่คุ้นเคยเป็นอย่างยิ่ง
ลักษณะการเคลื่อนไหวเช่นนี้ ช่างคล้ายคลึงกับการผสานเคล็ดวิชาฝ่ามือกระดูกทลายวิญญาณของซูเซียงเสวี่ย และเคล็ดวิชาหมัดอสนีของสำนักพุทธเทียนเซิ่ง ทั้งยังมีความนัยแฝงตามแนวคิดเต๋าของสำนักเสวียนฝ่า
“หืม? กระบวนการเคลื่อนไหวของเจ้าคืออะไรกัน? เรียนรู้มาจากที่ใด?”
ไป๋ชิวหรานเอ่ยถามด้วยรู้สึกสงสัยใคร่รู้ ขณะที่ฝ่ามือยังไม่คลายการสกัดกั้น
อัครมหาเสนาบดีอวิ๋นคุนไม่กล่าวตอบคำใด ทั้งยังโจมตีต่อไปทั้งที่ศีรษะค้างเกร็ง แรงพลังจากฝ่ามือที่ส่งออกไป ทำให้เกิดรอยประทับที่ทะลุลึกเข้าไปบนหน้าผา!
“หากไม่ยินดีตอบ ก็จงลืมมันไปซะ”
ไป๋ชิวหรานยกมือขึ้นพร้อมออกแรงผลัก ทันใดนั้นเคล็ดวิชาหมัดของอัครมหาเสนาบดีอวิ๋นคุนที่ไร้ข้อบกพร่องก็พังทลายลงในทันที!
“เจ้าแข็งแกร่งยิ่งกว่าองค์ชายอสูรอย่างองค์ชายอสรพิษดำเสียอีก”
ไป๋ชิวหรานก้าวไปข้างหน้าพร้อมกำหมัดแน่น
“ทว่าก็ยังไร้ประโยชน์ เมื่อพินิจดูให้ดี เห็นได้อย่างชัดเจนว่านั่นคือเคล็ดวิชาหมัดอสนี!”
เสียงฟ้าร้องครืนครางดังสนั่นท่ามกลางท้องฟ้าแจ่มใส ชายหนุ่มต่อยเข้าตรงหน้าอกของอัครมหาเสนาบดีอวิ๋นคุน ระดมราวกับกลองครั้งแล้วครั้งเล่า พลังปราณแก่นแท้อันไร้เทียมทานสั่นไหวไปทั่วบริเวณ ก่อนจะกลายเป็นหมัดที่ทรงพลังมหาศาลราวฝ่ามืออรหันต์ที่สะเทือนไปทั้งภูเขาและแม่น้ำ
ภูเขาที่ตั้งอยู่ด้านหลังปริแยกแตกออกเป็นเสี่ยง พร้อมกับร่างของอัครมหาเสนาบดีอวิ๋นคุนที่ลอยเคว้งออกไป พุ่งชนกระแทกเข้ากับยอดเขาสี่ถึงห้ายอดติดต่อกัน และในที่สุดก็ลอยค้างอยู่เหนือหน้าผาที่ไหนสักแห่งที่ไม่อาจทราบได้
เมื่อเห็นเช่นนี้ องค์ชายอินทรีกับองค์หญิงบุปผาที่ก่อนหน้านี้ต่อสู้พัวพันอยู่กับองค์ชายมังกรกับอัครมหาเสนาบดีอวิ๋นคุนเป็นเวลานาน ก็ลอบแสดงอาการตื่นตระหนก องค์ชายอินทรีรีบกระพือปีกโผบินเข้าหาไป๋ชิวหรานหวังจะประจบสอพลอ ทว่าร่างกลับอันตรธานหายไปอีกครั้ง ก่อนจะปรากฏขึ้นใกล้กับองค์ชายพยัคฆ์บินและองค์ชายจิ้งจอกขาวภายในชั่วพริบตา
เขาผลักองค์ชายจระเข้ที่ยังต่อสู้พัวพันอยู่กับองค์ชายพยัคฆ์บินออกไป ทำให้สามารถเอาชนะองค์ชายพยัคฆ์บินได้อย่างง่ายดาย โดยการใช้พละกำลังมหาศาลทุ่มร่างอีกฝ่ายให้คว่ำหน้าลง และตอกกระแทกลงไปประหนึ่งเป็นเสาเข็มมรณะ
เสียงดังสนั่นนั้นทำให้พื้นดินในระยะหลายลี้แตกออกเป็นเสี่ยง องค์ชายพยัคฆ์บินที่อยู่ตรงศูนย์กลางของพลังทำลายล้างนั่นอยู่ในท่าทางที่ร่างกายส่วนบนถูกฝังอยู่ใต้พื้นดิน ไป๋ชิวหรานจึงผละออกและจ้องมองอีกฝ่ายที่เริ่มหายใจรวยริน
“นำตัวเขาขึ้นมา”
ไป๋ชิวหรานชี้ไปที่ปลายจมูกขององค์ชายจระเข้พร้อมออกคำสั่ง จากนั้นประสานมือทั้งสองข้างไพล่ไว้ด้านหลัง ก่อนจะเดินด้วยท่วงท่าสง่าผ่าเผยไปทางองค์ชายจิ้งจอกขาวที่เพิ่งแยกตัวออกมาจากองค์ชายอสรพิษดำ
“บรรพชนสำนักกระบี่ชิงหมิง”
องค์ชายจิ้งจอกขาวยกมือขึ้นลูบจมูกพร้อมเผยรอยยิ้มขมขื่น
“ข้ายอมจำนนได้หรือไม่?”
“ได้อย่างไรกัน?”
ไป๋ชิวหรานมีท่าทีผ่อนคลายพร้อมแสยะยิ้ม
“พวกเขาล้วนเป็นองค์ชายของเหล่ามวลอสูร เหตุใดถึงถูกข้าทุบตีอยู่ฝ่ายเดียว แต่เจ้ากลับได้รับการละเว้นเล่า? ช่างไม่ยุติธรรมเอาเสียเลย”
องค์ชายจิ้งจอกขาวก้าวถอยหลัง ก่อนจะยกมือขึ้นเป็นเชิงยอมแพ้
“ไป๋หลิงกลับมายังอาณาจักรจิ้งจอกขาวอย่างปลอดภัย ข้ารู้สึกซาบซึ้งในพระคุณของบรรพชนสำนักกระบี่ชิงหมิงเป็นอย่างยิ่ง ที่อุตส่าห์ช่วยเหลือนางไว้”
“ต่อให้หยิบยกความสัมพันธ์ใดมาก็เปล่าประโยชน์”
ไป๋ชิวหรานเดินตรงเข้าหาองค์ชายจิ้งจอกขาวด้วยสีหน้าเรียบเฉย
“อีกอย่าง ข้าเกือบลืมไปเสียแล้วด้วยซ้ำ ว่าองค์หญิงของเจ้ามีรูปร่างหน้าตาเป็นเช่นไร”
ชายหนุ่มพุ่งเข้าคว้าคอเสื้อองค์ชายจิ้งจอกขาวพร้อมยกกำปั้นขึ้น ขณะที่องค์ชายจิ้งจอกขาวทำได้เพียงแสดงท่าทีเลิกต่อต้านแล้ว ยกฝ่ามือทั้งสองข้างขึ้นประกบหน้าตนเอง พลางโคจรปราณอสูรออกมาแล้วหลับตาลง
“แค่นั้นแหละ”
ทันใดนั้น น้ำเสียงอันสงบนิ่งและทรงพลังพลันดังขึ้นจากทางสนามรบ
เสียงกู่ร้องคำรามดังขึ้น พร้อมกับเงาขนาดใหญ่ที่แผ่ปกคลุมศีรษะของไป๋ชิวหรานและคนอื่น ๆ เมื่อเงยหน้าขึ้น จะพบว่ามีภูเขาลูกหนึ่งถูกโยนลงมาจากเบื้องบนสู่เหนือศีรษะของพวกเขา!
พื้นดินสั่นสะเทือนอยู่ครู่หนึ่ง ท่ามกลางฝุ่นควันที่ตลบฟุ้งไปทั่วบริเวณและเสียงกระแทกดังกึกก้อง ไป๋ชิวหราน องค์ชายจิ้งจอกขาว และองค์ชายอสรพิษดำ ต่างถูกภูเขาลูกนี้โถมทับจนจมอยู่เบื้องล่าง!
ทว่าภูเขาลูกนั้นกลับพังทลายลงอีกครั้งแทบจะทันที ไป๋ชิวหรานแบกร่างองค์ชายอสรพิษดำไว้ ก่อนจะกระโดดขึ้นสูงให้พ้นจากฝุ่นควัน
“บรรพชนสำนักกระบี่ชิงหมิงแห่งเผ่าพันธุ์มนุษย์ ตั้งรับกระบวนท่าของข้าไว้ให้ดี!”
ยังไม่ทันที่เสียงปริศนาจะกล่าวจนจบประโยค ทันใดนั้นภาพเขียนหมึกพลันปรากฏขึ้นเหนือท้องฟ้า ภาพเขียนนั้นมีขนาดใหญ่จนปกคลุมแผ่นฟ้าได้ทั้งหมด หนำซ้ำยังเข้าครอบคลุมร่างของไป๋ชิวหรานเอาไว้
ชายหนุ่มลอยเคว้งอยู่กลางอากาศ ไม่มีแผ่นดินที่ให้ยืนหยัด ทั้งยังไม่สามารถเหาะเหินเดินอากาศได้ จึงทำได้เพียงโยนร่างองค์ชายอสรพิษดำออกไป ขณะที่ตัวเขาเองพยายามดิ้นรนให้หลุดพ้นจากภาพเขียนที่ม้วนเข้าหา!