ข้าก็แค่กลั่นลมปราณ 3,000 ปี - บทที่ 130 จิตรกรรมน้ำหมึกเซียน
ไป๋ชิวหรานยังลอยเคว้งอยู่กลางอากาศ ถูกม้วนกระดาษภาพเขียนห่อหุ้มร่างกายของเขาเป็นชั้น ๆ อย่างแน่นหนา ซึ่งหมายทำให้มนุษย์อ่อนแรงลง ก่อนจะพยายามกลืนกินร่างชายหนุ่มเข้าไป
องค์ชายอสรพิษดำร่วงลงมาจากฟากฟ้า จึงได้เห็นว่าองค์ชายหมีขาวกำลังร่ายเวทขณะเดินออกมาจากกองทัพ ใบหน้าเต็มไปด้วยหยาดเหงื่อ เบื้องหลังมีเหล่าอสูรชั้นยอดจำนวนมากที่รวมตัวขึ้นเพื่อเป็นแนวต้าน
เขากวาดสายตามองทางซ้ายทีขวาที ก่อนจะพบว่านอกเหนือจากองค์ชายอสูรเช่นตัวเขาแล้ว องค์ชายอสูรตนอื่น ๆ ได้ถูกไป๋ชิวหรานโจมตีจนตายตกไป ยามนี้มีองค์ชายอสูรที่มีชีวิตอยู่เพียงสี่ตนเท่านั้น ส่วนฝั่งตรงข้ามมีเพียงองค์ชายหมีขาวกับองค์ชายจิ้งจอกขาว!
โอกาสนี้แหละ!
องค์ชายอสรพิษดำเงื้อฝ่ามือขึ้นสูงอย่างไม่ลังเล พลังปราณอสูรแก่นแท้ในร่างพลันเดือดพล่าน กระทั่งเมฆหมอกพิษควบแน่นอยู่บนฝ่ามือ
“ไม่มีทาง!”
ลำแสงศักดิ์สิทธิ์สว่างวาบห้าถึงหกดวงพุ่งออกมาจากภูเขาที่แตกสลายเบื้องล่าง โจมตีเมฆหมอกพิษที่ควบแน่นขึ้นจากการควบคุมขององค์ชายอสรพิษดำให้กระจายออกไป องค์ชายจิ้งจอกขาวที่ร่างกายเต็มไปฝุ่นควันรีบออกมาจากเศษซากภูเขาทันที จากนั้นก็ควบคุมใบมีดลมเพื่อหยุดองค์ชายอสรพิษดำ
ขณะเดียวกัน พลังขององค์ชายหมีขาวก็ได้รับการกระตุ้นอีกครั้ง ทำให้ภาพเขียนขนาดยักษ์บนท้องฟ้าแทบจะดูดกลืนร่างของไป๋ชิวหรานเข้าไปได้อยู่รอมร่อ
ทันใดนั้น ภาพเขียนขนาดยักษ์ที่เคยห่อม้วนแน่นกลับขยายยืดออกไปพร้อมกับเสียง ‘ปัง!’ ปราณกระบี่สีขาวสว่างเจิดจ้านับไม่ถ้วนพลันพุ่งออกมาจากช่องว่างภายในม้วนรูปภาพ แปรเปลี่ยนกลายเป็นเงากระบี่ยักษ์ที่ปกคลุมทั่วทั้งท้องฟ้า ทิ่มแทงไปยังร่างขององค์ชายหมีขาวจนโลหิตทะลักล้นออกมาจากบาดแผล!
เลือดแดงฉานไหลทะลักออกมาจากทั้งจมูก ทั้งปากขององค์ชายหมีขาว ทว่าเขายังคงยืนกรานที่จะต่อสู้ต่อไป ด้วยการสนับสนุนจากเหล่าอสูรชั้นยอดหลายร้อยตนที่อยู่เบื้องหลัง ภาพเขียนเคลื่อนกลับมาติดกันในที่สุด และดูดกลืนไป๋ชิวหรานให้เข้าไปอยู่ในภาพเขียนนั้นได้สำเร็จ
“ท่าไม่ดีแล้ว!”
องค์ชายอสรพิษดำเห็นท่าไม่ดี จึงรีบหันศีรษะกลับมา พร้อมตะโกนบอกกล่าวกับองค์ชายอสูรที่เป็นพันธมิตรฝ่ายเดียวกันว่า
“หยุดยั้งองค์ชายหมีขาวตนนั้นไว้!”
องค์ชายจระเข้ องค์ชายอินทรีและองค์หญิงบุปผาได้ยินคำกล่าว จึงรีบพุ่งเข้าหาองค์ชายหมีขาวที่ตกอยู่ในสภาพบาดเจ็บสาหัส ก่อนจะโจมตีเขา ทว่ายังสายเกินไป องค์ชายหมีขาวได้จัดการกับภาพเขียนยักษ์ตรงหน้าเสร็จสิ้นแล้ว ทำให้ทุกการจู่โจมของอีกฝ่ายไม่เป็นผล
พลังของผืนภาพเขียนขนาดยักษ์นี้ช่างน่าอัศจรรย์ไม่น้อย ไม่เพียงแต่จะเอาชนะบรรพชนสำนักกระบี่ชิงหมิงแห่งเผ่าพันธุ์มนุษย์ได้ ทว่าภายใต้การควบคุมขององค์ชายหมีขาว จู่ ๆ มันกลับม้วนกลิ้งกลับไปยังทิศทางขององค์ชายและองค์หญิงอสูรทั้งสี่ และดูดกลืนร่างของพวกเขาทั้งหมดเข้าไป!
องค์ชายหมีขาวยื่นมือออกไป ฉับพลันภาพเขียนยักษ์หดตัวเล็กลงกลายเป็นกระดาษภาพเขียนโบราณธรรมดาสามัญเท่านั้น ก่อนจะร่วงตกลงมาอยู่ในมือของเขา องค์ชายหมีขาวหันไปทางองค์ชายจิ้งจองขาวพร้อมกับตะโกน
“ไป!”
องค์ชายจิ้งจอกขาวสะบัดด้ามพัดทันที ทำให้แสงเปล่งประกายออกมา รับเอาร่างของบุคคลทั้งสี่ที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสและเสียชีวิตจากสนามรบ ได้แก่ องค์ชายพยัคฆ์บิน องค์ชายวานร องค์ชายมังกร และอัครมหาเสนาบดีอวิ๋นคุน ยังไม่ทันที่จะทะยานติดตามองค์ชายหมีขาวออกไป น้ำเสียงเย็นเยียบอันแฝงไปด้วยจิตสังหารแรงกล้ากลับดังขึ้นจากทางด้านหลัง
“จะไปไหนหรือ?”
เสียงพิณครั้งนี้ดังกังวานประหนึ่งเสียงฟ้าร้อง เปี่ยมไปด้วยจิตสังหารเย็นเยือก ราวกับมีกองทัพทหารม้าหลายพันนายกำลังควบทะยานเข้าชนกับปราการป้องกันภายในจิตใจขององค์ชายจิ้งจอกขาว ขณะเดียวกันปราณกระบี่พลันแปรเปลี่ยนไปเป็นหยาดฝนคมกริบที่ตกลงมาจากฟากฟ้า พร้อมกับการบรรเลงเพลงของซูเซียงเสวี่ย ‘ลม ฝน และอสนีบาต’
องค์ชายจิ้งจอกขาวเผยรอยยิ้มบิดเบี้ยว หางทั้งเก้าเบื้องหลังเหยียดยาวออกราวม่านหางนกยูง ด้ามพัดในมือแผ่ออกและหุบลงสลับไปมา เขารวบรวมเรี่ยวแรงทั้งหมดเรียกลำแสงศักดิ์สิทธิ์ลงมาจากฟากฟ้า
ปราณกระบี่และลำแสงศักดิ์สิทธิ์พุ่งเข้าปะทะกัน ส่งผลให้ทิวทัศน์โดยรอบพังทลายและเสียหายเป็นวงกว้างในทันใด!
องค์ชายจิ้งจอกขาวรีบถอนตัวหลีกเลี่ยงผลกระทบที่ตนก่อหลังจากเรียกใช้พลัง เขาเช็ดเลือดออกจากมุมปากอย่างไม่แยแส ก่อนที่ร่างจะอันตรธานกลายเป็นแสงสีขาวสว่างจ้า และพุ่งทะยานออกไปในระยะไกลโดยไม่แม้แต่จะหันกลับมามอง
และด้านหลังของเขา ยังคงมีภาพหลอนเลือนรางสีขาว ที่พยายามไล่ติดตามไปอย่างไม่ลดละ!
…
“โอ๊ย!”
หลังจากถูกภาพเขียนยักษ์กลืนกินเข้าไป ไป๋ชิวหรานก็พบว่าตอนนี้ตนเองติดอยู่ในโลกขนาดย่อส่วนอีกโลกหนึ่ง ที่แห่งนั้นมีภูเขาเขียวขจีและกระแสน้ำไหลเอื่อย ท้องฟ้าเบื้องบนว่างเปล่า มีหมู่บ้านเล็ก ๆ แห่งหนึ่งตั้งอยู่บนภูเขา บรรยากาศดูช่างผ่อนคลายยิ่งนัก
ชายหนุ่มกวาดสายตาสำรวจมองทิวทัศน์โดยรอบ จากนั้นดึงหัวกะโหลกของจื้อเซียนออกมาจากบั้นเอว และเอ่ยถามว่า
“จื้อเซียน เจ้ารู้หรือไม่ว่านี่คือยุทธภัณฑ์ประเภทใดกัน?”
“หืม?”
ดูเหมือนว่าจื้อเซียนจะงีบหลับไปชั่วขณะ ตอนนี้มันสูญเสียทั้งร่างกายและจิตทั้งสามไปแล้ว จนไม่สามารถกระทำสิ่งต่าง ๆ ได้เฉกเช่นปกติอย่างการนอนหลับพักผ่อนได้อีกต่อไป แต่เมื่อไรก็ตามที่รู้สึกเบื่อหน่าย จะใช้วิธี ‘เลิกคิด’ เพื่อทำให้ตนเองผ่อนคลายแทนการเข้านอนเพื่อฆ่าเวลา
ทันทีที่ได้ยินเสียงเรียกของไป๋ชิวหราน มันก็ลืมตาขึ้นอย่างรวดเร็ว เพลิงวิญญาณสีเขียวในดวงตาอธิบายถึงที่มาของยุทธภัณฑ์ชนิดนี้โดยทันที
“ยุทธภัณฑ์ชนิดนี้เรียกว่าจิตรกรรมน้ำหมึกเซียน”
จื้อเซียนตอบกลับ
“เป็นสมบัติเซียนจากยุคก่อน… น่าแปลกเสียจริง แล้วยุคดังกล่าวเกิดขึ้นในสมัยใด? เป็นยุคที่เก่าแก่กว่าราชวงศ์ชิงตะวันออกหรือไม่? แล้วสมบัติอันเป็นมรดกของเหล่าเซียนจะสูญหายไปอยู่ในโลกมารและอยู่ในเงื้อมมือของอสูรเผ่ามารได้อย่างไร?”
“เพื่อไขปัญหาหนึ่งข้อ ข้ายังมีอีกสามคำถาม”
ไป๋ชิวหรานหลับตาลงครู่หนึ่งเพื่อส่งกระแสจิตออกไป ก่อนจะกล่าวขึ้นว่า
“ยอดเยี่ยม กองทัพโลกมารฝ่ายเหนือกับกองทัพจักรวรรดิถอยร่นออกไปแล้ว องค์ชายอสรพิษดำ องค์ชายและองค์หญิงอสูรอีกสี่ตนถูกดูดกลืนเข้ามาพร้อมกันกับข้าด้วย เซียงเสวี่ยกำลังตามไล่ล่าพวกนั้นไป… ทุกอย่างเป็นไปตามแผน”
“เพื่อตามหาแผนที่ที่เหลืออีกสองส่วนน่ะรึ?”
จื้อเซียนอดเอ่ยถามไม่ได้
“อย่างน้อยก็ได้มาแล้วหนึ่งส่วน”
ไป๋ชิวหรานหยิบชิ้นส่วนแผนที่ที่ชำรุดออกมาจากถุงเก็บสมบัติ ชายหนุ่มได้ประทับตราเครื่องหมายไว้เรียบร้อยแล้ว
“อย่างไรก็ตาม นี่ถือเป็นมรดกที่บรรพบุรุษอสูรเผ่ามารทิ้งไว้ องค์ชายอสูรแห่งโลกมารฝ่ายเหนืออาจมองข้ามมันไปก็เป็นได้ ทว่าสำหรับอัครมหาเสนาบดีอวิ๋นคุนแล้ว เขาต้องหาหนทางทางเอาคืนไปอย่างแน่นอน ยิ่งไปกว่านั้น ภาพเขียนนี้ กลวิธีการวาดภาพไม่ง่ายดายเหมือนกับการผนึกผู้คนไว้ในห้วงในมิติอื่น ๆ ใช่หรือไม่?”
“ใช่”
จื้อเซียนกล่าวตอบ
“ภายในภาพเขียนนี้ ภูตผีอมตะต่าง ๆ จะปรากฏขึ้นอย่างต่อเนื่องเพื่อโจมตีผู้ที่เผลอเข้ามา หนำซ้ำภูตผีอมตะแต่ละตัวยังมีความแข็งแกร่งอยู่ในระดับเซียนปฐพี”
“ระดับสูงถึงเพียงนั้นเชียวหรือ?”
ไป๋ชิวหรานกะพริบตาปริบ
“หมายความว่าเจ้าของที่แท้จริงของภาพเขียนนี้ คงไม่ใช่เซียนธรรมดาใช่หรือไม่?”
“ใช่แล้ว ภูมิความรู้ที่วิถีแห่งสวรรค์แสดงให้เห็นบอกว่า เจ้าของดั้งเดิมของภาพเขียนนี้เป็นถึงเซียนอาวุโส”
น้ำเสียงของจื้อเซียนมีความสับสนแฝงอยู่เล็กน้อย
“เซียนอาวุโส… อยู่ในระดับที่เหนือกว่าเซียนปฐพี และอาศัยอยู่แต่ในโลกเซียนเท่านั้นน่ะหรือ?”
“ทำนองนั้น”
ชายหนุ่มก้าวออกไปข้างหน้าหนึ่งก้าว
“ฟังนะ ข้าเพียงต้องการล่อให้จิตรกรรมน้ำหมึกเซียนโจมตี จากนั้นก็แสร้งทำเป็นว่าพ่ายแพ้ ถูกปิดล้อม ได้รับบาดเจ็บสาหัส และหมดสติ การแสดงที่ว่ามาฟังดูเข้าท่าหรือไม่?”
“เข้าท่าทีเดียว เพียงแต่เจ้าจะจัดการกับสติปัญญาของอีกฝ่ายอย่างไร?”
จื้อเซียนตอบกลับ
“ในฐานะที่เจ้าเป็นตัวปัญหาใหญ่หลวงสำหรับอสูรเผ่ามาร หากทำตัวโง่เขลาผิดแผกจากเดิมจนเกินไป พวกเขาไม่มีทางหลงเชื่ออย่างแน่นอน”
“ง่ายดายยิ่ง”
หลังครุ่นคิดเรื่องดังกล่าว ไป๋ชิวหรานจึงเอ่ยตอบ
“ข้าจะใช้พละกำลังเพียงหนึ่งในยี่สิบหรือหนึ่งในสามสิบเท่านั้นโดยจะไม่โคจรพลังปราณแก่นแท้ ข้าสามารถฟื้นกำลังคืนได้ด้วยตัวเอง หากเรียกใช้จนหมด จากนั้นจะเสแสร้งแกล้งตาย… หลบหนีออกไปให้ไกลที่สุดเท่าที่จะทำได้”
“หากเจ้ามั่นใจเช่นนั้น จะลองดูก็ไม่เสียหาย”
จื้อเซียนมองตรงไปข้างหน้า
“มันมาแล้ว”
ไป๋ชิวหรานเงยหน้าขึ้น บนเนินเขาตรงหน้า มีต้นหญ้าพลิ้วไหวไปตามแรงลมปกคลุมอยู่โดยรอบ ทว่าจู่ ๆ มีร่องรอยคล้ายน้ำหมึกปรากฏขึ้น!
ภาพเขียนหมึกชิ้นนี้แปรเปลี่ยนรูปร่างกลางอากาศจนไม่สามารถคาดเดาได้ ท้ายที่สุดก็ได้เปลี่ยนเป็นร่างภูตชราที่เปลือยหน้าท้อง บิดส่ายไปมา ท่าทางไร้พิษภัย ทั้งยังมีหนวดเคราปกคลุมอยู่ทั่ว
ภูตชรายกเท้าขึ้นและเดินตรงมายังไป๋ชิวหราน ทันใดนั้นสีของน้ำหมึกจาง ๆ แผ่รอบเท้าของมัน ก่อตัวเป็นเมฆหมอกคอยรองรับอยู่เบื้องล่าง
มันระเบิดเสียงหัวเราะ ‘ฮ่า ฮ่า’ ออกมา ก่อนจะเหยียดแขนเหวี่ยงหมัดออกไปราวกับคนมึนเมา หมายจะทุบตีร่างของไป๋ชิวหราน!